ครั้นพูดถึงเรื่องนี้ ขอบตาของเขาก็แดงก่ำ เขาสูดหายใจแล้วจึงค่อยพูดต่อว่า “เวลานั้นความตายมาเยือนตรงหน้าแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปอันตรายก็คืบคลานเข้ามา หากยังมัวเสียเวลา อาจเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างไม่อาจคาดคิดตามมา! กระหม่อมร้อนใจมาก ไม่มีเวลาอธิบายให้อวิ๋นเซวียนฟังมากนัก ทำได้เพียงกำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้เขาเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่ว่าอย่ากระทำการวู่วามเด็ดขาด ให้รอฟังข่าวจากกระหม่อมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที!
ตอนนั้นบ่าวรับใช้นำอาหารเย็นมาส่งพอดี อวิ๋นเซวียนฉวยโอกาสช่วยกระหม่อมให้หนีออกไป คืนนั้นกระหม่อมไปหาเถ้าแก่ร้านขายเหล็ก เขาบอกว่าองค์รัชทายาทอยู่ระหว่างการเดินทางมายังแคว้นเฉิงแล้ว และอยากพบกระหม่อมสักครั้ง กระหม่อมรีบแสดงความภักดีต่อองค์รัชทายาททันที ขอเพียงเขารับประกันความปลอดภัยของทุกคนในสำนักกระบี่เหล็กเท่านั้น!
กระหม่อมกับเถ้าแก่ร้านขายเหล็กนัดหมายวันเวลาและสถานที่ในการส่งมอบภาพร่างและวัสดุเหล็ก จากนั้นเขาก็จัดเตรียมที่ซ่อนตัวให้กระหม่อม เรื่องช่วยเหลือสำนักกระบี่เหล็ก เขาก็รีบส่งคนไปจัดการ หากมีแผนการใดจะรีบแจ้งกระหม่อมทันที นึกไม่ถึงว่าสามวันต่อมา กลับมีข่าวร้ายแจ้งมา สำนักกระบี่เหล็กแพร่งพรายความลับ มีเจตนาไม่ซื่อสัตย์ ถูกสังหารทั้งสำนัก ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต…แม้แต่คนเดียว”
มีเพียงเซี่ยอวิ๋นเซวียนที่รอดพ้นจากวิกฤติครั้งนั้นไปได้อย่างจับพลัดจับผลู
ซูหลีถอนหายใจ หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เกิดเรื่องขึ้นกะทันหัน เซี่ยหยวนหางไม่มีเวลาบอกให้เซี่ยอวิ๋นเซวียนที่ถูกขังอยู่หลังเขาให้รู้เรื่อง เพื่อเปิดเส้นทางรอดชีวิตให้ลูกชายเพียงคนเดียว ทำได้เพียงหาคนมาเป็นตัวแทนเขาเท่านั้น ตงฟางเจ๋อไม่เคยเจอเซี่ยอวิ๋นเซวียน หากจะตรวจสอบให้แน่ชัดก็จำต้องใช้เวลา
กระทั่งบัดนี้ เบาะแสที่เคยเลือนรางในอดีต ล้วนเชื่อมต่อกันจนกระจ่างชัดแล้ว
มีเรื่องหนึ่งที่ซูหลีไม่เข้าใจ นางหันไปมองตงฟางเจ๋อแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อยู่ดีๆ เหตุใดบิดาของท่านจึงสั่งให้ลงโทษสำนักกระบี่เหล็กเล่า?”
ตงฟางเจ๋อกล่าวว่า “มีรายงานลับว่าเซี่ยหมิงหยางหลบหนีโดยนำภาพร่างไปด้วยแล้ว เบาะแสไม่ชัดเจน เสด็จพ่อทราบเข้าก็ทรงพิโรธ รีบสั่งให้ข้านำทหารกวาดล้าง ไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
ซูหลีขมวดคิ้ว ไม่นานก็กล่าวคล้ายตระหนักได้ “รายงานลับ…หรือว่าเป็นจั้นอู๋จี๋?”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “เป็นไปได้มาก! เขาอยากได้พิรุณโปรยปรายมาครอบครอง จึงซื้อตัวเด็กรับใช้ข้างกายเซี่ยหยวนหางคนหนึ่งไว้เป็นสายลับแต่แรก เพื่อจับตาดูความคืบหน้า เซี่ยหมิงหยางเลือกที่จะจากไป แผนการของเขาจึงล้มเหลว สายลับคนนั้นหลังจากรายงานข่าวให้เขารู้ก็ถูกฆ่าปิดปากทันที เซิ่งฉินหาศพเขาเจอในป่าที่อยู่ไม่ห่างจากสำนักกระบี่เหล็กมากนัก”
ซูหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ฟังดูเหมือนเป็นวิธีการทำงานของเขาจริงๆ ตอนแรกก็ดึงคนมาเป็นพวกก่อน ครั้นเห็นว่าแผนการล้มเหลว ก็รีบสังหารคนปิดปาก เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”
เซี่ยหมิงหยางและเซี่ยอวิ๋นเซวียนครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง
เซี่ยอวิ๋นเซวียนลุกขึ้นยืน คัดค้านเสียงดัง “นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานของพวกท่าน มีหลักฐานใดมายืนยันว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหวั่นก็คือจั้นอู๋จี๋? ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าฆ่าทุกคนในสำนักกระบี่เหล็กกับตาตนเอง!”
ตงฟางเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา กล่าวด้วยสายตาไม่วอกแวก “คำพูดของข้าก็คือหลักฐาน! หากเจ้ายังมีความสามารถในการแยกแยะผิดชอบชั่วดีอยู่สักนิด ก็จะเข้าใจเองว่าเหตุใดสำนักกระบี่เหล็กจึงมีจุดจบเช่นในยามนี้!”
ใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นเซวียนพลันเปลี่ยนสี
ซูหลีเห็นท่าไม่ดี รีบเดินเข้าไปกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนั้นแผนการก่อกบฏของจั้นอู๋จี๋ถูกเปิดโปงต่อหน้าธารกำนัล เรื่องนี้ข้ากับเสด็จพี่เห็นกับตาตนเอง!”
หลางฉ่างเองก็ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
เซี่ยหมิงหยางก้มหน้า สีหน้าเปลี่ยนผันไปมา เขาพึมพำเสียงเบา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แสดงว่าตอนนั้นที่จั้นอู๋จี๋มาเกลี้ยกล่อมสำนักกระบี่เหล็ก เป็นแผนชั่วของเขาแต่แรกแล้วงั้นหรือ?”
ซูหลีกล่าวเสียงเครียด “ถูกต้องแล้ว! คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เพทุบาย จิตใจเต็มไปด้วยแผนชั่ว ยามนั้นเขาเป็นแม่ทัพทหารม้า กลับไม่ทำหน้าที่อยู่ในเมืองหลวง หากมิใช่มีใจคิดคด เหตุใดจึงต้องแอบไปพบเจ้าสำนัก แล้วยุแยงอย่างลับๆ ด้วย? เพราะเขาก็คือคนร้ายตัวจริงที่ทำให้สำนักกระบี่เหล็กต้องล่มสลายอย่างไรเล่า!”
น้ำตาแห่งความแค้นล้นทะลักออกจากดวงตาของเซี่ยหมิงหยาง เขายิ้มทั้งน้ำตา แล้วกล่าวว่า “เสียแรงที่ข้าเฝ้าแบกความโกรธแค้นมานาน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ท้ายที่สุดกลับไม่รู้ตัวคนร้ายด้วยซ้ำ!”
เซี่ยอวิ๋นเซวียนมองหน้าตงฟางเจ๋ออย่างตะลึงงัน ปากก็พึมพำเสียงเบา “ไม่ ข้าไม่เชื่อ…”
สายตาของซูหลีร้อนแรง นางก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดเกลี้ยกล่อม “ความทุกข์ในยามนี้มิอาจชดเชยความผิดในอดีตได้ ชีวิตคนเราสั้นแค่ไม่กี่สิบปี พริบตาเดียวก็ผ่านพ้นไป หากยังผูกติดอยู่กับเรื่องราวในอดีต จะไม่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไปหรอกหรือ ศิลปะการตีดาบของสำนักกระบี่เหล็กเลื่องชื่อลือชาไปทั่วยุทธภพ ตอนแรกก็สร้างกระบี่ประกายแสงดุจสายน้ำ ต่อมาก็สร้างพิรุณโปรยปราย พวกท่านทั้งสอง เหตุใดจึงไม่คิดหาทางให้ศิลปะการสร้างอาวุธอันยอดเยี่ยมของสำนักกระบี่เหล็กกลายเป็นที่ยกย่องและขนานนามไปทั่วหล้าเล่า?”
เซี่ยหมิงหยางน้ำตานองหน้า พูดอะไรไม่ออก
หน้าอกของเซี่ยอวิ๋นเซวียนกระเพื่อมขึ้นลง เขาหลับตาอย่างเจ็บปวด
ซูหลีหันไปมองตงฟางเจ๋อ กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแช่มช้า “พิรุณโปรยปรายแม้ถือกำเนิดจากแคว้นเฉิง แต่หากตอนนั้นไม่ได้เสด็จพี่ช่วยชีวิตอาจารย์เซี่ยเอาไว้ ตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาสปรับปรุงพิรุณโปรยปรายให้ดีขึ้นอีกแล้ว”
ซูหลีหันกลับไปมองหลางฉ่าง ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อว่า “ถึงแม้ว่าเสด็จพี่จะทำเพื่อแว่นแคว้นและราษฎร จึงได้วางกลยุทธ์เพื่อขโมยภาพร่างและวัสดุเหล็ก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอยู่ดี สวรรค์กลั่นแกล้ง สุดท้ายจึงทำให้สำนักกระบี่เหล็กต้องล่มสลาย ผู้ที่รอดชีวิตมาได้ในยามนี้ ยังมีโอกาสชดใช้ความผิดพลาดในอดีต”
ตงฟางเจ๋อเอ่ยปากกล่าวก่อนว่า “หากองค์รัชทายาทไม่มีความเห็นต่าง ข้าจะสั่งคนให้นำวัสดุเหล็กทั้งหมดในการทำพิรุณโปรยปรายมาให้”
หลางฉ่างขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีความเห็นต่าง ทว่า…” เขาทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป ก่อนจะหันไปมองเซี่ยหมิงหยาง
คราบน้ำตาบนใบหน้าเซี่ยหมิงหยางยังไม่ทันแห้ง สีหน้ายังคงลังเลสับสน
ซูหลีเดินไปหยุดตรงหน้าเซี่ยหมิงหยาง สายตาเคร่งขรึมจริงจัง “เรื่องราวที่เกิดกับสำนักกระบี่เหล็กแม้จะโหดร้าย แต่ข้าเคยผ่านศึกภายในแคว้นเปี้ยนมา ศพไร้วิญญาณเกลื่อนพื้น เลือดไหลเป็นสายน้ำ ชีวิตคนดับสูญง่ายดายไม่ต่างจากผักปลา ยามนั้น ข้าจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าอะไรที่เรียกว่าโหดร้ายอย่างแท้จริง! เพื่อชาวบ้านนับพันนับหมื่นของแคว้นเฉิงและแคว้นติ้ง ฉางเล่อขอร้องอาจารย์เซี่ยกับคุณชายเซี่ย ปล่อยวางอดีต ร่วมมือกันสร้างพิรุณโปรยปรายเถิด!” เอ่ยจบ นางก็ค้อมกายด้วยความจริงใจ
เซี่ยหมิงหยางตกใจ หมายจะเข้าไปประคองแต่ก็ไม่กล้า “องค์หญิง ทำเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ผู้น้อยเซี่ย…รับปากท่านแล้ว”
“อาจารย์ลุง ท่าน!” เซี่ยอวิ๋นเซวียนตะโกนเสียงหลง เขาถอยหลัง ส่ายหน้าอย่างไม่อยากยอมรับ น้ำตาหลั่งรินออกมาในที่สุด “ไม่ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อาจยอมรับ…อ๊ากก!” เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างรุนแรง ผลักเก้าอี้และโต๊ะที่อยู่ด้านข้างจนล้มระเนระนาด จากนั้นก็วิ่งพรวดพราดออกไปจากห้อง!
“อวิ๋นเซวียน!” เซี่ยหมิงหยางร้อนใจ ลุกขึ้นวิ่งตามไปทันที เขาวิ่งไปถึงประตูก็หันกลับมากล่าวกับหลางฉ่าง “องค์รัชทายาท ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยเซี่ยทูลลาก่อน อวิ๋นเซวียนยังไม่อาจทำใจยอมรับได้ กระหม่อมจะกลับไปคุยกับเขาเองพ่ะย่ะค่ะ”
หลางฉ่างรีบกล่าว “สหายเซี่ยรีบไปเถิด”
ซูหลีลอบถอนหายใจ เซี่ยอวิ๋นเซวียนเป็นคนที่มีหัวใจบริสุทธิ์ หากเขาจะทำใจยอมรับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ลำบากเซี่ยหมิงหยาง ไม่รู้จะเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมและปลอบใจศิษย์หลานผู้นี้ของเขาเช่นไร
ตงฟางเจ๋อเอ่ยเสียงขรึม “สองแคว้นร่วมมือกันไม่มีปัญหา แต่ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
หลางฉ่างยิ้มบาง แล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงโปรดกล่าว”
ตงฟางเจ๋อลุกขึ้นกล่าวด้วยสายตาร้อนแรง เขาเดินมาตรงหน้าหลางฉ่าง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากพิรุณโปรยปรายสร้างเสร็จเมื่อใด คนที่มีสิทธิ์ขาดในการควบคุมมัน มีเพียงซูซูเท่านั้น!”
ซูหลีตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ ทั้งสองคนมีอคติต่อกัน พิรุณโปรยปรายย่อมไม่อาจส่งมอบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งครอบครอง ถึงแม้สองฝ่ายต่างมีเก็บไว้ในครอบครอง แต่ด้วยอานุภาพร้ายแรงของอาวุธล้ำยุค รับประกันได้ยากว่าจะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง แล้วนาง ก็เป็นคนที่ทั้งสองฝ่ายวางใจได้ แล้วก็เป็นคนที่ไม่อยากให้พวกเขาบาดหมางกันมากที่สุด
สายตาของหลางฉ่างไหวระริก จ้องหน้าตงฟางเจ๋อตรงๆ แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัด “เช่นนี้ก็ดี!” เอ่ยจบเขาก็ยื่นมือออกมา
สายตาของตงฟางเจ๋อไหวระริกเล็กน้อย ในที่สุดก็คลี่ยิ้ม แล้วยื่นมือออกไปจับมือเขาตอบ
ซูหลีมองมือของทั้งสองที่จับกันแน่น แล้วยิ้มอย่างชื่นใจ
——————————–