ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 34.1 คำอวยพรจากซูหลี (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ก้าวแรกของการร่วมมือกันของทั้งสองแคว้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลางฉ่างกลับมาถึงตำหนัก ก็ได้รับข่าวด่วนจากด่านเทียนไห่ พักนี้ด่านเทียนไห่ถูกชนเผ่าหมาป่ารุกรานหลายต่อหลายครั้ง ‘อู๋ต้าเหริน’ แม่ทัพรักษาการณ์กังวลว่ากำลังทหารจะไม่เพียงพอ จึงขอกำลังเสริม หลางฉ่างเรียกเสนาบดีกรมกลาโหมมาหารืออย่างเร่งด่วน จากนั้นก็ตัดสินใจโยกย้าย ‘เสิ่นเจี้ยนอัน’  แม่ทัพรักษาการณ์ด่านเฟิ่งถงพร้อมกำลังคนกลุ่มเล็กไปช่วยเหลือเป็นการด่วน หลังทราบเรื่อง ซูหลีก็ขอร้องตงฟางเจ๋อใช้พิรุณโปรยปรายที่อยู่ในมือนางโจมตีชนเผ่าหมาป่าให้ล่าถอย ตงฟางเจ๋อยินยอมให้นางใช้ด้วยความยินดี

ยามบ่ายของวันถัดมา หลังจากที่ฮ่องเต้แคว้นติ้งเสวยอาหารเที่ยงเสร็จ ซูหลีจึงพาหวั่นซินนั่งรถไปยังจุดรวมพลกลางเมือง เพื่อรวมตัวกับอีกสามทูต

“เช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ สองแคว้นไม่บาดหมางกันไปมากกว่านี้ ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ในที่สุดคุณหนูก็ไม่ต้องลำบากใจในฐานะคนกลางอีกแล้ว” เมื่อปัญหาใหญ่ถูกคลี่คลาย หวั่นซินก็รู้สึกดีใจแทนซูหลีจากใจจริง

ซูหลีเอ่ยพลางเม้มปากยิ้ม “ครั้งนี้โชคดีที่เขายอมอ่อนข้อให้ มิเช่นนั้นคงไม่จบง่ายๆ เช่นนี้”

หวั่นซินกล่าว “หัวใจที่ฮ่องเต้แคว้นเฉิงมีต่อคุณหนู มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นพยาน ชีวิตคนเรา การที่มีสามีที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วเจ้าค่ะ”

ซูหลีพลันตระหนัก นางมองพิจารณาหวั่นซินด้วยใบหน้าอมยิ้ม “จู่ๆ หวั่นซินก็พูดเช่นนี้ หรือว่ามีเรื่องในใจอยู่งั้นหรือ?”

“ไม่มีเจ้าค่ะ! บ่าว…เพียงแค่พูดไปอย่างนั้น” หวั่นซินสะดุ้งเล็กน้อย นางรีบเบือนหน้าหนี เปิดม่านหน้าต่างแล้วแสร้งทำเป็นมองออกไปข้างนอก ทว่าเมื่อมองออกไป สายตานางกลับแน่นิ่งไป

ซูหลีมองตามไปด้วยความสงสัย เห็นร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งที่อยู่ข้างทาง มีคุณชายรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่งเดินออกมาด้วยท่วงท่าแช่มช้าสง่างาม ข้างกายมีหญิงงามสวมอาภรณ์ประณีตเดินตามออกมาติดๆ นางแย้มยิ้ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนออด “คุณชายกลับดีๆ นะเจ้าคะ ครั้งหน้าต้องมาอุดหนุนอีกนะเจ้าคะ!” นางจับจ้องดวงหน้าหล่อเหลาของคุณชายชุดสีชมพูอย่างไม่วางตา แต่กลับลืมมองขั้นบันได นางหลุดร้องด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างกายจะเอนล้มไปด้านหลัง

“ระวัง!” คุณชายชุดชมพูตาไวมือไว รีบคว้าเอวบางของหญิงงาม แล้วรั้งเข้ามาในอ้อมแขนทันที

เถ้าแก่เนี้ยพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขาตามแรงดึง หัวใจเต้นระรัว มองหน้าคุณชายชุดชมพูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเสน่หา “ขอบพระคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต…”

“เถ้าแก่เนี้ยงามดั่งบุปผาและดวงจันทร์ หากบาดเจ็บที่ใบหน้า ข้าคงปวดใจแย่…” คุณชายชุดชมพูดยิ้มเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ปล่อยมืออย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะสะบัดพัดให้กางออก แล้วพัดไปพัดมาด้วยท่าทางโปรยเสน่ห์ เขาก้าวลงบันได แล้วหันกลับมากล่าวด้วยสายตาแฝงรอยยิ้มว่า “วันหน้าหากมาเยือนอีก เถ้าแก่เนี้ยอย่าลืมข้าเล่า” ขณะเอ่ย ดวงตาดอกท้อของเขาสุกสกาวสว่างไสว น่าหลงใหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นตะลึงงันจนพูดไม่ออก

คุณชายชุดชมพูยิ้มอย่างย่ามใจ ครั้นหมุนกายก็พลันสบเข้ากับดวงตาดำขลับอันสุขุมเยือกเย็นคู่หนึ่งเข้า เขาชะงักงัน ไม่นานก็แย้มยิ้มอย่างดีใจ ตะโกนเรียก “หวั่น…”

นึกไม่ถึงยังพูดไม่ทันจบ หวั่นซินก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น นางรีบปล่อยม่านรถลง ปิดกั้นใบหน้าหล่อเหลาที่ชวนให้จิตใจสับสนวุ่นวายไว้ด้านนอกทันที

ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “เซี่ยงหลีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

หวั่นซินกล่าวเสียงเรียบ “คนผู้นี้วันๆ เอาแต่หยอกเย้าบุปผา เจออยู่ที่ใดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางเรียบเฉยเป็นปกติ แต่ซูหลีสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในสายตาสุขุมของนาง มีแววหม่นหมองและผิดหวังปะปนอยู่รางๆ นางยังจำได้ดีตอนที่แคว้นเปี้ยนเกิดศึกภายใน นางเคยสั่งให้เซี่ยงหลีกับฉินเหิงฝ่าวงล้อมศัตรูออกไปเพื่อพากองทัพเสริมกลับมา ก่อนออกเดินทางวาจาของเซี่ยงหลีคล้ายแสดงออกถึงความรู้สึกที่มีต่อหวั่นซิน ต่อมาเนื่องจากมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งครั้งก่อนที่ทั้งสองตามหาหลางฉ่างจนเจอและพากลับมาพร้อมกัน หวั่นซินก็กลับวังมา ทูตทั้งสี่จึงยังไม่มีโอกาสได้พบกันอีก

ผ่านไปไม่นาน รถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาจอดหน้าประตู นายบ่าวทั้งสองคนลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในห้องโถง ฉินเหิงกับเจียงหยวนรออยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขาเดินเข้ามาทำความเคารพ ทุกคนเพิ่งจะนั่งลง เซี่ยงหลีก็กลับมาแล้ว ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา เขาก็เอาแต่จ้องหน้าหวั่นซิน หวั่นซินเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ราวกับไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น

ซูหลีแจ้งเรื่องด่านเทียนไห่ให้ทุกคนทราบ หลังหารือก็ตัดสินใจให้เซี่ยงหลีและฉินเหิงเลือกศิษย์ในสำนักเฉินเหมินจำนวนหนึ่งเพื่อมุ่งหน้าไปช่วยรบที่ด่านเทียนไห่ จากนั้นนางก็หยิบพิรุณโปรยปรายออกมา แล้วชี้แจงวิธีการใช้รวมถึงเรื่องที่ควรระวังอย่างละเอียด ทั้งสองรู้ดีถึงอานุภาพของอาวุธชนิดนี้ ย่อมไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ต่างจำทุกถ้อยคำอย่างขึ้นใจ

“ครั้งนี้แม้พวกเจ้าสองคนไปเพื่อช่วยขับไล่ศัตรู แต่กลับเกี่ยวพันถึงเรื่องสำคัญเช่นเรื่องสายสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไป พิรุณโปรยปรายเป็นอาวุธวิเศษแห่งยุค ความร้ายกาจของมันพวกเจ้าก็รู้ จะต้องระมัดระวังให้มาก”

เซี่ยงหลีกับฉินเหิงรับคำ

สุดท้าย ซูหลีมองหน้าสองคนกลับไปกลับมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “ชนเผ่าหมาป่าดุดันป่าเถื่อน เหนือกว่าชาวเปี้ยนถึงสามส่วน ภารกิจในครั้งนี้อันตรายกว่าการการโยกย้ายกองทัพในแคว้นเปี้ยนมาก ต้องระวังความปลอดภัยให้ดี พวกข้าอยู่ที่นี่ จะรอพวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย” นางแสร้งพูดเน้นเสียง หางตาเหลือบเห็นหวั่นซินขยับตัวอย่างไม่สบายใจ ซูหลีอดลอบยิ้มไม่ได้

เซี่ยงหลีเลิกคิ้วพลางยกยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักวางใจเถิด สถานที่ที่ทำให้มีความสุขจนลืมบ้านเกิดเช่นเมืองหลวงแคว้นติ้ง มีครบทั้งดื่มกินเที่ยวเล่น เซี่ยงหลียังสนุกไม่พอ จะทำใจไม่กลับมาอีกได้เช่นไรเล่าขอรับ?”

เจียงหยวนแค่นเสียงเฮอะ แล้วกล่าวเหน็บแนม “ข้าว่าเจ้าทำใจจากเหล่าหญิงงามที่รู้ใจเหล่านั้นไม่ได้มากกว่ากระมัง!”

ฉินเหิงมองพิจารณาขึ้นลง ปากก็ทำเสียงจิ๊ๆ “ดูจากที่เขาแต่งกายจัดเต็มขนาดนี้ ต้องไปเย้าแหย่แม่นางบ้านไหนมาแน่นอน”

เซี่ยงหลีทำท่าเกียจคร้าน แสร้งพูดด้วยท่าทางย่ามใจ “ข้าเป็นคุณชายรูปงาม ไม่จำเป็นต้องออกโรงเอง เหล่าหญิงงามก็พร้อมใจมอบอ้อมกอดให้เองแล้ว!” เขาพูดพลางควงพัดในมือไปมาระหว่างนิ้วมือ แล้วจู่ๆ ก็หันไปขยิบดวงตาดอกท้อให้ฉินเหิงหนึ่งที ดวงตาสุกสกาวเต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล

ฉินเหิงตัวสั่นไปทั้งตัว กระเด้งตัวออกจากเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างรังเกียจ “อย่ามาทำตัวน่าขยะแขยงน่า! เก็บลูกไม้นี้ไปเกี้ยวพาราสีเหล่าหญิงงามของเจ้าเถิด!”

เซี่ยงหลีอดแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังไม่ได้

สีหน้าหวั่นซินพลันเย็นเยียบ จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวด้านหลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ฝีเท้าของนางที่เร่งรีบเดินจากไป คล้ายสูญเสียความสุขุมในยามปกติไป

การลุกจากที่นั่งอย่างกะทันหันของนาง ทำให้บรรยากาศพลันเปลี่ยนไป เซี่ยงหลีงงงัน เจียงหยวนขี้คร้านจะสนใจเขา เพียงตรงกลับห้องไปจัดเตรียมยาที่จำเป็นสำหรับภารกิจ ฉินเหิงกลอกตา ได้แต่บอกกับตัวเองว่าไม้เน่าไม่อาจแกะสลักได้ ก่อนจะกอดพิรุณโปรยปรายแล้วเดินตามออกไปด้วย

เซี่ยงหลีขมวดคิ้ว อดหันมามองซูหลีไม่ได้ “วันนี้นางอารมณ์ไม่ดีหรือ?”

ซูหลีถอนหายใจ ได้แต่กล่าวเตือนเขาตรงๆ “เจ้าเป็นคนก่อเรื่องเอง ยังไม่รีบตามไปดูอีก”

สายตาของเซี่ยงหลีไหวระริก คล้ายกระจ่างในที่สุด เขารีบตามหวั่นซินไปทันที

ซูหลีหลุดหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ครั้นหมดเรื่อง เห็นดอกเสาเย่า (ดอกพีโอนีจีน) บานอยู่ตรงมุมห้องโถง ก็อดเดินไปชมใกล้ๆ ไม่ได้ ห้องโถงด้านในพลันเข้าสู่ความเงียบสงบ ผ่านไปไม่นาน เงาดำสายหนึ่งโฉบผ่านประตูห้อง หวั่นซินเดินเข้ามาด้วยท่าทางโกรธกรุ่น เซี่ยงหลีเดินตามมาติดๆ ทั้งสองไม่มีใครสังเกตเห็นเงาร่างของซูหลีที่อยู่ตรงมุมห้อง

——————————————