ตอนที่ 1503

War sovereign Soaring The Heavens

ผู้ท้าชิง

 

ต้วนหลิงเทียนมายังเมืองหานเหอนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ 2 อย่าง

 

อย่างแรกคือหาซื้อปากกาจารึกไว้ใช้งาน

 

อย่างที่สองนั้นเพื่อมองหาวัตถุดิบที่สามารถซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

ปากกาจารึกนั้นเขาได้ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว

 

เรื่องต่อไปที่ต้องกระทำก็คือหาซื้อวัตถุดิบเพื่อใช้ซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

แรกเมื่อมาถึงเมืองหานเหอนั้นเขาตัวคนเดียว ทว่าตอนนี้เขามาถึงสำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาถึงฐานปฏิบัติการของสำนักจันทร์จรัสแสง เขาสามารถขอความช่วยเหลือจากต่งฮุยในเรื่องหาวัตถุดิบได้

 

และด้วยความช่วยเหลือจากต่งฮุย ก็ทำให้เขารวบรวมวัตถุดิบที่สามารถใช้ซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ไม่น้อย

 

แน่นอนว่าในวัตถุดิบดังกล่าวมีชิ้นที่ใช้การได้ดีไม่เท่าไหร่

 

ทว่าเรื่องที่กลับเหนือความคาดหมายก็คือวัตถุดิบของตระกูลโอวหยาง!

 

จากคำบอกของผู้เฒ่าหั่ว วัตถุดิบที่โอวหยางป้าสรรหามาให้นั้น ยังสามารถซ่อมแซมฟื้นฟูเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้มากกว่า วัตถุดิบที่เขาไปตระเวณหามาทั้งเมืองหานเหอเสียอีก!

 

“ขอบคุณท่านแล้วผู้นำโอวหยาง”

 

ก่อนออกจากตระกูลโอวหยาง ต้วนหลิงเทียนก็มองกล่าวขอบคุณโอวหยางป้าด้วยรอยยิ้ม

 

โอวหยางป้าที่ตอนนี้เสมือนใจหลั่งเลือด ย่อมชิงชังต้วนหลิงเทียนเข้ากระดูกดำ! แต่แน่นอนว่ามันไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา ยังไม่กล้าเผยแม้แต่ร่องรอยใดๆ..สิ่งที่มันทำได้ มีเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเท่านั้น “ตราบใดที่ท่านไม่รังเกียจพวกมัน ข้าล้วนยินดี”

 

“ข้าไม่ได้ไม่ชอบอะไร ไหนเลยจะรังเกียจได้?”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว “หากมีโอกาสข้าจะมาเยี่ยมท่านที่ตระกูลโอวหยางอีกครั้ง ผู้นำโอวหยางป้า”

 

วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนทำให้ใจโอวหยางป้าถึงกับสะดุ้ง

 

ยังจะมีคราวหน้าอีกเรอะ!?

 

ครั้งนี้เหล่าอาวุโสในตระกูลก็แทบจะรวมตัวกันต่อต้านมันแล้ว หากยังมีคราวหน้าอีกเกรงว่ามันคงได้ถูกเหล่าอาวุโสทั้งหลายจับเลาะกระดูก…

 

อย่างไรก็ตามพอคิดว่าคราวนี้ได้ส่งบุตรชายตัวปัญหาไปยังหุบไร้ก้นบึ้งแล้ว โอวหยางป้าก็วางใจไปเปราะหนึ่ง

 

“ผู้นำโอวหยาง ข้าขอลาล่ะ ท่านไม่ต้องส่งนะ…”

 

เมื่อเห็นอาการของผู้นำตระกูลโอวหยาง ต้วนหลิงเทียนก็แย้มยิ้มกล่าวคำร่ำลาออกมา ก่อนที่จะเดินตัวปลิวจากตระกูลโอวหยางพร้อมต่งฮุยด้วยอารมณ์เบิกบาน

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะบอกว่าไม่ต้องส่ง แต่โอวหยางป้าก็เดินมาส่งต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเองถึงหน้าประตู

 

โอวหยางหรัวกับพ่อบ้านอย่างโอวหยางจี้เองก็ติดตามโอวหยางป้ามาส่งต้วนหลิงเทียนเช่นกัน

 

“ต้วนหลิงเทียน…มันเป็นต้วนหลิงเทียนคนนั้นไปได้อย่างไร”

 

แม้จะผ่านไปหลายวันแต่โอวหยางหลัวก็ยากจะยอมรับได้ ว่าคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ในภูเขาจิ่วฉีวันนั้น จะกลายเป็นต้วนหลิงเทียนของสำนักจันทร์จรัสแสงที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตปกครองของ 9 พันธมิตรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่พี่ชายของนางอย่างโอวหยางชิง ต้องถูกส่งไปยังหุบไร้ก้นบึ้งเพราะต้วนหลิงเทียน ใบหน้าโอวหยางหลัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ลูกตายังเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

 

“ต้วนหลิงเทียนเป็นเพราะเจ้าคนเดียว! ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าคนเดียว! พี่ใหญ่ของข้าถึงต้องถูกส่งไปยังหุบไร้ก้นบึ้ง!!”

 

หุบไร้ก้นบึ้งนั้น 9 ตาย 1 รอด

 

โอวหยางหลัวไม่คิดว่าโอวหยางชิงจะรอดจากสถานที่แห่งนั้นได้

 

โอวหยางหลัวย่อมคิดแก้แค้นให้พี่ชายของนาง

 

อย่างไรก็ตามพอคิดถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน รวมถึงฐานะความเป็นมาของอีกฝ่าย นางก็ได้แต่ท้อแท้และสำเหนียกถึงความอ่อนแอไร้พลังของตัวเอง ทำได้เพียงกลบฝังความแค้นนี้ไปเท่านั้น

 

“ศิษย์น้องต้วนเจ้าคิดกลับไปแล้วหรือ เจ้าเองก็มิได้มาเมืองหานเหอบ่อยครั้ง ใยมิอยู่ให้นานกว่านี้สักหน่อยเล่า?”

 

หลังออกจากตระกูลโอวหยาง ระหว่างทางกลับสำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตร ต่งฮุยก็ได้ยินว่าต้วนหลิงเทียนคิดกลับสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ทำให้มันเร่งชักชวนอีกฝ่ายให้อยู่ต่อทันที

 

“หากศิษย์พี่ป๋ายรู้ว่าข้ายังไม่ทันได้ต้อนรับเจ้าให้ดี มีหวังศิษย์พี่ต้องไม่ชอบใจแน่ๆ”

 

ต่งฮุยกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงอ่อน

 

“ศิษย์พี่ฮุยข้ายังไม่กลับภายในสองสามวันนี้หรอก แต่อย่างไรข้าก็มีเรื่องที่ต้องกลับไปทำที่สำนักจันทร์จรัสแสง ไม่อาจรั้งอยู่เมืองหานเหอนี้ได้นานนัก”

 

ต้วนหลิงเทียนหัวเราะกล่าวสืบต่อ “ศิษย์พี่ฮุยท่านจะเศร้าทำอะไร ไม่ใช่ว่าพอหมดเวลาประจำการที่นี่ ท่านก็จะได้กลับไปพบเจอข้ากับศิษย์พี่ป๋ายที่สำนักหรือไง?”

 

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วเช่นนี้ข้าก็ไม่คิดรบเร้าเจ้าสืบไป แต่อย่างไรเสียสองสามวันหลังจากนี้ศิษย์น้องต้วนต้องให้ข้าดูแลเจ้าให้มาก ให้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงต้อนรับเจ้าให้ดีเถอะ”

 

ต่งฮุยกล่าว

 

“เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่ฮุยแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะอย่างไรเสียต่งฮุยก็ช่วยเขาเรื่องจัดแจงหาวัตถุดิบไม่น้อย ลำพังเขาไปเดินหาเองคงยากจะได้รับมามากมาย

 

เมื่อกลับมาถึงฐานของสำนักจันทร์จรัสแสงที่สำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตร ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้พักผ่อนให้ดี ต่งฮุยก็กลับมาเรียกหาเขาอีกครั้ง

 

“เกิดอะไรขึ้นหรือศิษย์พี่ฮุย ไฉนรีบร้อนกลับมาหาข้าได้ล่ะ?”

 

เขาพึ่งแยกกับต่งฮุยได้ไม่ทันไร แต่ไม่คิดเลยว่าต่งฮุยจะย้อนกลับมาหาเขาเร็วไวขนาดนี้

 

“ศิษย์น้องต้วนไม่ใช่ข้าอยากรบกวนเจ้าหรอก…แต่ตามกฏการจัดอันดับในรายนามปฐพีของ 9 พันธมิตร ข้าไม่มีทางเลือก”

 

ต่งฮุยยิ้มออกมาอย่างขื่นขม

 

“หืม? รายนามปฐพีเหรอ หรือมีคนมาท้าทายข้า?”

 

ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้น ถามออกไปด้วยสงสัย

 

เขาเองก็นึกเรื่องอื่นไม่ออกแล้วนอกจากเรื่องนี้

 

“เป็นเช่นนั้น”

 

ต่งฮุยพยักหน้า “ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้มารอเจ้าตั้งแต่ฟ้าสาง…แต่พวกเรามีธุระที่ต้องไปจัดการที่ตระกูลโอวหยาง ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว พอคนผู้นั้นรับทราบ ก็เลยมาเรียกหาและยืนรอเจ้าอยู่ด้านหน้าฐานปฏิบัติการสำนักจันทร์จรัสแสงเรา”

 

“แถมตอนนี้ไม่ใช่แค่มัน พอคนของ 8 ขุมพลังที่เหลือในสำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตรรับทราบ พวกมันก็เร่งมากันที่นี่กันเต็มไปหมด…พวกมันมารอดูการประลองของเจ้าทั้งสิ้น ข้าคิดว่าพวกมันอยากรู้ ว่าอัจฉริยะหนุ่มที่โด่งดังในขึ้นมาใน 9 พันธมิตรได้ จักแข็งแกร่งสมคำร่ำลือหรือไม่…”

 

ต่งฮุยกล่าว

 

“ในเมื่อที่ต้องมาก็มาแล้ว ข้าออกไปพบมันหน่อยก็แล้วกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ ก่อนที่จะออกจากที่พักของสำนักจันทร์จรัสแสงมายังด้านนอก

 

พอออกมาข้างนอกต้วนหลิงเทียนก็ตกใจไม่น้อย เพราะตอนนี้มีผู้คนมายืนรอชมดูเรื่องราวกันมากมายจริงๆ!

 

นอกจากคนของสำนักจันทร์จรัสแสงแค่ไม่กี่คนแล้ว ล้วนเป็นคนของขุมพลังอื่นทั้งสิ้น พวกมันยังมาล้อมมุงเป็นวงโค้งราวจันทร์เสี้ยว เว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้

 

มีร่างชายวัยกลางคนแต่งกายในชุดจอมยุทธ์ธรรมดาๆยืนอยู่ในพื้นที่ตรงกลางที่เว้นว่างเอาไว้ดังกล่าว ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อ แลไม่น่าดูนัก

 

อย่างไรก็ตามสองตาของมันกลับกระจ่างใสเผยประกายคมกล้า น่าเกรงขามไม่น้อย

 

ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันทีว่านี่สมควรเป็นผู้ที่มาท้าทายเขา

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่ได้ยึดถือคนผู้นี้เป็นจริงจังอะไร

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาทะลวงมาถึงขอบเขตสู่เซียนขั้นกลางเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เขายังเป็นแค่หลุดพ้นมนุษย์ขั้นยิ่งใหญ่ คิดกำราบมันก็ง่ายดายนัก!

 

“นั่นอาวุโสฮุยของสำนักจันทร์จรัสแสง!”

 

เมื่อต้วนหลิงเทียนกับต่งฮุยเดินออกมา หลายคนก็จดจำต่งฮุยได้

 

“ที่เดินออกมาพร้อมอาวุโสฮุย ใช่ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”

 

“ใช่! เป็นเขา! วันก่อนข้ามาเฝ้ายามกะกลางคืนที่หน้าประตูสำนักงานใหญ่ 9 พันธมิตร เลยได้เห็นเขา!”

 

“ข้าคิดว่าเขาจะหลีกเลี่ยงผู้ที่มาทิ้งชิงอันดับในรายนามปฐพีแล้วเสียอีก แต่มิคาดเลยว่าจะออกมารับคำท้าประลองตรงๆเช่นนี้…ดูเหมือนว่าเขาจักมั่นใจในพลังฝีมือตัวเองอยู่บ้าง”

 

……

 

คนของ 8 ขุมพลังที่เหลือสนทนากระซิบกระซาบกันเรื่องต้วนหลิงเทียนไปเรื่อย

 

คนเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นศิษย์ฝ่ายในของ 8 ขุมพลังที่เหลือ พวกมันบรรลุขอบเขตสูเซียนแล้วทั้งสิ้น

 

หากเป็นคนทั่วไปพอมามีคนห้อมล้อมมุงดูตาเขม็งอย่างนี้ อาจประหม่าหรือเสียสมาธิอะไรได้

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของทั้งหมด ใบหน้าของเขายังสงบตั้งแต่ต้นจนจบ คล้ายไม่ได้นำพาอะไรเลย ประหนึ่งพระชราที่ปล่อยวางเรื่องราวทางโลกแล้วก็ไม่ปาน

 

“ฮึ่ม! เจ้านั่นมันก็แค่อันดับที่ 71 ในรายนามปฐพี…ศิษย์น้องต้วนของเราจะอย่างไรก็เป็นอันดับที่ 66! พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าศิษย์น้องต้วนของพวกเราจะต้องหลีกเลี่ยงมัน?”

 

หลิวไห่ที่ได้ยินวาจาสบประมาทของคนจาก 8 ขุมพลัง ก็กล่าวย้อนออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

 

“ถูกแล้ว! ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนของพวกเราได้พิสูจน์ตัวเองหลายครั้งแล้ว ว่ามิใช่ร้ายกาจแต่เพียงชื่อ!”

 

ศิษย์ส่ายในสำนักจันทร์จรัสแสงหลายคนกล่าวเสริม

 

“ฮ่าๆๆๆ!!”

 

หลังได้ยินคำท้วงจากคนของสำนักจันทร์จรัสแสง คนอีก 8 ขุมพลังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

“เรื่องของเรื่อง…ล้วนเป็นเพราะเฮ่อจงที่มีอันดับ 66 คนก่อนนั่น! จักอย่างไรมันก็เป็นคนของสำนักจันทร์จรัสแสงพวกเจ้ามิใช่หรือไร?”

 

“นั่นสิ! ผู้ใดจะไปรู้ว่ามันถูกผู้อาวุโสของสำนักจันทร์จรัสแสงข่มขู่มาหรือไม่ บางทีมันอาจจงใจแพ้ให้ต้วนหลิงเทียนก็ได้!”

 

……

 

ถึงแม้ว่าคนของอีก 8 ขุมพลังจะไม่ได้เอ่ยนามผู้อาวุโสที่ว่าออกมา แต่คนของสำนักจันทร์จรัสแสงเองก็รู้ดีแก่ใจว่าเป็นใคร

 

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก อาวุโสฝ่ายในป๋ายลี่หง ผู้ที่ยอมรับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์น้อง!

 

“วาจาพวกเจ้า ล้วนผายลมทั้งเพ!!”

 

หลิวไห่ฮึดฮัดหน้าแดงก่ำ โพล่งคำตวาดด่ากราดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าผู้คน

 

นอกจากนี้ศิษย์สำนักจันทร์จรัสแสงที่มีอยู่ไม่กี่คนก็เริ่มด่าทอผู้คนออกมาอย่างดุร้ายเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตามยังมีบางคนของสำนักจันทร์จรัสแสงที่ได้ยินวาจานี้ของพวก 8 ขุมพลังอื่น พวกมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

เห็นได้ชัดว่าในใจพวกมันก็มีสงสัยเรื่องนี้อยู่บ้างเช่นกัน

 

เป็นธรรมชาติที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาโดยรอบชัดถนัดหู รวมถึงข้อสงสัยทั้งหลายในตัวเขา

 

อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย

 

เพราะเขารู้ดีว่าอีกไม่นานพวก 8 ขุมพลังทั้งหลายจะต้องหุบปากลง และไม่นานสายตาสงสัยแคลงใจที่มองมาทางเขาก็จะหายไปเอง

 

“เจ้าน่ะเหรอ ผู้ที่พึ่งเอาชนะเฮ่อจงจนแทนที่อันดับที่ 66 ในรายนามปฐพีของมัน ต้วนหลิงเทียน?”

 

ชายวัยกลางคนหน้าตาเป็นหลุ่มบ่อไม่หน้าดู ชักสายตาจี้มองต้วนหลิงเทียนพร้อมกล่าวถามด้วยน้ำเสียงห้วนแกมสั่ง

 

อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองมันด้วยสายตาเฉยเมยกล่าวถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ “ถ้าใช่ แล้วยังไง?”

 

“ถ้าใช่ วันนี้ข้าก็จะเอาชนะเจ้าแล้วรับอันดับนั่นมาเสีย!”

 

ลูกตาชายวัยกลางคนทอประกายเรืองวูบขึ้นมาอย่างดุร้าย กล่าวออกด้วยวาจายะโสเปี่ยมความมั่นใจ “จดจำเอาไว้เสียให้ดี ว่าผู้ที่เอาชนะเจ้าวันนี้เรียกว่า…”

 

“ตัวโง่งม!”

 

ต้วนหลิงเทียนพ่นคำสามพยางคต์ออกมาเสียงดังฟังชัด ขัดจังหวะตอนที่อีกฝ่ายจะกล่าวบอกนามพอดิบพอดี เขาคร้านจะเสียเวลาอะไรให้มากกับคนผู้นี้จริงๆ

 

เป็นคนท้าก็รีบๆลงมือเสียที จะพล่ามเวิ่นเว้อไปทำอะไร?

 

“ฮ่าๆๆๆๆ!!”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ขัดคำได้พอดิบพอดีนั้น กลับเป็นอะไรที่สร้างความขบขันให้ผู้คนนัก

 

เพราะวาจาที่กล่าวขัดมันตรงกับตอนประกาศนามของอีกฝ่ายพอดี กลายเป็นอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!

 

“ต้วนหลิงเทียนคนนี้เอาเรื่องจริงๆ แค่วาจาไม่กี่คำก็ยั่วโทสะผู้อื่นให้พุ่งสุดหลอดแล้ว “

 

ศิษย์อีก 8 ขุมพลังอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ต่างคิดว่าต้วนหลิงเทียนหาเรื่องผู้อื่นเกินไปแล้ว

 

“ตอนนี้เพราะวาจานั่นทำให้ต้วนหลิงเทียนแลดูเหนือกว่า…ทว่าหากพลังฝีมือมิถึงขั้นจริงๆ เกรงว่าคงได้เจ็บหนักกันหน่อย!”

 

ลูกตาของศิษย์ทั้ง 8 ขุมพลังเผยประกายสว่างจ้า เต็มไปด้วยความสนใจ อยากชมดูผู้คนต่อยตีกันนัก!

 

ด้านชายวัยกลางคนที่ถูกขัดคำและเต็มไปด้วยโทสะ พลันอ้าปากออกมาคิดกล่าววาจาอะไรสืบต่อ

 

ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับขัดคำมันไว้อีกครั้ง “ถ้าเจ้ายังคิดเรื่องแนะนำตัวเองอยู่อีกก็พอได้แล้ว…ข้าไม่สนใจจะรู้ชื่อคนแพ้…”