วันนี้ของขวัญที่หลิงหยุนได้รับนั้น หากมีผู้มาพบเห็นคงต้องคิดว่าเป็นสินสอดทองหมั้นมากกว่าจะเป็นของขวัญในวันเปิดกิจการ
เพราะไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทของตระกูลเฉิง หรือหกบริษัทของตระกูลเสี่ยว ก็ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่กำลังรุ่งเรื่องทั้งคู่ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะกล้ามอบให้เป็นของขวัญกับหลิงหยุน!
อีกทั้งสาวงามมากมายที่อยู่ด้านในนั้น สายตาของพวกเธอล้วนจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนด้วยแววตาที่เป็นประกายสดใส
ไม่เพียงเท่านั้น.. แม้แต่แขกคนสำคัญก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตที่ผู้คนต่างก็รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นท่านเสี่ยวหมอเทวดา รวมทั้งเสี่ยวเฉิงเยี่วยกับจางเม่ยหยวน ยังมีหลินเจิ้งกังกับเฉิงเทียน
เหตุการณ์ในวันนี้ดูราวกับเป็นการต่อสู้กันเรื่องมูลค่าของสินสอดทองหมั้น! ในโลกใบนี้คงไม่มีใครทำได้เหมือนหลิงหยุนอีกแล้ว! และคงไม่มีใครเลี้ยงลูกให้เป็นเหมือนหลิงหยุนได้!
เพราะแทนที่จะต้องนำสินสอดไปขอเจ้าสาว แต่เขากลับเป็นผู้นั่งรอรับสินสอดแทน!
‘เฮ้อ.. ตอนที่ข้าหมั้น ยังไม่ยิ่งใหญ่แบบนี้เลย..’
หลงเทียนเจียวนั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับเหลือบมองหลินเจิ้งกังซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวามือของเขาเป็นครั้งคราว ในหัวของเขามีความคิดผุดขึ้นมากมาย หลงเทียนเจียวไม่รู้ว่าตนเองต้องอาศัยความใจกล้าหน้าด้านมาเพียงใด จึงจะสามารถทนนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอยู่ที่นี่ได้
เขากำลังคาดเดาว่าตระกูลหลินก็คงต้องมีของขวัญมามอบให้กับหลิงหยุนด้วยเช่นกัน!
แม้หลงเทียนเจียวจะกล้ามองหลินเจิ้งกัง แต่เพราะความเกรงกลัวหลิงหยุน จึงไม่กล้าแม้แต่จะชายหางตาไปมองหลินเมิ่งหาน หลงเทียนเจียวรู้ดีว่าหากเขาทำให้หลิงหยุนไม่พอใจขึ้นมาเมื่อใด รับรองว่าหลิงหยุนต้องไม่ไว้หน้าเขาอย่างแน่นอน
หลังจากนั่งดูท่านหมอเสี่ยว และเฉิงเทียนมอบของขวัญให้หลิงหยุนไปแล้ว หลินเจิ้งกังยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้น และเมื่อภายในคลินิกเริ่มสงบลง เขาจึงยกมือขึ้นกวักเรียกหลินเมิ่งหานให้เข้ามาหาทันที
ตลอดเวลางานนั้น ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของหลินเมิ่งหาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าอกที่ใหญ่โตของเธอ ทำให้หลินเมิ่งหานเป็นที่สะดุดตา และพึงพอใจของหนุ่มๆในงานอย่างมาก!
เมื่อหลินเมิ่งหานเดินมาถึง หลินเจิ้งกังก็ยักมือขึ้นตบลงบนเป้ทหารที่เขาถือไว้ไม่เคยห่างตัวเลย จากนั้นหลินเจิ้งกังก็ยิ้มให้ลูกสาวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นำของในกระเป๋าใบนี้ไปมอบให้กับหลิงหยุน!”
เป้ทหารใบนั้นแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่ของที่บรรจุอยู่ภายในกับมีน้ำหนักไม่ใช่เล่น แต่ด้วยพละกำลังของหลินเมิ่งหานในปัจจุบันนี้ เธอจึงสามารถแบบกออกไปวางไว้บนโต๊ะใหญ่ด้านหน้าได้อย่างไม่ยากนัก
หลินเมิ่งหานขยิบตาให้หลิงหยุนพร้อมกับบอกเขาว่า “เปิดดูเองสิ..”
หลินเมิ่งหานหยิบเช็คหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้กับซูหลิงเฟยซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ มันคือเช็คมูลค่าสองร้อยล้านหยวน และนับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียวสำหรับครอบครัวทหารอย่างหลินเจิ้งกัง
แต่หลิงหยุนดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับเช็คมากนัก เขารีบเดินไปเปิดเป้ทหารออกดูทันที!
ไม่เพียงแค่หลิงหยุน.. ทุกคนในงานต่างก็อยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน เพราะของที่อยู่ในกระเป๋าเป้ใบนั้นถูกห่อไว้ด้วยหนังสือพิมพ์เก่าๆอยู่ และเมื่อแกะกระดาษหนังสือพิมพ์ออก ก็พบว่ามีผ้าสีดำคลุมไว้อีกชั้นหนึ่ง
อีกทั้งสิ่งของชิ้นนี้ยังมีรูปร่างที่แปลกประหลาดอย่างมาก..
ทุกคนต่างก็พากันกระเถิบเข้าไปใกล้ๆ เพื่อต้องการเห็นว่าของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่?! แม้แต่ซ่งเจิ้งหยางเองก็ถึงกับลุ้นไปด้วย
แม้กระทั่งท่านหมอเสี่ยว ฉินตงเฉี่วย เหล่ากุ่ย หลงเทียนเจียว และคนอื่นๆต่างก็จ้องมองกันตาไม่กระพริบ
สำหรับผู้ที่มาจากจากตระกูลเก่าแก่ หรือผู้ที่ฝึกวรยุทธนั้น เงินทองล้วนเป็นของธรรมดา และการมีเงินก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายในสายตาของพวกเขา
แต่สมบัติที่หาได้ยากในโลกนี้ต่างหาก จึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสนใจ!
‘ห่อมาหลายชั้นเช่นนี้..’ หลิงหยุนคิดในใจอย่างตื่นเต้น
“ข้างในเป็นอะไรกันแน่?!”
“นี่.. รีบๆเปิดเร็วเข้า อยากรู้จะแย่อยู่แล้ว!”
หลายคนต่างก็พากันร้องตะโกนบอกหลิงหยุนด้วยความกระวนกระวายใคร่รู้ หลิงหยุนถูมือเข้าหากันเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง จากนั้นจึงรีบเปิดผ้าคลุมสีดำออก!
“ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากจริงๆ!”
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เขาแทบอยากจะวิ่งไปกอดหลินเจิ้งกัง พร้อมกับหอมฟอดใหญ่!
ที่แท้มันก็คือศิลากลั่นวิญญาณ!
ศิลากลั่นวิญญาณนั้นมีเพียงรูปร่างที่แปลกประหลาด นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากก้อนหินสีเทาที่พบเห็นทั่วไปตามท้องถนน หากคนธรรมดาไปเตะโดนเข้า ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือสมบัติที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
แต่ถึงกระนั้น.. ศิลาก้อนนี้ก็จะมีความแข็งและหนักกว่าหินธรรมดามากถึงสองเท่า!
ศิลาก้อนนี้มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อจิตใจของคนธรรมดา แต่หน้าที่หลักของศิลาก้อนนี้คือการนำไปใช้ขัดเกลาจิตวิญญาณ!
ชื่อ ‘ศิลากลั่นวิญญาณ’ ของมันก็บ่งบอกอยู่แล้วว่ามีไว้สำหรับใช้ในการขัดเกลาจิตวิญญาณ หากหลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับพลังชี่ซึ่งเป็นขั้นของการใช้กำลังภายในชำระจิตวิญญาณได้เมื่อใด เขาก็จะสามารถใช้ศิลาก้อนนี้ฝึกฝนจนจิตหยั่งรู้มีรัศมีการมองได้กว้างไกลเป็นไมล์เลยทีเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่ศิลากลั่นวิญญาณนี้จะช่วยหลิงหยุนให้สามารถชำระจิตวิญญาณจนเข้าสู่ขั้นเห็นความจริงได้แล้ว มันยังสามารถช่วยให้การฝึกฝนของหลิงหยุนรุดหน้าได้รวดเร็วอย่างน่ากลัวอีกด้วย!
หลังจากที่หลิงหยุนฝึกจนถึงขั้นรู้เห็นความจริงได้แล้ว เขาก็จะสามารถฝึกจนเข้าสู่ขั้นที่จิตรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าได้ และเมื่อถึงขั้นนั้นเมื่อใด ก็จะเป็นประโยชน์กับหลิงหยุนอย่างมากทีเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้นศิลาก้อนนี้ยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นหินหลุมพลังได้อีกด้วย และหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องแกะสลักพื้นด้านในเลย เพราะด้านในของศิลาก้อนนี้มีพื้นที่สำหรับกักเก็บพลังชีวิตได้อยู่แล้ว
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น มีของวิเศษที่ใช้กักเก็บพลังชีวิตได้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าพลัง กำไลจักรวาล และอื่นๆอีกมากมาย และทุกชิ้นล้วนแล้วแต่ทำมาจากหินทั้งสิ้น!
และการที่ได้เห็นศิลากลั่นวิญญาณอยู่ตรงหน้า หลิงหยุนจึงตื่นเต้นดีใจจนแทบคลุ้มคลั่ง!
สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ อย่าว่าแต่เงินพันล้านเลย ต่อให้นำเงินเป็นหมื่นล้านมาแลก หลิงหยุนก็ไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด!
“โอ้.. นั่นมันศิลาเกลาใจ!”
“ใช่แล้ว.. ศิลาเกลาใจจริงๆด้วย!”
“หินนั่นมีประโยชน์กับการฝึกฝนอย่างมาก ไม่เพียงทำให้การฝึกรุดหน้าได้รวดเร็วหลายเท่า แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย!”
ยอดฝีมือหลายคนที่รู้จักศิลาเกลาใจ ต่างก็พากันซุบซิบ แม้แต่ฉินตงเฉี่วย ท่านเสี่ยวหมอเทวดา เหล่ากุ่ย และหลงเทียนเจียวเอง เมื่อได้เห็นศิลากลั่นวิญญาณก็ถึงกับตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปพร้อมกัน!
หลิงหยุนได้แต่นึกขบขันอยู่ในใจ ‘นี่พวกเจ้ากล้าเอาศิลาเกาใจอะไรนั่นมาเปรียบกับศิลากลั่นวิญญาณเชียวรึ?!’
ศิลากลั่นวิญญาณนั้นไม่เพียงส่งผลต่อสภาวะจิตใจ แต่ยังสามารถใช้ทดสอบระดับความแข็งแกร่งของจิตหยั่งรู้ได้อีกด้วย อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ฝึกสามารถเข้าสู่ขั้นของการรู้ความจริง จนสามารถฝึกจิตเข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋าได้ ช่างมีประโยชน์มากมายมหาศาลเสียเหลือเกิน!
แต่ถึงกระนั้น.. ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ ก็คงจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากศิลากลั่นวิญญาณนี้ได้มากนัก อย่างน้อยก็ต้องรอเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นพลังชี่เสียก่อน
หลิงหยุนเอื้อมมือขวาออกไปยกศิลากลั่นวิญญาณขึ้นมา และรีบเรียกมันเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ทันที โดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆจะตกใจ หรือจะร่ำลือกันว่าอย่างไร? เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้คนเห็นสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้นานนัก!
“อะไรกัน.. แค่ก้อนหินแตกๆก้อนหนึ่งเองเหรอ..?!”
“นั่นสิ.. หรือว่าจะมันจะเป็นสมบัติล้ำค่า..”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นอะไร? แต่ตอนนี้ฉันอยากจะรู้ว่ามันหายไปใหนมากกว่า? จู่ๆทำไมถึงได้หายวับไปกับตา!”
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าหินก้อนนี้เป็นสมบัติล้ำค่า แต่คนธรรมดาอีกหลายคนต่างก็เห็นเป็นเพียงแค่ก้อนหินแตกๆก้อนหนึ่งที่ไม่มีมูลค่าอะไร พวกเขาจึงได้แต่รู้สึกผิดหวัง!
หลังจากที่หลิงหยุนเก็บศิลากลั่นวิญญาณเข้าไปในแหวนพื้นที่แล้ว เขาก็รีบเดินไปหาหลินเจิ้งกัง และโค้งคำนับเขาต่อหน้าผู้คนมากมายพร้อมกับเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“ขอบคุณลุงหลิน!”
“เธอไม่ต้องขอบคุณฉันก็ได้! เพราะนี่เป็นของขวัญที่ปู่ของเมิ่งหานตั้งใจมอบให้กับเธอ ครั้งหนึ่งที่เขาสู้อยู่ในสนามรบ และถูกยิงบาดเจ็บสาหัส..”
ในเวลานั้น.. ท่านปู่หลินได้เสียเลือดจนหมดสติไป สภาพของเขาไม่น่าที่จะสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งด้วยซ้ำไป แต่ก็นับว่าโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่เขาล้มหมดสติลงโดยที่ศรีษะหนุนอยู่บนหินก้อนนี้
ท่านปู่หลินนอนหมดสติอยู่ในอาการโคม่าตลอดทั้งคืน และเมื่อรู้สึกตัว เขาก็มั่นใจว่าหินก้อนนี้ได้ช่วยชีวิตของเขาไว้ ท่านปู่หลินรู้สึกเสมอว่าหินก้อนนี้จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่า และหลังจากนั้นเขาก็ได้คุมกองทัพใหญ่..
หลินเจิ้งกังค่อยๆเล่าประวัติของหินก้อนนี้ให้หลิงหยุนฟังว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงอย่างไร..
“ตั้งแต่นั้นมา.. พ่อของฉันก็วางหินก้อนนี้ไว้ใต้หมอนมาตลอด แต่ตอนนี้ท่านกลับตัดสินใจมอบมันให้กับเธอ..”
“ท่านปู่หลินช่างดีกับผมมากนัก..”
หลิงหยุนได้เอ่ยออกมา และได้แต่คิดในใจว่าเขาคงต้องหาเวลาไปเยี่ยมเยียนท่านปู่หลิน เพื่อจะได้สอบถามว่าเขาไปพบหินก้อนนี้ที่ใหน หลิงหยุนต้องการไปค้นหาหินก้อนที่ใหญ่กว่านี้..
“ต่อไปเจ้าก็อย่าได้รังแกเมิ่งหานอีกล่ะ!”
เพราะหลินเจิ้งกังเป็นทหาร เขาจึงเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาเช่นนี้
“ครับ.. ลุงหลินไม่ต้องกังวล ผมไม่กล้า..” หลิงหยุนยิ้ม
หลิงหยุนมีความสุขอย่างมาก ยอดฝีมือหลายคนต่างก็พากันอิจฉา แต่ก็อดดีใจแทนหลิงหยุนไม่ได้ มีเพียงหลงเทียนเจียวเท่านั้นที่คับแค้นใจจนแทบกระอักเลือด
“เจ้าครอบครองสมับติล้ำค่าเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ยกให้กับข้าเมื่อครั้งที่ข้าหมั้นหมายกับหลานสาวเจ้า!?”