“ตระกูลหลินได้มอบเช็คมูลค่าสองร้อยล้านพร้อมกับ..”

ซูหลิงเฟยกำลังจะประกาศออกมา แต่หลิงหยุนรีบห้ามเธอไว้ทันที!

หลิงหยุนไม่สนใจว่าผู้คนจะรู้ว่าเขาได้รับเงินมากเท่าไหร่ แต่เขาไม่ต้องการให้เรื่องศิลากลั่นวิญญาณ หรือที่ตอนนี้ได้กลายเป็นศิลาเกลาใจไปแล้วนั้น ลอยไปเข้าหูตระกูลเก่าแก่อีกหลายตระกูล

ความจริงแล้ว เพียงแค่เหล่ายอดฝีมือรู้ว่าหินก้อนนี้คือศิลาเกลาใจ พวกเขาต่างก็คิดว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากแล้ว

หากพวกเขารู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือศิลากลั่นวิญญาณ ที่สามารถเร่งผลของการฝึกให้รุดหน้าได้มากกว่าเดิมหลายเท่าแล้วล่ะก็..

หากมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเดียวกัน และมีพรสวรรค์เหมือนกันสองคน และทั้งคู่ก็ได้ฝึกฝนเหมือนๆกัน ในเวลาเท่าๆกัน แต่คนที่มีศิลากลั่นวิญญาณนั้น จะสามารถฝึกฝนรุดหน้าไปไกลกว่าอีกคนหลายเท่ามาก จนอีกฝ่ายไม่สามารถที่จะตามได้ทันเลยทีเดียว!

สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้จึงมีคุณค่าเทียบเท่าชีวิต เช่นนี้แล้วใครเล่าจะโง่เขลาจนนำชีวิตของตนเองไปแลกกับเงินทอง!

หลังจากมอบของขวัญให้หลิงหยุนไปแล้ว หลินเจิ้งกังก็พึงพอใจกับการแสดงออกของหลิงหยุนอย่างมาก และไม่พูดอะไรอีก!

ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า และได้ผ่านช่วงตัดริบบิ้นมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เหล่ากุ่ยมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนอยู่ข้างหลิงหยุนแล้ว เขาจึงส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนว่า

-พ่อหนุ่ม.. ข้าได้เตรียมของขวัญมาให้เจ้าด้วย มันอาจไม่มีมูลค่ามากมาย เจ้าต้องการให้ข้านำออกมาเลยหรือไม่?-

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับเหล่ากุ่ยไปว่า -เหล่ากุ่ย.. เราทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะพลังเหมือนกัน ของขวัญที่ท่านจะมอบให้กับข้านั้น รอกลับไปที่บ้านเสียก่อนค่อยนำมันออกมา อย่านำออกมาตอนนี้..-

หลิงหยุนไม่กังวลที่จะเปิดเผยเงินทองที่ได้รับ แต่ที่นี่ก็มียอดฝีมือคนอื่นอยู่ด้วย แต่นั่นยังไม่ทำให้หลิงหยุนกังวลเท่ากับการมีหลงเทียนเจียวนั่งอยู่ที่นี่ด้วย

ใครจะไปคิดว่าหลงเทียนเจียวจะหน้าด้านนั่งอยู่ที่นี่ได้ตั้งนาน?

หลิงหยุนกับเหล่ากุ่ยไม่ได้พบหน้ากันมานานเป็นเดือน หากการที่เหล่ากุ่ยหายหน้าหายตาไปครั้งนี้เพื่อเตรียมของขวัญให้กับเขาแล้วล่ะก็ ของขวัญชิ้นนี้ก็คงจะต้องเป็นของล้ำค่าเช่นกัน ที่คลินิกเวลานี้ก็มีผู้คนอยู่มากมาย หลิงหยุนจึงไม่ต้องการให้ใครได้ล่วงรู้มากนักเพื่อป้องกันความโกลาหลวุ่นวาย

ในวันนี้หลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรจนทำให้เขากลายเป็นผู้ที่ถูกจับตามองเช่นนี้

แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างก็มีโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันทึกภาพ และวีดีโอได้ ทุกคนต่างก็พากันยกขึ้นมาเก็บภาพบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่อลังการของพิธีเปิดคลีนิคสามัญชนแห่งนี้ไว้

แต่หลิงหยุนก็ได้สั่งให้ไป๋เซียนเอ๋อใช้วิชาลวงตา ทำให้ผู้คนที่พากันยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกภาพบรรยากาศในงาน สามารถบันทึกได้เพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมา ดังนั้นอย่าว่าแต่รูปภาพในงานเลย แม้แต่เสียงก็ยังบันทึกไม่ได้!

หลังจากที่ทุกคนออกจากคลีนิคสามัญชนไปแล้ว เพียงแค่ถ่ายติดภาพบันไดของคลีนิคได้ ก็ต้องนับว่าคนผู้นั้นประสบชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว

หลังจากกลายร่างสำเร็จแล้ว และตั้งแต่กลับมาจากเกาะเตียวหยู การใช้วิชาจิ้งจอกลวงตาสำหรับไป๋เซียนเอ๋อนั้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย!

ภายในคลีนิคค่อยๆเงียบเสียงลง และเมื่อหลี่ยี่เฟิงเห็นว่าไม่มีผู้ใดลุกขึ้นมอบของขวัญอีกแล้ว เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้ายาวและเดินไปที่โต๊ะใหญ่ด้านหน้า

“หลิงเฟย.. ของลุงหลี่พูดอะไรสักสองสามประโยคจะได้มั๊ย?” หลี่ยี่เฟิงพูดยิ้มๆ

บารมีของหลี่ยี่เฟิงนั้นมากพอที่จะทำให้ทุกคนในงานถึงกับกลั้นหายใจเมื่อเขาลุกขึ้นยืน และเดินออกไปด้านหน้า แล้วมีหรือที่ซูหลิงเฟยจะกล้าปฏิเสธ!

ซูหลิงเฟยลุกขึ้นจากเก้าอี้ และเดินไปยืนอยู่ด้านหลังของเหลียงเฟิงอี้ทันที..

ส่วนหลี่ยี่เฟิงก็เดินอ้อมไปยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะใหญ่แทนซูหลิงเฟย เขากระแอมเบาๆสองครั้ง จากนั้นจึงยิ้มให้กับทุกคน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ท่านสุภาพบุรุษ และท่านสุภาพสตรีทั้งหลาย ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะมีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว!”

แล้วเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ!

หลี่ยี่เฟิงยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับพูดต่อว่า “ก่อนอื่น.. ผมต้องขอขอบคุณแขกทุกท่านจากใจจริงที่ได้เสียสละเวลามาร่วมพิธีเปิดคลีนิคของหลิงหยุนในวันนี้!”

เสียงปรบมืออย่างอบอุ่นดังขึ้นอีกครั้ง!

‘ช่างสง่างามนัก..’ หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมหลี่ยี่เฟิงอยู่ในใจ และกำลังรอฟังว่าหลี่ยี่เฟิงจะพูดอะไรต่อ

“หลิงหยุนเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชำนาญ และเก่งกาจอย่างมาก!”

“เหตุใดผมจึงกล้ายืนยันเช่นนั้น?! นั่นก็เพราะหลิงหยุนเป็นผู้ที่รักษาอาการป่วยที่ไม่มีหมอใดรักษาได้ของลูกชายผม ให้หายเป็นปกติได้!”

“หลิงหยุนจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลหลี่ของพวกเราไปตลอดชีวิต!”

หลังจากที่หลี่ยี่เฟิงพูดจบประโยค เขาก็ผลักเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังออกไปเล็กน้อย และหันไปโค้งคำนับให้กับหลิงหยุนจากใจจริง!

“ลุงหลี่ครับ.. นี่ลุง..”

หลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึงว่าหลี่ยี่เฟิงจะทำเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ยืนตกตะลึง..!

หลี่ยี่เฟิงเองก็เคยช่วยให้หลิงหยุนสามารถซื้อบ้านสองหลังได้ในราคาเพียงแค่ครึ่งเดียว และเพราะเรื่องนี้ก็เป็นเหตุให้หลี่ยี่เฟิงถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยด้วย ดังนั้นบุญคุณที่หลิงหยุนได้ช่วยชีวิตของหลี่จิ้งเฉิน จึงควรนับว่าได้รับการตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ครั้งนี้.. ไม่มีแม้แต่เสียงปรบมือ ภายในคลินิกกลับเงียบกริบ ไม่มีใครสามารถพูดอะไรออกอีก!

อะไรกัน? ลูกชายของเลขาหลี่ป่วยหนักหรือนี่?! และหลิงหยุนเป็นผู้ที่ทำการรักษาให้งั้นรึ? หลิงหยุนสามารถรักษาอาการป่วยสาหัสได้ด้วยหรือนี่?

หลิงหยุนเป็นผู้มีพระคุณของเลขาหลี่งั้นรึ?

นี่มันเกิดอะไรขึ้น..

ทุกคนในงานต่างก็พากันครุ่นคิดในใจกันไปต่างๆนานา และสายตาทุกคู่ที่จับจ้องหลิงหยุนอยู่นั้น ก็ได้มีแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิมทันที!

ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ มีหรือที่หลี่ยี่เฟิงจะกล้าพูดโกหก!

คำพูดธรรมดาๆ เพียงไม่กี่ประโยคของหลี่ยี่เฟิง กลับมีประโยชน์ต่อหลิงหยุนอย่างมากมาย และเพียงแค่ในเวลาไม่กี่นาที ทุกคนต่างก็เข้าใจความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างเลขาหลี่กับหลิงหยุนซึ่งเป็นหมอวิเศษได้ทันทีเช่นกัน

การสนับสนุนในรูปแบบนี้ บางครั้งก็มีค่ายิ่งกว่าการให้เงินทองเสียอีก เพราะนี่คือการสร้างชื่อและความน่าเชื่อถือให้!

‘ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง..’ ซูหลิงเฟยได้แต่คิดอยู่ในใจ

“หลิงหยุนช่างเก่งเหลือเกิน! ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำใหนมาเรียกคนเก่งอย่างเขาจริงๆ!”

“เยี่ยมมาก!”

“ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ!”

“มิน่าล่ะ.. อายุน้อยแค่นี้ แต่กลับสามารถเปิดคลินิกได้ แล้วยังมีแขกเหรื่อแห่มาร่วมงานกันมากมายขนาดนี้..”

“ดูเหมือนจะมีหมอเทวดาเพิ่มขึ้นอีกคนแล้วสิ! ลูกชายของฉันก็มีสิทธิ์หายแล้วสินะ!”

“พ่อของฉันเป็นโรคเก๊าท์..”

“ฉันเป็นความดันสูง..”

“ภรรยาของฉันเป็นโรคเบาหวาน..”

“ปู่ของฉันเป็นต้อกะจก กำลังคิดอยู่ว่าจะไปรักษาที่ใหน..”

……….

และเพียงไม่กี่วินาที เสียงวิพาษ์วิจารณ์ก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งคลินิกอีกครั้ง

หลี่ยี่เฟิงจึงต้องยกมือขึ้นห้ามอีกครั้ง เขายกมือขึ้นเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบก่อน เพราะยังมีเรื่องที่เขาต้องพูดต่อ

“ด้วยทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลิงหยุนนั้น ตอนนี้ทางคณะกรรมการของเทศบาลเมืองจิงฉู และหัวหน้าสำนักงานสุขภาพ คณะกรรมการทั้งหมดได้ประชุมหารือกัน และโหวตกันด้วยคะแนนเสียงเก้าต่อหนึ่ง! เห็นด้วยเก้าเสียง และงดออกเสียงหนึ่ง!”

แน่นอนว่าผู้ที่งดออกเสียงหนึ่งเสียงนั้นย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสียเจิ้นติงแห่งตระกูลเสีย ที่ตอนนี้ค่อยๆหมดอำนาจบารมีในเมืองจิงฉูไปทีละน้อย

ทุกคนต่างก็รู้ว่าเวลาสำคัญมาถึงแล้ว ต่างก็กลั้นหายใจฟังประโยคสำคัญที่กำลังจะหลุดออกจากปากของหลี่ยี่เฟิง

“คณะกรรมการได้ตัดสินใจร่วมกันว่า จะจัดการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนายาบนพื้นที่หนึ่งร้อยไร่ในเขตหลินเจียง เพื่อให้หลิงหยุนได้มีโอกาสใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยเหลือผู้คนบนโลกใบนี้ ด้วยการให้เขาได้มีสถานที่ที่เหมาะสมในการศึกษาวิจัยเรื่องยา!”

“ผมเชื่อมั่นว่าด้วยทักษะทางการแพทย์ของหลิงหยุนนั้น พวกเราจะสามารถผลักดันให้ประเทศจีนกลายเป็นศูนย์วิจัยยาชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก!”

“ทุกท่านเห็นว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เป็นประโยชน์หรือไม่?”

หลี่ยี่เฟิงพูดจบ จึงหันไปมองผู้ที่อยู่ในงานพร้อมกับยิ้มให้..

มีใครบ้างที่จะกล้าไม่เห็นด้วย! ในเมื่อโครงการนี้ได้ผ่านมติของที่ประชุมไปแล้ว และเสียงส่วนใหญ่ของคณะกรรมการก็เห็นด้วย!

“เป็นโครงการที่ดีมาก!”

“ยอดเยี่ยมที่สุด!”

แต่ถึงแม้จะมีผู้ที่ไม่พอใจจริง ก็คงได้แต่เก็บไว้ในใจเงียบๆ คงไม่มีใครกล้าพูดออกมาในเวลานี้อย่างแน่นอน

นับว่าคารมของหลี่ยี่เฟิงนั้นคมคายไม่เบา แม้จะเป็นการพูดที่ไม่ได้ร่างคำพูดมาก่อน แต่คำพูดของเขาก็ฟังง่าย ไหลลื่น แล้วก็ชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นการพูดที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ!

ยิ่งไปกว่านั้น.. เวลาที่หลี่ยี่เฟิงพูด ไม่ว่าจะเป็นการเน้นคำ หรือน้ำเสียงหนักเบา ก็ไม่ต่างจากค้อนที่ทุบลงไปบนหัวใจของคนฟังทีละเล็กทีละน้อย และในที่สุดทุกคนต่างก็คล้อยตามเขาโดยไม่รู้สึกตัว นี่จึงเรียกว่ามีวาทศิลป์ในการพูดอย่างแท้จริง!

หลี่ยี่เฟิงได้รับเสียงปรบมือจากแขกในงานอีกครั้ง..

“หลิงหยุน.. ต่อไปเธอจะต้องดำรงตำแหน่งกรรมการของศูนย์วิจัย และพัฒนายาแห่งนี้ ดังนั้นจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจเรื่องแบบแปลนอาคาร การก่อสร้าง วัสดุ หรือเรื่องอะไรต่างๆ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจทั้งสิ้น!”

“ส่วนงบประมาณในการก่อสร้างนั้น ทางรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง เธอไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้”

ทั้งถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋เมื่อได้ฟัง ทั้งคู่ถึงกับจุก และแทบเป็นลมล้มไปกองกับพื้น!

‘แม่เจ้า..! ได้ทั้งที่ดิน ได้ทั้งอาคาร แล้วยังให้งบประมาณในการสร้างอีก!’

‘ส้มหล่น! ไม่เรียกส้มหล่นจะเรียกอะไรได้อีก? ศูนย์วิจัยและพัฒนายาบ้าบออะไรกัน?! นี่เท่ากับหาเรื่องยกที่ดินและอาคารให้กับพี่หยุนชัดๆ!’

‘ให้พี่หยุนดูแลการก่อสร้างเองทั้งหมดด้วย..’

อาศัยตัวหลิงหยุนเองเพียงลำพัง เขาคงไม่สามารถมีศูนย์วิจัยเป็นของตนเองได้แน่! เพราะหลังจากก่อสร้างเสร็จ ใหนจะมีทั้งค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำ ค่าไฟ แต่นี่ทางรัฐบาลกลับเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด!

พื้นที่หนึ่งร้อยไร่นั้นมีมูลค่ากว่าหนึ่งพันหยวน หากสร้างอาคารขึ้นในพื้นที่ว่างเปล่านั้น มูลค่าของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า และเป็นเงินถึงสองหรือสามพันล้านหยวนทันที!

ถังเมิ่งนึกในใจว่าคำชมใหนก็คงไม่เหมาะกับหลี่ยี่เฟิงเท่าประโยคที่ว่า

‘ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด!’