องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 388 เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นถือกู่ฉินหลวนเฝิ่งอยู่ข้างนอกเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม จากนั้นจิ้งจอกหางสั้นก็ออกมา
หลังจากที่ออกมาแล้วมันก็สลบไป
ฉีเฟยอวิ๋นรีบอุ้มจิ้งจอกหางสั้นขึ้นไปบนรถม้า และจับอุ้งเท้าของจิ้งจอกหางสั้นมาดู
จิ้งจอกหางสั้นถูกพิษ
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาถอนพิษใส่เข้าไปในปากของจิ้งจอกหางสั้น
หลังจากที่จิ้งจอกหางสั้นฟื้นขึ้นมาและเห็นฉีเฟยอวิ๋น มันก็ส่งเสียงร้องโว้วโว้ว ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มจิ้งจอกหางสั้นขึ้นมาแล้วลูบมันเบา ๆ จิ้งจอกหางสั้นนอนขดอยู่ในอ้อมแขนของฉีเฟยอวิ๋น มันน่าสงสารมาก ดวงตากลมโตของมันดูเหมือนจะร้องไห้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสารมาก:“เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่?”
จิ้งจอกหางสั้นกระดิกหู ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่านางพูดถูก
“ดูเหมือนว่าในนั้นจะมีพิษอยู่” ฉีเฟยอวิ๋นลูบจิ้งจอกหางสั้น และปล่อยจิ้งจอกหางสั้นไว้ในรถม้า นางลุกขึ้นและจะลงไปจากรถม้า จิ้งจอกหางสั้นรีบเอาอุ้งเท้ากดกระโปรงของฉีเฟยอวิ๋นไว้ และไม่ยอมให้นางลงไป
ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับมามองจิ้งจอกหางสั้น:“เจ้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้างั้นหรือ?”
“โว้วโว้ว……”
“เจ้าจิ้งจอกน้อย เจ้าอีกาน้อยยังไม่ออกมา ข้าเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน จะปล่อยเฉินอวิ๋นเจี๋ยไว้อย่างไม่สนใจก็ได้ แต่จะทิ้งเจ้าอีกาน้อยไว้อย่างไม่สนใจไม่ได้
สำหรับข้าแล้ว เจ้าและเจ้าอีกาน้อยเป็นเหมือนลูกของข้า หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า ต่อให้จะอันตราย ข้าก็ต้องไป”
ในชีวิตนี้ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่เคยเห็นจิ้งจอกร้องไห้ แต่วันนี้นางได้เห็นแล้ว
จิ้งจอกหางสั้นร้องไห้และน้ำตาก็ไหลออกมา จะเห็นได้ว่าจิ้งจอกก็มีหัวใจ
จิ้งจอกหางสั้นเดินโซเซและลุกขึ้นจะออกไปจากรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบพูดว่า:“เจ้านอนอยู่ในนี้ แล้วรอข้ากลับมา จำไว้ว่าไม่ต้องเข้าไปหาข้า ข้ามีกู่ฉินหลวนเฝิ่ง ของสิ่งนี้ร้ายกาจมาก หากประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้บ้านทั้งหลังพังได้”
จิ้งจอกหางสั้นจึงอยู่ในรถม้าและมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นอย่างตาปริบ ๆ ราวกับว่ามันกำลังบอกฉีเฟยอวิ๋นว่าให้ระวังตัวด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในอารมณ์ที่สับสน นางได้พบผู้คนไม่มากทั้งในอดีตและปัจจุบัน แต่ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่มีเหตุผลและชอบธรรม ในตอนนี้แม้แต่สัตว์ก็เป็นเช่นนี้
จะไม่ให้ซาบซึ้งใจได้อย่างไร?
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไรหรอก”
ฉีเฟยอวิ๋นจากไปและมองมาที่อาอวี่ สีหน้าของอาอวี่ดูลำบากใจ เขาอยากจะติดตามไปด้วย
ฝีมือของเฉินอวิ๋นเจี๋ยนั้นเหนือกว่าเขา แต่เข้าไปแล้วก็ยังไม่ได้ออกมา
เจ้าอีกาน้อยก็อยู่ข้างในด้วย หากเขาเข้าไปเกรงว่าจะทำให้เสียเวลา
“พระชายา ระวังพระองค์ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่ต้องห่วง เจ้าดูแลเจ้าจิ้งจอกน้อยให้ดี และรอข้ากลับมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นถือกู่ฉินหลวนเฝิ่งไปที่ลานหน้าบ้าน เมื่อมาถึงลานหน้าบ้านแล้วก็หยุดอยู่ชั่วขณะ นางเงยหน้าขึ้นมอง และเปิดถุงผ้าของกู่ฉินหลวนเฝิ่ง
มีลมแรงพัดมาจากด้านใน ประตูบ้านถูกเปิดออกและมีเสียงตึ๊งดังออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นเอามือข้างหนึ่งถือกู่ฉินหลวนเฝิ่งไว้ในอ้อมแขน และกดมืออีกข้างลงบนสายพิณ เสียงดังตึ๊ง
ควันพิษกระจัดกระจายอยู่ตรงหน้า และไป๋เฉ่าคูก็สลายไป
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ ที่นี่แปลกมาก ไม่คิดว่าจะมียาพิษชนิดนี้ มิน่าล่ะเจ้าจิ้งจอกน้อยถึงวิ่งหนีออกไป
เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นสวมผ้าและคลุมหมวกมาด้วย แต่เมื่อครู่ลมพัดจนหมวกของนางหลุดไป
ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจ
ปิ่นสีเงินบนหัวของนางขยับ ฉีเฟยอวิ๋นก้าวเข้าไปในบ้าน
สิ่งที่น่าแปลกคือควันพิษที่อยู่ด้านนอกทำให้ไป๋เฉ่าคูสลายไป แต่ดอกไม้และต้นไม้ด้านในยังมีสีสันสวยงามและเขียวขจี
หลังจากที่เดินเข้าไป ในบ้านนั้นโล่งมาก ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปข้างหน้า มีคนยืนอยู่ด้านใน เป็นสาวใช้สองคนที่สวมชุดสีแดง พวกนางน่าจะอายุสิบหกสิบเจ็ด หน้าตางดงามเหมือนดอกไม้ เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมา ใบหน้าของพวกนางก็เป็นประกายแดงระรื่อ
เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นพวกนางก็คำนับ ฉีเฟยอวิ๋นจึงโน้มตัวลงอย่างสุภาพ
ทั้งสองหลบออกไปด้านข้าง หนึ่งในนั้นยื่นมือออกมาเชิญให้ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน จะมีกับดักอะไรอีก หากต้องการจะต่อสู้ก็เข้ามาเลย!
ฉีเฟยอวิ๋นโวยวายในใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปตามที่พวกนางบอก
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ และมักจะเผชิญหน้ากันเสมอ
อันที่จริงฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าตอนที่นางอยู่นอกบ้าน มีคนจ้องมองนาง
เพียงแต่อีกฝ่ายต้องการที่จะเล่นสนุก นางจึงไม่ได้สนใจ
แต่เมื่อเห็นกู่ฉินหลวนเฝิ่งที่อยู่ในมือนาง นางก็หวังว่านางจะเหนือกว่า
และนี่คือเหตุผลที่ฉีเฟยอวิ๋นต้องการมาตามหาเฉินอวิ๋นเจี๋ย
การที่นางนำกู่ฉินหลวนเฝิ่งมาด้วย บางทีอาจจะมีโอกาสเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ได้เห็น
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปถึงกลางลานบ้านที่ล้อมรอบด้วยทางเดินยาว ไม่มีผู้คน มีเพียงห้องตรงข้ามเท่านั้นที่เปิดประตูอยู่และมีแสงไฟอยู่ข้างใน มีคนนอนอยู่บนพื้นที่หน้าประตู เมื่อมองผ่านแสงจันทร์และแสงไฟในห้องก๋เห็นว่านั่นเป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่หน้าประตูและมองเข้าไปข้างใน
มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น และตรงหน้าเขาก็มีพิณโบราณตัวหนึ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้รู้สึกอะไรกับพิณนั้นมากนัก และชอบพิณที่อยู่ในมือมากกว่า
อย่างอื่นก็ดีและนางก็ไม่ได้อิจฉา
อีกฝ่ายอายุยี่สิบกว่า ดวงตาใสซื่อและร่างผอมบาง ในเวลานี้เขากำลังกดนิ้วทั้งสิบลงบนสายพิณและมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสนใจเสื้อผ้าบนร่างกายของเขามาก ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าของนางไม่สามารถทำเสื้อผ้าเช่นนี้ได้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์มาก
ชุดคลุมสีฟ้าคราม และไม่ได้สวมอะไรอยู่ข้างใน เผยให้เห็นหน้าอกที่ล่ำสัน
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้โรคจิต แต่เมื่อเห็นผมที่พลิ้วไสวของผู้ชายก็นึกถึงคำพูดหนึ่ง แขนเสื้อปลิวไสวตามสายลม
“เจ้าเป็นใคร?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถมาอย่างเปล่าประโยชน์ได้ นางต้องถามให้ชัดเจน
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็รีบลงมือเถอะ ข้าชอบพิณที่อยู่ในมือของเจ้า หากเจ้าตายแล้ว พิณนั่นก็จะเป็นของข้า” อีกฝ่ายไม่เกรงใจ และฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่อยากจะสนใจเขา
อีกฝ่ายหยิ่งผยอง และฉีเฟยอวิ๋นก็ต้องการจะหยิ่งผยองให้มากกว่าอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นก็ต้องขออภัยในความหยิ่งผยองของอีกฝ่าย
“อ้อ……เช่นนั้นข้าจะไม่ชอบพิณในมือเจ้า หากเจ้าแพ้แล้ว ข้าควรจะแยกศพของเจ้าออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้น หรือว่าควรจะแยกศพคนของเจ้าออกเป็นหมื่น ๆ ชิ้นดี?” ในขณะที่พูด ฉีเฟยอวิ๋นก็นสังเกตสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า
ในห้องใหญ่และโล่งมาก นอกจากเสาใหญ่สองสามต้นแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจ ถึงอย่างไรในป่านี้ก็กว้างใหญ่และมีนกอยู่ทุกชนิด และคนวิปริตบางคนก็ชอบความลี้ลับ
บ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีที่กินข้าว ไม่มีที่นอน และน่าจะไม่มีแม้แต่น้ำกิน นั่นก็เพื่อที่จะล่อนางออกมาและเตรียมที่จะฆ่านาง
พูดตรง ๆ ก็คือสมองกลวง นางอยู่ในเมืองหลวง หาคนเพียงสักสองสามคนแล้วไปฆ่านางเลยจะดีกว่า เช่นนั้นจะได้ไม่เสียเวลา
มีขั้นตอนยุ่งยากเช่นนี้ ลำบากแย่!
หากนางไม่มา พวกเขาคงต้องทนทนทุกข์ทรมานจนตาย
ฉีเฟยอวิ๋นมองไป และอีกฝ่ายก็ยิ้มอย่างเศร้าใจ:“พิณของข้า คนของข้า ไม่มีใครทำลายได้ แม้ว่าบนร่างกายของเจ้าจะมีสิ่งที่สามารถป้องกันพิษได้ แต่เจ้าก็ต้องตายด้วยมือข้างข้าและหนีไม่พ้น
หยุดพูดไร้สาระ ลงมือเถอะ”
อีกฝ่ายยังคงใจร้อน ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะพูดอะไรกับเขาแล้ว
หลังจากที่มองไปมองมาแล้ว นางก็นั่งลงที่หน้าประตูและวางกู่ฉินหลวนเฝิ่งไปทางอีกฝ่าย:“หยุดพูดไร้สาระ ข้าเพียงแค่อยากรู้อยู่สองเรื่อง เจ้าทำงานให้ใคร และเจ้าเป็นคนลงมือกับคนในจวนอ๋องเจ็ดใช่หรือไม่?”
“ข้าทำงานให้นายท่าน และข้าก็เป็นคนลงมือกับคนในจวนอ๋องเจ็ด เจ้าพอใจหรือยัง?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอีกฝ่าย ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาดี
เป็นไปอย่างที่คิดไว้ อีกฝ่ายพูดว่า:“ข้ามีเรื่องต้องการจะร้องขอ หากเจ้าแพ้แล้ว เจ้าต้องไปกับข้า”
“ตกลง”
ฉีเฟยอวิ๋นตกลงอย่างง่ายดาย และอีกฝ่ายก็ประหลาดใจ
“หยุดพูดได้แล้ว ลงมือเถอะ”
ฉีเฟยอวิ๋นดีดพิณเบา ๆ เสียงพิณดุจดั่งสายน้ำไหลและไพเราะ
และอีกฝ่ายก็ดีดพิณในทันที เสียงพิณประสานกัน รอบ ๆ ห้องเริ่มสั่นสะเทือน และพื้นดินก็แตกแยก……