บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 247 เบาะแส
“ยินดีต้อนรับนายน้อยย” เสียงของเหล่าอาวุโสและรองอาวุโสต่างประสานเสียงกันเอไป๋จูเหวินเดินทางกลับมาที่กลุ่มนักล่าอสูร ซึ่งตอนนี้ตั้งอยู่ติดกับเมืองหลวงชนิดเกือบจะเป็นเมืองเดียวกันไปแล้ว หลังสงครามจบแทนที่จะกลับไปเมืองร้อยแปดอสูร อู๋หมิงเสนอให้หวงหลงตั้งกลุ่มนักล่าอสูรขึ้นใหม่ที่เขตตะวันตกของเมืองหลวง โดยมอบพื้นที่สร้างเมืองมากกว่าพื้นที่ร้อยแปดอสูรเดิมอีกต่างหาก แม้จะยังสร้างไม่เสร็จทั้งหมดแต่วังมังกรใหม่ก็สร้างไปแล้วกว่าครึ่ง ทําให้สามารถใช้ห้อประชุมได้แล้ว
“ขออภัยที่ทําให้พวกท่านเป็นห่วง”ไป๋จูเหวินว่าพลางประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม ตัวมันหายไปเกือบครึ่งปี ความเปลี่ยนแปลงต่างๆมีอยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะสมาชิกกลุ่มนักล่าอสูรที่เพิ่มจํานวนมากกว่าแต่ก่อนอย่างเทียบไม่ ติด แม้แต่หน่วย 7 ที่ไม่ค่อยจะมีคนนักยังมีคนเข้ามาเพิ่มอีกนับร้อย
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” หวงหลงว่าพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ ตัวมันเองก็ได้ข่าวจากเหม่ยหลินว่าไป๋จูเหวินยังมีชีวิตอยู่ แม้จะปะทะกับยอดฝีมือระดับเจ้าสวรรค์ก็ตาม ทําให้พวกมันสามารถทํางานต่อกันได้โดยยังมีความหวังว่านายน้อยของพวกมันจะยังกลับมาอยู่
“นายน้อย ท่านเดินทางมาเหนื่อยๆจะพักผ่อนก่อนหรือไม่” รองหัวหน้าถามพลางยิ้มกว้าง
“ไม่หรอก เจ้าต้องไปที่วังหลวงก่อน สหายของเจ้าแจ้งมาว่าหากเจ้ากลับมาให้ไปที่วังหลวงทันที” หวงหลงว่าพลางมองไปทางเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวง ตอนนี้ระยะห่างระหว่างเมืองร้อยแปดอสูรใหม่กับเมืองหลวงแทบจะต่อติดกันเป็นเมืองเดียว การไปยังวังหลวงนั้นใชเวลาแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น
“ขอรับ ข้าเข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินว่าพลางพาเหล่าอสูรเดินทางไปยังเมืองหลวง แม้ก่อนหน้านี้มันจะความจําเสื่อม แต่มันก็ไม่ได้เดินท่ามกลางเหล่าอสูรของมันเองมานานแล้ว ทําเอาอดคิดถึงไม่ได้จริงๆ แม้จะมีอสูรปักเป้าที่ยังไม่ยอมลงมา จากท้องฟ้าก็ตาม ท่าทางมันจะยังรู้สึกผิดเรื่องที่โจมตีใส่ไป๋จูเหวินเข้า แต่ไป๋จูเหวินก็บอกมันแล้วว่ามันไม่ได้ถือสาอะไร แต่ถึงอย่างนั้นอสูรปักเป้าก็ไม่กล้าลงมาในระยะของไป๋จูเหวินอยู่ดี มันเอาแต่ลอยบนอากาศอย่างกับดวงดาวประจําตัวของไป๋จูเหวินไม่มีผิด
“พี่ไป ทําไมไปไปมากับพวกเราไม่ได้ละ” หลินหลินถามพลางกลายร่างเป็นแมงมุมเพื่อเดินทางไปยังวังหลวง ตอนนี้นางเป็นอสูรที่คุ้นหน้าคุ้นตากับคนในวังหลวงดี ต่อให้อยู่ในร่างแมงมุมคนในวังก็ไม่แตกตื่นอีกแล้ว
“ไปไปพึ่งฟักจากไข่ได้ไม่นาน ให้นางอยู่กับมารดาไปก่อนเถอะ”ไป๋จูเหวินตอบพลางถอนหายใจออกมา น่าเสียดายที่มันไม่ทราบว่ามารดาของหลินหลินอยู่ที่ไหน ส่วนมารดาของปิงปิงก็ตายไปตั้งแต่นางยังไม่ออกจากไข่ ทําให้พวกนางที่ยังเด็กต้องร่อนเร่ไปทั่ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกนางก็ดูมีความสุขดี
–
“แต่ไปไปเก่งมากเลยนะ ข้าไม่คิดว่าจะมีใครแกล้งนางได้หรอก” หลินหลินยังคงถามต่อเพราะนางอยู่กับไปไปมาตั้งแต่ออกจากไข่ รู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกันไม่มีผิด
“เพราะนางเก่งมากยังไงล่ะ นางถึงมากับพวกเราไม่ได้”ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลางลูบหัวหลินหลินอย่างเบามือ ไม่ทราบเพราะมีบิดาเป็นมังกรธรณีที่อยู่ระดับบรรพกาลหรือไม่ แต่ไปไปกลับเกิดมาในระดับบรรพกาลตั้งแต่เกิด ทําให้นางควบคุมพลังได้ค่อนข้างยาก สุดท้ายคนที่เล่นกับนางได้ก็มีแต่หลินหลินที่มีเกราะหนาสุดๆกับพวกท่านน้าเท่า นั้น แม้แต่ราชินีมังกรยังต้องคอยระวังเวลาอยู่กับบุตรสาวเลย และเพราะการไม่สามารถควบคุมพลังของตนเองได้ดีนัก ทําให้มังกรธรณีไม่ยอมให้ไปไปออกเดินทางกับไป๋จูเหวินด้วย และต่อให้คุมได้มันก็คงไม่ยอมให้บุตรสาวออกจากบ้านไปตั้งแต่แรกเกิดอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไป๋จูเหวินก็กลับไปหาอสูรเต่ายักษ์เพื่อถาม เรื่องของไป๋ไป่ ปรากฏว่าแม้แต่อสูรเต่ายักษ์และอสูรปักเป้าเองนั้นก็เกิดมาจากบิดามารดาที่ไม่ได้อยู่ในระดับบรรพกาลเสียด้วยซ้ํา อสุรระดับบรรพกาลตั้งแต่แรกเกิดซึ่งอาจจะเหมารวมอสูรแมงมุมมารดาของไป๋จูเหวินเด้วยนั้นเกิดมาเองตามธรรมชาติ ไม่มีใครทราบว่าอสุรบรรพกาลแต่กําเนิดนั้นจะเกิดมาที่ใด ต่อให้มีพ่อแม่เป็นระดับบรรพกาลทั้งคู่ก็ยังไม่มีโอกาสเช่นนั้นเลย เรียกได้ว่าไปไปที่เกิดมาเช่นนี้นั้นเพราะโชคชะตาล้วนๆ
แต่ก็ต้องนับว่าไปไปเกิดมาโชคดีไม่น้อย เพราะปกติอสูรบรรพกาลตั้งแต่กําเนิดนั้นจะไม่มีคนคอยสอนเรื่องราวต่างๆให้ เพราะปกติบิดามารดาที่มีพลังต่ํากว่าจะไม่กล้าทําอะไรบุตรของตนเองเลย อย่างอสูรแมงมุมเองก็ทําอะไรไม่สนใจใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ไปไปกลับไม่เหมือนกัน นางมีมังกรธรณีและพวกน้าๆคอยสอนอยู่ แม้จะอยู่ในระดับบรรพกาลขั้นต้นเหมือนกันแต่ไปไปที่ยังเป็นเด็กย่อมพลังด้อยกว่า ทําให้พวกน้าๆของไป๋จูเหวินยังสามารถข่มนางได้อยู่
“ตรงนี้เจ้าต้องคืนร่างแล้วนะหลินหลิน” หลินหลินเดินมาได้ไม่กี่นาที นางก็โดนหญิงสาวคนหนึ่งหยุดเอาไว้
“พี่ซูหลาน” หลินหลินว่าพลางคืนร่างเป็นเด็กสาวอย่างว่าง่าย เพราะการสรสของนางล่มไม่เป็นท่าทําให้ซูหลานยังคงอยู่ที่วังหลวงไม่ได้จากไปไหน เพียงแต่ยามนี้ซูหลานแต่งกายด้วยชุดสีขาวราวกับกําลังไว้ทุกให้ใครบางคนอยู่
“ท่านยังปลอดภัยจริงๆด้วย ข้าดีใจนะที่ได้เห็นท่านอีก” หลานว่าพลางยิ้มบางๆท่าทางหม่นหมองก่อนหน้านี้เบาไปมากแล้ว แต่ก็ยังเห็นแววตาเศร้าๆของนางได้อย่างเลือนลาง
“ขอบใจที่เป็นห่วงว่าแต่…”ไป๋จูเหวินกําลังจะถามว่าอู๋หมิงอยู่ที่ไหน อยู่ๆร่างของหญิงสาวนางหนึ่งก็พุ่งเข้ามากอดร่างของไป๋จูเหวินเอาไว้
“พี่ไป ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เหม่ยหลินถามพลางซบหน้าลงบนอกของไป๋จูเหวินแน่น นางเห็นการโจมตีของอสูรปักเป้ากับตา แม้นางจะเป็นคนบอกคนอื่นว่าไป๋จูเหวินยังมีชีวิตอยู่ แต่นางกลับเป็นคนที่กังวลที่สุดเลยก็ว่าได้
“ใช่ ข้าไม่เป็นไร”ไป๋จูเหวินตอบพลางมองเหม่ยหลินที่กอดมันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย นางท่าทางดีใจมากไป๋จูเหวินก็เลยปล่อยให้นางกอดอยู่แบบนั้น
“เหม่ยหลิน ยังไงที่นี่ก็เป็นเขตวังหลวงนะจะ” ซูหลานแซวพลางมองเหม่ยหลินยิมๆ ทําเอาเหม่ยหลินหน้าแดงระเรื่อก่อนจะผละตัวออกมาจากร่างของไป๋จูเหวินอย่างช่วยไม่
“ท่านคงมาหาพี่ชายข้า ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ที่ท้องพระโรง ท่านไปเถอะ” ซุหลานโบกมือพลางขอตัวเดินทางไปวัดกับพวกองครักษ์ของนาง โดยบอกให้เหม่ยหลินที่กําลังจะไปเป็นเพื่อนให้อยู่กับไป๋จูเหวินไปก่อน
แม้แต่ก่อนซูหลานจะมีความรู้สึกชมชอบไป๋จูเหวินอยู่บ้าง แต่หลังจากพิธีอภิเษกนางก็ได้ทราบแล้วว่าใครคือคนที่รักนางจริงๆ อาจจะเพราะการสละชีวิตของชูเฟิงทําให้นางเปิดใจยอมรับรักของมันก็เป็นได้ แม้มันจะสายเกินไปแต่นางก็รักมันเข้าจริงๆเสียแล้ว ทําให้ยามที่เห็นเหม่ยหลินแสดงท่าทีต่อไป๋จูเหวินชัดเจนเช่นนั้นนางเลยไม่ได้รู้สึกอิจฉาแต่อย่างไร
“พี่ไป ท่านหายไปไหนมาตั้งหลายเดือน ข้าเป็นห่วงท่าน มากเลยนะ”เหม่ยหลินว่าพลางเดินตามไป๋จูเหวินไปยัง ท้องพระโรงอย่างช้าๆ
“เจ้าอาจจะไม่เชื่อก็ได้ ที่นั่นเป็นที่ๆแปลกมาก แถมข้ายัง เจอคนหน้าตาเหมือนข้าไม่มีผิดอีกต่างหาก”ไป๋จูเหวินว่าพลางหัวเราะออกมา แม้ตอนความจําเสื่อมจะแค่รู้สึกไม่คุ้นเคย แต่พอความทรงจํากลับมาแล้วอาณาจักรไชน์ที่มันไปอยู่มาช่วงหนึ่งนั้นแปลกตามากจริงๆ ทั้งการก่อสร้างและวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน ทําเอาไป๋จูเหวินได้เปิดหูเปิดตาไม่น้อย
“จริงเหรอ พี่ไป ท่านเล่าให้ข้าฟังให้ละเอียดเลยนะ” เหม่ยหลินว่าพลางยิ้มกว้าง
“งั้นคงต้องเล่าพร้อมกันแล้วล่ะ”ไป๋จูเหวินพูดพลางเดินเข้าไปในท้องพระโรงหลังจากให้ทหารรายงานการมาถึงของมันแล้ว ทันที่ที่ไป๋จูเหวินเข้าไปเหล่าขุนนางก็เดินสวนออกมาในทันทีราวกับการประชุมพึ่งเลิก หรืออู๋หมิงจะยกเลิกการประชุมหลังจากรู้ข่าวการมาถึงของไป๋จูเหวินกัน?
“เจ้ากลับมาจริงๆ”อู๋หมิงลุกจากบัลลังก์พลางเดินลงมาอย่างรวดเร็ว มันเองก็เป็นคนที่ดีใจมากที่ไป๋จูเหวินยังมีชีวิตอยู่เช่นนี้
“เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหลายอย่างเลย แต่ก็รอมาจนได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางหัวเราะเสียงเบา พอได้เจอพวกพ้องอย่างนี้แล้วไป๋จูเหวินก็อดคิดไม่ได้ว่าโชคดีจริงๆที่ได้ความทรงจํากลับคืนมา มันยังจําความรู้สึกตอนความจําเสื่อมใหม่ๆได้ดี มันทั้งกลัวและเหงาอย่างมาก ความรู้สึกโดดเดี่ยวในตอนนั้นสําหรับคนที่มีคนที่รักล้อมรอบอย่างไป๋จูเหวินแล้วช่างน่ากลัวจริงๆ
“วันนี้ข้ามีเวลาว่าง เจ้าเล่ามาให้หมดเถอะ”อู๋หมิง ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แน่นอนว่าจักรพรรดิอย่าง มันจะไปมีเวลาว่างได้อย่างไร แต่เพราะมันพึ่งไล่ขุนนาง กลับไปเมื่อครู่ต่างหาก
“ได้ งั้นข้าจะเล่าพร้อมกันเลย”ไป๋จูเหวินว่าพลางยิ้มออกมา ตอนกลับไปเขตอสูรมันก็เล่าเรื่องต่างๆให้พวกท่านน้าฟังไปที่หนึ่งแล้ว แม้แต่อสูรเต่ายักษ์ยังขอให้มันเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นอีกต่างหาก แม้แต่หัวหน้าถังที่มันแวะไปหาก็ยังขอให้เล่าเช่นกัน ไป๋จูเหวินจึงเรียบเรียงเรื่องราวทั้งหมดและเล่าออกมาได้อย่างคล่องแคล่วเพราะเริ่มชินแล้ว
“ยอดเขาที่มีบ่อน้ํา”อู๋หมิงทวนคําหลังจากได้ฟังเรื่องเล่าของไป๋จูเหวิน มันไม่ทราบมาก่อนเลยว่าไป๋จูเหวินเคยความจําเสื่อมมาก่อนเมื่อสมัยเด็ก
“ที่แบบนั้นมีทั่วไปเลยนะ แล้วท่านจะตามหาเจอหรือ”เหม่ยหลินถามด้วยความสงสัย แม้แต่พวกท่านน้ายังไม่สามารถบอกได้ว่ายอดเขาที่ไป๋จูเหวินเห็นคือที่ไหน ทําให้การตามหาที่มาของตนเองยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย
“ก็นั่นล่ะ ข้าถึงยังทําอะไรไม่ได้”ไป๋จูเหวินตอบพลางส่ายหน้าเบาๆ แม้จะอยากออกเดินทางตามหาเต็มแก่ แต่มันยังไม่มีเบาะแสอะไรเลยสักอย่างนี้สิ จะไปทิศไหนก่อนมันยังตัดสินใจไม่ถูกเลย
“หึม…” อยู่ๆไป๋จูเหวินก็ชะงักไปครู่หนึ่งพลางมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะใหญ่กลางท้องพระโรง มันเป็นแผนที่ขนาดใหญ่และรูปวาดอีกจํานวนหนึ่ง
“มีอะไรงั้นเหรอ”อู๋หมิงถามพลางมองเอกสารบนโต๊ะของตนเอง มันไม่ได้มีรูปภูเขาอยู่เลยไม่ใช่หรือ?
“ชุดนี้มัน”ไป๋จูเหวินว่าพลางชี้ไปที่รูปๆหนึ่งที่วาดอยู่บนกระดาษ มันเป็นรูปของชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม แม้จะไม่คุ้นหน้า แต่ไป๋จูเหวินกลับจําเครื่องแต่งกายของชายคนนี้ได้ เครื่องแต่งกายเช่นนี้เหมือนกับคนที่รุมผู้ชายที่อุ้มไป๋จูเหวินมาไม่มีผิด แถมยังเป็นชุดของคนที่โจมตีอสูรวิหคซึ่งเป็นต้นเหตุให้ไป๋จูเหวินตกลงไปที่เขตอสุรผาไร้ก้นอีกต่างหาก