ภาคที่ 1 บทที่ 31 ต่อรอง(1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 31 ต่อรอง(1)

ซูเฉินกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู เมื่อกลับมาเขาถึงก็ตรงไปยังลานบ้านของตนทันที เมื่อเดินถึงหน้าประตู เจี้ยนซินก็เดินออกมาต้อนรับ “นายน้อยนี่จริง ๆ เลยนะขอรับ! ออกไปโดยทิ้งข้าไว้ที่นี่ ไม่รู้ว่าข้าเป็นข้ารับใช้ส่วนตัวนายน้อยหรือเป็นคนกวาดลานกันแน่”

ซูเฉินตอบยิ้ม ๆ “ข้าเดินทางไปยังศาลาหยกพิสุทธิ์เป็นครั้งสุดท้าย พาเจ้าไปด้วยจะได้อะไร? ส่วนเจ้าไม่ใช่คนกวาดลาน แต่เป็นหัวหน้าพ่อบ้านของข้าต่างหาก”

เจี้ยนซินหัวเราะ “ขอบพระคุณสำหรับคำของนายน้อยขอรับ วันนี้นายน้อยแสดงอำนาจ ชื่อเสียงดังไกล ทำให้ลานแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สำคัญอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ตอนที่พี่จิ้งมาหาข้าก็ดูท่าทางนอบน้อมมากเลยขอรับ”

“อา น้ำเสียงเจ้าเลยดูร่าเริงแบบนี้เอง” ซูเฉินยิ้ม ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน

เจี้ยนซินเดินตามไปติด ๆ “ถึงจะเป็นคำถามที่แปลกไปสักหน่อย แต่นายน้อยรู้ได้อย่างไรว่าซูเยว่ทำอันใดกับรถม้าของนายน้อยหรือขอรับ?”

ซูเฉินหยุดฝีเท้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “หือ? คิดจะถามซอกแซกเรื่องความลับเจ้านายงั้นหรือ?”

เจี้ยนซินเอามือแตะท้ายทอยแล้วยิ้มโง่ออกมา “ข้าก็แค่สงสัยน่ะขอรับ”

“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าก็จะบอก ข้าย่อมไม่เห็นว่าซูเยว่ทำสิ่งใดกับรถม้า ทว่ามีคนอื่นเห็นและแอบเตือนข้า ดังนั้นข้าจึงรู้”

“มีคนเตือนท่านหรือ? ใช่หมิงชูหรือไม่ขอรับ?”

ซูเฉินตอบ “ตอนนั้นหมิงชูไปตามโจวหง ไม่ได้อยู่ตอนที่  ซูเยว่ทำลายรถม้าเลยไม่ได้เป็นคนเตือนข้า ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า คนผู้นั้นเป็นคนของซูเยว่”

“ว่าไงนะขอรับ?” เจี้ยนซินตกตะลึงไป

ในหมู่คนของซูเยว่ จะมีใครที่ช่วยเหลือซูเฉินอยู่กัน?

ซูเฉินทำทีราวกับว่าตนเพิ่งเผยความลับสำคัญออกไป เขาพูดกับเจี้ยนซินเสียงกระซิบ “เจ้ารู้แค่นี้พอแล้ว อย่าถามให้มากความ”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับนายน้อย” ถึงจะยังอยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้ ทว่าเจี้ยนซินก็ไม่อาจทำอะไรได้ เพียงแต่เอ่ยถามออกไปว่า “นายน้อยมีคำสั่งใดหรือไม่ขอรับ?”

ซูเฉินตอบ “ยังไม่มีคำสั่งอะไร ไปก่อนเถอะ ข้าต้องการพักผ่อนโดยไม่มีใครรบกวนสักหน่อย”

ซูเฉินโบกมือให้เจี้ยนซินออกไป ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนของตน

ตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปนั่นเอง ซูเฉินก็หยุดชะงักไป

ชั่วครู่ต่อมา เขาก็หันไปตะโกนเรียกคน “เจี้ยนซิน!”

“มีอะไรหรือขอรับนายน้อย?” เจี้ยนซินหันมา

“ไปนำน้ำร้อนมาให้ข้า ใช้ถังน้ำแบบที่สองใส่น้ำร้อนมา”

“ขอรับ” เจี้ยนซินหันมามองซูเฉินงง ๆ แต่ก็ยังรับคำไป

ซูเฉินยังไม่เดินเข้าไปในห้อง เขายืนรออยู่หน้าห้องแทน

หลังจากนั้นไม่นานนัก เจี้ยนซินก็ยกถังน้ำเข้ามา ตัวถังน้ำทำจากทองแดงโบราณ จึงมีน้ำหนักพอสมควร เจี้ยนซินยกมาคนเดียวแทบไม่ไหว

เมื่อเจี้ยนซินวางถังน้ำทองแดงลงบนแท่นแล้ว ซูเฉินไม่ปล่อยให้เจี้ยนซินรีรออยู่ในห้อง ส่งคนผู้นั้นไปดูแลท่านแม่แทน จากนั้นเขาจึงเดินเข้าห้องไปเพียงลำพัง

สิ่งแรกที่เขาทำคือการเปิดหน้าต่างออกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะใช้มือแตะไปที่ถังน้ำอย่างเงอะงะ หลังจากแตะถูกถังทองแดงแล้ว เขาก็ปล่อยให้ไอน้ำอุ่น ๆ แตะผ่านใบหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงสบาย “หากท่านจะไม่ลงมือก็มาคุยกันหน่อยเถอะ”

ไร้เสียงตอบรับใด

ซูเฉินคลี่ยิ้ม ในมือเด็กหนุ่มยังถือถังน้ำทองแดงอยู่ เขาหันหลังกลับไป ไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาจากถังน้ำซ่อนเงาร่างของ    ซูเฉินไว้หลังหมอกน้ำหนา เขาถือถังน้ำทองแดงไว้แน่น ทำท่าราวกับกำลังตั้งรับ มือที่ถือเอียงออกเล็กน้อยราวกับว่ากำลังจะสาดน้ำออกไป

ถึงจะเป็นการตั้งท่าพื้นฐานแสนธรรมดา ทว่าเขากลับตั้งท่าป้องกันอย่างแน่นหนาที่สุด

ซูเฉินพูดต่อ “ท่านคงเชี่ยวชาญไม่น้อย ถึงขนาดเข้ามาในตระกูลซูได้โดยไม่ถูกผู้ใดพบเห็น ทว่าตลอดเวลาที่ข้าอยู่ในห้องนี้ ท่านกลับไม่ลงมือ ข้าคิดว่าที่ท่านยังไม่ลงมือเป็นเพราะท่านคิดว่าข้าจะใช้แรงกระเสือกกระสนเฮือกสุดท้ายในการเตือนให้ตระกูลซูรู้ ท่านจึงหวังว่าจะหาจังหวะเหมาะที่จะสังหารข้าในคราเดียว เป็นแบบนั้นใช่หรือไม่? โชคไม่ดีที่ข้าเตรียมตัวมาดี ท่านไม่มีโอกาสเช่นนั้นแน่ หยุดซ่อนตัวแล้วออกมาคุยกันเถอะ สหายที่อยู่ข้างเตียง”

ประโยคสุดท้ายคือสิ่งที่ทำให้ความอดทนของคนที่ซ่อนตัวอยู่พังทลายสิ้น

น้ำเสียงแหบห้าวดังขึ้น “ข้าเชื่อว่าการซ่อนตัวของข้านั้นค่อนข้างไร้ที่ติ เจ้ารู้ตัวได้อย่างไร?”

ไม่นาน ชายชุดดำก็ย่างกรายออกมาจากเงามืดข้างเตียงงาสัตว์สลักของซูเฉิน

ตอนที่ชายผู้นี้กำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่มีผู้ใดเห็นเขาแม้สักคน ราวกับเขาสามารถแทรกตัวเข้ากับเงามืดจนไม่มีผู้ใดแยกระหว่างเงาดำกับเงาร่างเขาออก

ทว่าการซ่อนตัวในความมืดย่อมมีข้อเสีย หากคนเตรียมตัวและรับรู้ได้ถึงตัวตนที่ซ่อนอยู่แล้ว ก็ไม่อาจแสเสร้งซ่อนเร้นในเงามืดได้อีก ยิ่งถ้าถูกสาดน้ำร้อนเข้าใส่ด้วยแล้ว

ซูเฉินยิ้ม “คนตาบอดสามารถรับรู้ว่ามีคนอยู่ในห้องได้หรือไม่โดยไม่ต้องใช้ตามอง”

ถูกต้องแล้ว ซูเฉินรับรู้ถึงตัวตนเขาได้โดยใช้หู

ตอนที่เขากำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าห้องนั่นเอง ซูเฉินก็รู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ในห้อง ถึงคนผู้นั้นจะซ่อนลมหายใจของตนไว้ ทว่าตราบใดที่ขั้นพลังยังไม่ถึงด่านทะลวงลมปราณ คนผู้นั้นก็ไม่อาจซ่อนเสียงเต้นของหัวใจได้ สถานที่ที่ซ่อนตัวอยู่ยังเป็นสถานที่เงียบสงบ ระยะห่างก็ไม่มาก ซูเฉินจึงสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเขาได้

ในเมื่อหูได้ยินว่ามีคนทว่าไม่เห็นตัว ซูเฉินจึงรู้ทันทีว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาดี

หลังจากนึกย้อนกลับไปยังเคราะห์ร้ายเมื่อสองสามวันก่อนหน้า ซูเฉินก็เดาออกในทันทีว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้อาจเป็นผู้ใด

เขามีความกล้าหาญอยู่พอสมควร รู้ทั้งรู้ว่าผู้อาวุโสซางส่งคนมาสังหารตน ทว่าเด็กหนุ่มกลับไปหนี แถมยังเลือกเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูโดยทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอีก

นักฆ่าซึ่งถูกกดดันให้ออกจากเงามืดหัวเราะหึออกมา “ไม่แปลกที่เจ้าสามารถสังหารหลินเซี่ยได้ เจ้าเองก็เก่งไม่ใช่น้อย แล้วเจ้าต้องการคุยเรื่องอะไร?”

เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของซูเฉินก็กลายเป็นรอยยิ้มเหี้ยมทันที

เขาเดาถูก คนผู้นี้เป็นคนของผู้อาวุโสซางจริง ๆ ผู้อาวุโสส่งคนมาสังหารเขาหลังจากเรื่องเมื่อวาน การกระทำของเขานับได้ว่าทั้งเด็ดขาดและโหดร้าย

แต่ดูท่าคนผู้นี้จะโชคไม่ดีเท่าไหร่ เพราะแม้จะผ่านมาแค่คืนเดียว แต่ซูเฉินเองก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว

“เรื่องที่ข้าอยากพูดนั้นเรียบง่าย ท่านคงซ่อนตัวอยู่ข้างเตียงข้ามาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ท่านได้เปิดดูใต้หมอนหรือไม่?”   ซูเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม

ชายชุดดำยกหมอนขึ้นด้วยสายตาว่างเปล่า

ตอนที่ยกหมอนขึ้นมา เขาระมัดระวังเป็นพิเศษด้วยเกรงว่าอาจมีกับดักซ่อนอยู่ ทว่ากลับไม่เจอกับดักอันใดเมื่อยกหมอนขึ้นมา มีเพียงจดหมายปิดผนึกหนึ่งฉบับนอนนิ่งสงบอยู่ใต้หมอน

“ท่านลองเปิดอ่านดูสิ” ซูเฉินกล่าว

ชายชุดดำฉีกจดหมายเปิดอ่าน ถึงใบหน้าจะถูกปกปิดไว้อยู่ แต่ซูเฉินก็คิดว่าใบหน้าของเขาตอนนี้คงยับยู่ยี่จนดูแทบไม่ได้

เป็นเพราะเนื้อหาในจดหมายเป็นบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าเมื่อวาน

เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในจดหมายฉบับนั้น

“ฮึ่ม!” หลังจากอ่านจนจบ ชายชุดดำก็ขยำกระดาษทิ้งก่อนจุดไฟเผามันจนกลายเป็นเถ้าถ่านลอยหายไปในอากาศ

น่าเกรงขามยิ่งนัก!

ซูเฉินคิด “คนผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไม่ผิดแน่ ถึงจะดูไม่ได้แข็งแกร่งมาก ทว่าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณหรือสูงกว่านั้นเป็นแน่”

เป็นด่านกลั่นโลหิตหรือด่านทะลวงลมปราณกัน?

คนผู้นี้ไม่น่าจะมีขั้นพลังอยู่ด่านทะลวงลมปราณ ท่านปู่ของตระกูลซูเองก็มีขั้นพลังอยู่ในด่านทะลวงลมปราณเช่นกัน คนที่มีขั้นพลังสูงเช่นนั้นไม่น่าจะถูกส่งมาเป็นมือสังหารนายน้อยตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้

อย่างมากคนผู้นี้น่าจะมีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิต แต่ที่เป็นไปได้มากกว่าคือน่าจะอยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ

ซูเฉินคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว

ชายชุดดำไม่รู้ว่าซูเฉินกำลังประเมินพละกำลังของจนอยู่ เขาเพียงเอ่ยขึ้นว่า “อย่าคิดใช้วิธีเช่นนี้ลวงข้า จดหมายนี่ดูท่าจะเป็นหนทางสุดท้ายของเจ้า หากข้าสังหารเจ้าเสีย เรื่องก็จะถูกฝังไปพร้อมกับเจ้า”

ได้ยินดังนั้นซูเฉินขึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสารเห็นใจ “ท่านเป็นคนบื้องั้นหรือ? ท่านไม่เคยถามตัวท่านเองบ้างหรือว่าคนตาบอดจะเขียนจดหมายได้อย่างไร?”

ชายชุดดำตกตะลึงไปในทันที

ยังไม่พอ ซูเฉินพูดตอกกลับไปอีกหนึ่งประโยค “ท่านทำลายหลักฐานได้แนบเนียนนัก แต่น่าเสียดาย… โอกาสตามรอยลายมือจากจดหมายฉบับนั้นก็ถูกทำลายไปแล้วเช่นเดียวกัน”