ตอนที่ 481 - สร้างขาใหม่

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.481 – สร้างขาใหม่ 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกล่าว “นี่ .. งั้นถ้า– ไม่สิ เอาเป็นว่าฉันจริงจังก็แล้วกัน เพราะมันคือสิ่งที่เธอสมควรได้รับ หยางเคียน ฉันมาที่นี่ในครั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างขาใหม่ให้แก่เธอ” 

 

 

 

 

 

สีหน้าของหยางเคียนที่แต่เดิมเริ่มผ่อนคลายลง กลับกลายเป็นช็อกไป 

 

 

 

 

 

“ฉิน- ฉินเฟิง นาย .. นายไม่ได้แกล้งล้อกันเล่นใช่ไหม? ขาของฉันสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้จริงๆ? ” หยางเคียนเอ่ยตะกุกตะกัก 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงพยักหน้ายืนยันหนักแน่น และกล่าว “ได้สิ ไม่งั้นฉันคงไม่มาหาเธอหรอก” 

 

 

 

 

 

ความจริงเมื่อพร้อม ฉินเฟิงก็ตั้งใจจะช่วยแก้ปัญหานี้ให้แก่เธออยู่แล้ว แต่เขาไม่นึกฝันเลย ว่าระหว่างรอ หยางเคียนจะตกอยู่ในความทุกข์ระทมแบบนี้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

แน่นอน ว่าเขารู้สึกขอบคุณในความโชคดีของตน ถ้าเขาละเลย มาไม่ทันในวันนี้ล่ะก็ หยางเคียนอาจตายไปแล้วก็ได้ 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ฉัน ฉันไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนนายยังไง ฉัน บางทีฉันอาจไม่สามารถจ่ายเงินมากขนาดนั้นได้” 

 

 

 

 

 

หยางเคียนพยายามนึกหาวิธีตอบแทนจนหัวปั่น 

 

 

 

 

 

แต่ฉินเฟิงไม่ได้ต้องการให้หยางเคียนชดใช้ให้แก่เขาเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ต้องการให้เธอตอบแทนอะไร 

 

 

 

 

 

ยังไงก็ตาม เขามิคิดพูดมันออกไป 

 

 

 

 

 

เพราะฉินเฟิงรู้ดี ว่าหยางเคียนในตอนนี้ จำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อก้าวไปข้างหน้า 

 

 

 

 

 

“ไม่ต้องรีบใช้คืนฉันหรอก เพราะของที่ฉันจะใช้ช่วยเธอ มันมีคุณสมบัติเสริมสมรรถภาพร่างกายให้ดีขึ้น และอาจถึงขึ้นสามารถปลุกพลังวรยุทธโบราณได้ พอรักษาเสร็จแล้วเธอกลายเป็นผู้ใช้พลัง แล้วเรื่องหาเงินก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป” 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงทำให้หยางเคียนต้องสูญเสียขาของเธอไป จมอยู่กับชีวิตอันน่าเศร้าเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี  

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแทรกแซงของฉินเฟิง หยางเคียนในฐานะคนธรรมดา เธอจะได้กลายเป็นผู้ใช้พลัง และก้าวเข้ามาสู่โลกอีกใบหนึ่ง 

 

 

 

 

 

ประสบความสูญเสียในวันนี้ แต่ได้รับโอกาสที่ดีในวันหน้า! 

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง ถ้านายทำได้จริงๆ ทั้งชีวิตต่อจากนี้ของฉันแซ่หยาง ชื่อเคียน ขอมอบให้นาย!” หยางเคียนขบฟันกล่าว 

 

 

 

 

 

แม้นี่จะไม่ใช่สิ่งที่ฉินเฟิงคาดหวัง แต่นับจากนี้ไป ผู้ภักดีต่อเขา ได้ปรากฏขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงพาหยางเคียนไปเก็บของ อาบน้ำชำระกาย เพื่อไปยังสถานชุมชนเฟิงหลี 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ฉินเฟิงกับไป๋หลี มุ่งหน้าไปอีกทาง ตรงเข้าสู่เมืองเฉิงหยาง 

 

 

 

 

 

การมาของฉินเฟิงในครั้งนี้ เหตุผลหลักเพื่อไปพบกับเทศมนตรีของเมืองเฉิงหยาง –ไป่เทียนหยาง 

 

 

 

 

 

เนื่องจากฉินเฟิงต้องการย้ายสถานชุมชนเฟิงหลี ดังนั้นเขาจำเป็นต้องส่งมอบตำแหน่งผู้ว่าการให้แก่คนอื่น และมันจำเป็นต้องพูดคุยกับคนที่รับผิดชอบในส่วนนี้ เพื่อขอให้อีกฝ่ายอนุมัติ 

 

 

 

 

 

แต่อันที่จริง การที่ในเขตสามเฉิงสามารถผลิตอัจฉริยะอย่างเช่นฉินเฟิงได้ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เดิมฉินเฟิงสมควรรั้งอยู่เพื่อเกื้อหนุนเขตของตนเอง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขาก้าวกระโดดเกินไป ดังนั้นเขตสามเฉิงมิอาจรั้งเขาเอาไว้ได้ 

 

 

 

 

 

เมื่อฉินเฟิงส่งคำขอเหล่านี้มา ไป่เทียนหยางก็รู้สึกว่าฉินเฟิงมีเหตุผล 

 

 

 

 

 

ในส่วนทรัพยากรของสถานชุมชนเฟิงหลี มันจะถูกย้ายไปทั้งหมดหรือไม่ ไป่เทียนหยางไม่สนใจ 

 

 

 

 

 

เพราะที่ตั้งของสถานชุมชนเฟิงหลีไม่ค่อยดีนัก หากไม่ใช่เพราะฉินเฟิง สถานชุมชนแห่งนี้คงไม่ต่างจากเมืองหาน ทรัพยากรน้อยยากจะจัดการ  

 

 

 

 

 

แต่ด้วยผู้ครอบครองมันคือฉินเฟิง ทำให้ความเจริญของสถานชุมชนเฟิงหลีในตอนนี้ ขยายขอบเขตออกไปใหญ่โต ไกลเกินกว่าจะเรียกว่าสถานชุมชนแล้ว 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

ภายในตึกบริหารเมืองเฉิงหยาง ฉินเฟิงกับไป๋หลีก้าวเข้าไป  

 

 

 

 

 

ทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาของฝูงชน 

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์ต้อนรับและกล่าวทันที “สำนักงานเทศมนตรีอยู่ชั้นไหน?” 

 

 

 

 

 

“อา! อยู่บนชั้น 30 นายท่านโปรดรอสักครู่ ฉันจะนำทางขึ้นไปเอง” พนักงานต้อนรับตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ไม่ทันนึกเอ่ยถามถึงเรื่องนัดหมายหรือได้ติดต่อล่วงหน้ามาแล้วรึเปล่า 

 

 

 

 

 

แต่ก็นั่นล่ะ ต่อให้ไม่ได้นัดไว้ ไหนเลยจะมีใครห้ามเขาได้? 

 

 

 

 

 

เพราะฉินเฟิงมีอำนาจมากกว่าเทศมนตรีไป่เทียนหยาง  

 

 

 

 

 

บนอกของอีกฝ่าย ติดตราสัญลักษณ์ที่มียศสูงกว่าเทศมนตรีเอาไว้ 

 

 

 

 

 

ตลอดเส้นทาง บางคนก็ตกใจจนทำของในมือหล่น บางคนก็มัวแต่เหม่อมองจนเผลอเดินชนกำแพง หรือสะดุดขาตัวเองล้ม 

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉากนี้มันทำให้พวกเขาตกใจมากเกินไป 

 

 

 

 

 

ไม่ใช่แค่ฉินเฟิง แต่ตราบนอกของไป๋หลีเองก็ไม่น้อยหน้า เป็นถึงเลเวล D ซึ่งมันคือการดำรงอยู่ระดับสูงสุดของเมืองเฉิงหยาง ความแข็งแกร่งของเมืองเฉิงหยางนั้นอ่อนแอ มีเฉพาะเทศมนตรีเท่านั้นที่มีโอกาสก้าวขึ้นสู่เลเวล D ไม่มีใครอื่นอีก 

 

 

 

 

 

ดังนั้น การปรากฏตัวของฉินเฟิงและไป๋หลี มันจะไม่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้อย่างไร? 

 

 

 

 

 

ลิฟต์ได้ขึ้นมาถึงชั้น 30 ของตัวอาคาร เมื่อประตูเปิดออก ก็เห็นหน้าของไป่เทียนหยางทันที ปัจจุบันเมื่อเห็นผู้มาเยือน ท่าทีของไป่เทียนหยางก็เริ่มดูอึดอัดใจ กระทั่งหน้าผากก็ผุดเหงื่อเม็ดเป้งออกมา 

 

 

 

 

 

“มิสเตอร์ฉิน คุณแวะมาเยี่ยมเยือนกะทันหัน ฉันไม่ทันตั้งตัว ขอโทษทีไม่ทันออกไปต้อนรับ ถือว่าเสียมารยาทแล้ว” ไป่เทียนหยางเร่งกล่าว 

 

 

 

 

 

“ท่านเทศมนตรีสุภาพเกินไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อย ผมไม่เก็บมาใส่ใจ” ฉินเฟิงกล่าว 

 

 

 

 

 

ไป่เทียนหยางเผยรอยยิ้มขม ใช่ว่าเขาต้องการสุภาพซะที่ไหน แม้ก่อนหน้านี้เขาจะได้รับการติดต่อจากฉินเฟิง แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดสนใจ 

 

 

 

 

 

เป็นเด็กอัจฉริยะแล้วมันยังไงกัน? ต่อให้ในอนาคตจะติดปีกทะยานสูงเทียมฟ้า แต่ก็ใช่ว่าจะในเร็ววันซะที่ไหน นี่คือความคิดของไป่เทียนหยาง 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ใครมันจะไปคิดกัน ว่าเมื่อพบกันอีกครั้ง อีกฝ่ายจะทะยานไปถึงเลเวล C แซงหน้าเขาไปซะแล้ว 

 

 

 

 

 

“ต้องขออภัยจริงๆ ฉันเพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่นี้เอง ว่าแต่ตราของมิสเตอร์ฉิน ดูจะแตกต่างไปจากของคนอื่นๆอยู่นิดหน่อยนะ” ไป่เทียนหยางยิงคำถาม คิดทดสอบเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

สำหรับผู้ใช้พลังเลเวล D เว้นแต่จะอยู่ใต้บังคับบัญชาโดยตรง นอกเหนือไปจากนั้นจะไม่สามารถทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้พลังเลเวล C ได้  

 

 

 

 

 

ข่าวจากสี่เมืองทะเลเหนือ ไม่ได้ส่งมาถึงที่นี่ ทั้งสามเฉิงราวกับเมืองปิด มิได้รับข่าวคราว 

 

 

 

 

 

“อ้อ ผมได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้การรัฐของสี่เมืองทะเลเหนือน่ะ และเพราะเรื่องนี้ ผมเลยมาหาคุณเพื่อขอยกเลิกตำแหน่งผู้ว่าการเขตสถานชุมชนเฟิงหลี” 

 

 

 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขามิอาจควบทั้งสองตำแหน่งได้ และตัวฉินเฟิงเองก็ไม่ต้องการทำแบบนั้นเช่นกัน 

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐสี่เมืองทะเลเหนือ!” ดวงตาของไป่เทียนหยางเบิกกว้าง แต่สักพักก็รู้สึกตัว การการแสดงออกของเขามันโอเวอร์ไปหน่อย เริ่มเก็บอาการอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ทั้งสองสนทนากันระหว่างทาง ไม่นานก็มาถึงห้องประชุม ฉินเฟิงเซ็นเอกสารทิ้งไว้ และเตรียมจากไปทันที 

 

 

 

 

 

“ผู้การรัฐฉิน หลังจากนี้ คุณอยากให้ใครเป็นผู้ควบคุมสถานชุมชนเฟิงหลีคนต่อไป ในความคิดคุณ เลือกคนที่เหมาะสมเอาไว้แล้วรึเปล่า?” เดิมทีไป่เทียนหยางคิดฮุบเอาตลาดมืดของเฟิงหลี แม้นับจากนี้ไป มันจะไม่เลิศเลอเท่ากับตอนที่ฉินเฟิงครอบครองก็ตาม แต่แมวกับเสือก็ยังถือเป็นสายพันธุ์เดียวกัน มันยังสามารถสร้างกำไรได้  

 

 

 

 

 

เดิมไป่เทียนหยางคิดส่งลูกน้องที่เชื่อใจได้ไปดูแลในส่วนนั้น 

 

 

 

 

 

แต่หลังจากที่ได้เห็นตราบนอกฉินเฟิง ความคิดนี้ ก็หายวับไป 

 

 

 

 

 

ภาพของคนๆหนึ่งวาบผ่านเข้ามาในจิตใจของฉินเฟิง สักพักกล่าวว่า “ขอมอบมันให้กับผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ประจำสถานชุมชนเฉิงเป่ย นายพลฮั่นเจียนก็แล้วกันครับ” 

 

 

 

 

 

“โอเค งั้นติดต่อหาเขาได้เลย” 

 

 

 

 

 

ไป่เทียนหยางไม่ลังเล มอบตำแหน่งให้ฮั่นเจียนทันที สำหรับฮั่นเจียน นี่ไม่ต่างไปจากโชคหล่นทับ 

 

 

 

 

 

เมื่อออกจากตึกบริหาร ฉินเฟิงก็ไม่คิดใช้รถศึกล่องเวหาอีก เรียกเมฆครามออกมา บินกลับไปยังเฟิงหลีโดยตรง 

 

 

 

 

 

… 

 

 

 

 

 

สามวันต่อมา 

 

 

 

 

 

ภายในห้องทดลองใต้ดินของสถานชุมชนเฟิงหลี 

 

 

 

 

 

บนโต๊ะผ่าตัด ไป่ยี่ฉีดยาสลบแก่หยางเคียน ส่งเธอจมลงสู่ห้วงนิทรา 

 

 

 

 

 

เนื่องจากเล่ยหยิงเป็นตัวตนทรงพลัง ฉะนั้นร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังงาน สามารถถ่ายโอนพลังงานที่ว่านั่นมาตัดแต่ง หรือสร้างแขนใหม่ได้ ทว่าหยางเคียนเป็นเพียงคนธรรมดา 

 

 

 

 

 

เนื้อของเต่าหมื่นปี กัดเพียครั้งเดียวยังถึงขั้นทำให้ผู้ใช้พลังเลเวล F ตัวระเบิดแตกตาย แล้วนับประสาอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป? 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การควบคุมของฉินเฟิงและไป๋หลี พลังงานเหล่านั้นถูกจัดการ และเรียกใช้ไปซ่อมแซมร่างกายที่เสียหายอย่างรวดเร็ว การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น 

 

 

 

 

 

“ท่านประธาน คุณหามันมาได้ยังไงกัน เนื้อของเต่าหมื่นปี ถือเป็นยาชูกำลังชั้นดี” แม้ไป่ยี่จะรับหน้าที่ทำการค้นคว้าและทดลองให้แก่ฉินเฟิง แต่เขาไม่อาจทราบได้ว่าฉินเฟิงได้รับของล้ำค่าแบบนี้มาได้อย่างไร หรืออาจกล่าวได้ว่าในกลุ่มเฟิงหลี มีน้อยคนนักที่รู้ 

 

 

 

 

 

“ก็ไม่ได้ยากอะไรหรอก ว่าแต่ทางคุณเถอะ ผลงานวิจัยครั้งล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง? การทดลองยกระดับของหลิงหวูยี่ มีโอกาสมากแค่ไหน?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม 

 

 

 

 

 

เนื่องจากการปิดล้อมกลุ่มอินทรีทราย และปราบปรามห้องทดลององค์กร Z ของหยานชูว ทำให้ได้รับข้อมูลการทดลองมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้งานวิจัยของฉินเฟิง ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงไปอีกขั้น