ตอนที่ 505 ยังคิดผลิตทายาทอีกหรือ?
เมื่อนางอยู่ที่นี่ก็รู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ ต่อหน้ามู่จวินฮานแล้ว นางมักรู้สึกหวั่นไหวเสมอ
ทว่าในเวลานี้ความอันตรายได้คืบคลานเข้ามามิขาดสาย แม้พวกนางมีบุตรด้วยกันแล้ว อันหลิงเกอก็รู้ดีว่าต้องทำตัวมีเหตุผลอยู่เสมอ
เมื่อเขาเห็นนางเดินจากไป มุมปากก็กระตุกยิ้มบาง อันหลิงเกอคนนี้มักทำให้ความรู้สึกของเขาแตกต่างไปจากเดิมเสมอ
เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่าพูดเยี่ยงนี้ออกไปแล้ว มู่จวินฮานจักมิตามมาอีก แต่คาดมิถึงว่านางเพิ่งเดินเข้าเรือนได้มินาน มู่จวินฮานก็หยิบสมุนไพรที่เตรียมไว้แล้วเดินตามมา
“ท่านมาได้เยี่ยงไร…” อันหลิงเกอประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าที่จะยิ้มแต่ก็มิยิ้มของมู่จวินฮาน
“พระชายาอุทิศตนเพื่อจวนอ๋องจนลำบากยากเย็นเพียงนี้ ข้าจักมิสนใจและมิถามไถ่ได้เยี่ยงไร”
อันหลิงเกอจึงหมดถ้อยคำที่จะกล่าวทันใด
“ช่างเถิด วางสมุนไพรไว้ตรงนั้น ข้า ข้าเก็บเองเจ้าค่ะ” เดิมทีอันหลิงเกอคิดว่ามู่จวินฮานมิรู้โครงสร้างภายในคลังเก็บยาของนาง คาดมิถึงว่าเขาจักพาคนเข้าไปแล้วชี้นิ้วสั่งได้อย่างถูกต้องโดยไร้ความลังเลสักนิด
“ท่านรู้โครงสร้างคลังเก็บยาของข้าได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” อันหลิงเกอเอียงคอมองเขา
“ที่แห่งนี้ก็เป็นจวนของข้าเช่นกัน มิยากเกินไปหรอกถ้าอยากเข้าใจชีวิตของพระชายา”
นี่เป็นครั้งแรกที่อันหลิงเกอได้เห็นมู่จวินฮานด้วยท่าทางจริงจัง และเป็นครั้งแรกที่นางมิสามารถโต้ตอบได้จึงพยักหน้าคล้อยตามโดยมิรู้ตัว
เมื่อเห็นท่าทางของนางแล้ว มู่จวินฮานก็อดหัวเราะออกมามิได้
“เอาล่ะ ในเมื่อข้ามาแล้วก็รบกวนให้พระชายาช่วยดูอาการบาดเจ็บให้ดีกว่า”
อาการบาดเจ็บหรือ ?
อันหลิงเกอรู้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บที่นางใส่ยาให้เขาในคืนนั้นมิได้ทิ้งร่องรอยบาดแผลใดเอาไว้ บัดนี้ยังต้องดูอีกหรือ ?
ทว่ามู่จวินฮานกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเยี่ยงนี้ อันหลิงเกอจึงได้แค่โบกมือไปมาเพื่อส่งสัญญาณให้ปี้จูออกไปก่อน
ปี้จูหวังว่าพระชายาจักสามัคคีกลมเกลียวกับท่านอ๋องและเมื่อเห็นภาพนี้ภายในใจก็เกิดความรู้สึกยินดีมิน้อย
“พระชายาและท่านอ๋องคุยกันดี ๆ เถิดเจ้าค่ะ จักได้มีบุตรเพิ่มในเร็ววัน ! ”
กล่าวจบ ปี้จูก็วิ่งออกไปทันที
เด็กคนนี้ !
“ถอดสิเจ้าคะ”
น้ำเสียงของอันหลิงเกอมิค่อยดีเล็กน้อย แต่มู่จวินฮานทำมิสนใจ จากนั้นเขาก็เปิดไหล่ออกให้นางดู
ในความเป็นจริงเขารู้ว่าร่างกายของตนมิได้มีบาดแผลใดหลงเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่อยากใช้โอกาสนี้เข้าใกล้อันหลิงเกอเท่านั้น
เขามิเคยรู้ว่าวันหนึ่งตนจักหน้าหนาและไร้ยางอายได้เยี่ยงนี้
“มิได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอดึงเสื้อของเขาขึ้นมาคลุมตามเดิมและมิอยากดูให้อีก
มู่จวินฮานที่ไร้ยางอายเช่นนี้แม้นางมิได้รู้สึกรังเกียจ แต่มีความรู้สึกที่มิปลอดภัยอยู่มาก
นี่คงมิได้เป็นดั่งที่ปี้จูเอ่ยกระมัง มีบุตรเพิ่ม…เมื่อคิดได้ดังนี้อันหลิงเกอก็หน้าแดงทันที
“เจ้าเด็กคนนี้”
อันหลิงเกอคาดมิถึงว่ามู่จวินฮานจะจู่โจมอย่างฉับพลัน นางโดนเขาดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างมิทันตั้งตัวจึงทำให้นางรู้สึกตื่นตกใจมากทีเดียว
“ท่าน…”
“เกอเอ๋อ ข้าอยาก…”
“ท่านอ๋องเจ้าคะ”
อันหลิงเกอดิ้นและผลักเขาออก ทว่าครั้งนี้มู่จวินฮานมิให้โอกาสนางอีก
มู่จวินฮานแค่จุมพิตนางเบา ๆ มิได้ทำอันใดมากกว่านี้
ช่างเถิด
มู่จวินฮานลุกขึ้นและปล่อยนาง
อันหลิงเกอยังมิทันได้สติคืนมาเขาก็จากไปแล้ว ในช่วงเวลาที่เหมือนยกภูเขาออกจากอก นางกลับรู้สึกว่างเปล่าในหัวใจ
ช่างเถิด มิต้องคิดถึงแล้ว อันหลิงเกอส่ายศีรษะแล้วบังคับตนเองมิให้คิดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมู่จวินฮานอีก
นางยังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย ทั้งสองคนมีบุตรแล้วต้องตริตรองเรื่องความปลอดภัยให้มากกว่านี้
“หึ ที่แท้เจ้าก็หวั่นไหวใช่หรือไม่ ? ” ในตอนที่น้ำเสียงแฝงความอันตรายดังเข้ามาในหู ใจของอันหลิงเกอก็เย็นวาบแต่สงบได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันไปมองหนานกงหลิงเยว่
“ในเมื่อมาแล้วก็ดื่มน้ำชาสักหน่อยเถิด” กล่าวจบ อันหลิงเกอก็ลงจากเตียงแล้วมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะน้ำชา
อันหลิงเกอมีความหวาดกลัวอยู่บ้างเพราะถึงอย่างไรคนที่สามารถปรากฎตัวในเรือนฝูหลิงได้ตามใจชอบเยี่ยงนี้ต้องเต็มไปด้วยอันตรายแน่นอน
แต่นางยังแสร้งทำสงบนิ่ง หนานกงหลิงเยว่ก็มิได้ปฏิเสธและนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอันหลิงเกอ จากนั้นก็รับน้ำชามาดื่มจนหมดในรวดเดียวโดยมิได้ลังเล
หนานกงหลิงเยว่มีพิษอยู่ในร่างกาย จักมีพิษใดทำร้ายนางได้อีก ?
“กล่าวมาเถิด มาหาข้าถึงสองครามีเรื่องอันใด ? ”
อันหลิงเกอรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่ายดี ในเมื่อมิได้ต้องการเอาชีวิตของตนเช่นนั้นก็ต้องมีเรื่องอื่น
“เจ้าคิดว่าเรื่องใด ? ” เมื่อได้ยินหนานกงหลิงเยว่ถามกลับ อันหลิงเกอก็มิได้เกรงใจ ตรงกันข้ามคือบอกเล่าความคิดอย่างใจกว้าง
“ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้มาเอาชีวิต เช่นนั้นก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอกล่าวอย่างจริงจังเยี่ยงนี้ทำให้หนานกงหลิงเยว่อดหัวเราะออกมามิได้
“หากเจ้ามิใช่บุตรีของโหวอัน บางทีเราอาจเป็นสหายกันได้”
เรื่องนี้ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกประหลาดใจ ยามที่หนานกงหลิงเยว่กล่าวก็มักจี้ใจดำนางทุกครั้ง ดูเหมือนร่างกายของอีกฝ่ายก็ซับซ้อนมิน้อย
“มิว่าข้าเป็นบุตรีของผู้ใด สำหรับหอพิษกู่แล้วความทะเยอทะยานก็ต่างกัน” อันหลิงเกอส่ายหน้า นางก็ถือว่าเป็นหมอเช่นกัน หากหนานกงหลิงเยว่อยากใช้ประโยชน์จากตน มิว่าเยี่ยงไรนางก็มิยอมเด็ดขาด !
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเยี่ยงนี้ หนานกงหลิงเยว่ก็ยักไหล่ ดูเหมือนมิได้ต่อต้านเหตุผลของเจ้าบ้านด้วย
“อันหลิงเกอ ในโลกใบนี้มิได้มีสิ่งแน่นอนหรอก” หนานกงหลิงเยว่เปลี่ยนสีหน้าทันใด จากนั้นก็มองนางด้วยแววตาจริงจัง น้ำเสียงที่เอ่ยมิเหมือนคนที่มีอายุเท่านางสักนิด
“มิปฏิเสธ” อันหลิงเกอเข้าใจว่าเหตุผลนี้ถูกต้อง แต่ ณ เวลานี้ต่อให้ทั้งสองคนเห็นพ้องกันก็ยังตัดสินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันข้างหน้ามิได้หรอก
“แต่เจ้ายังมิได้บอกว่ามาหาเวลานี้ด้วยเรื่องอันใด ? ” เทียบกับความอ้อมค้อมของหนานกงหลิงเยว่แล้ว อันหลิงเกอเชี่ยวชาญการเข้าประเด็นมากกว่า
“ครั้งที่แล้วเจ้ามิกล่าวลาสักคำ พี่ชายของข้าจึงคิดถึงเจ้ามาก เขาให้ข้านำสิ่งนี้มาให้”
ในขณะที่กล่าวหนานกงหลิงเยว่ก็หยิบของบางอย่างจากในอ้อมแขน มันถูกห่อด้วยผ้าซึ่งมองมิออกว่าคือสิ่งใด
อันหลิงเกอมิได้ร้อนใจรับมา ตรงกันข้ามคือถามขึ้นว่า “ก่อนหน้านั้นเจ้าเคยเอ่ยเรื่องท่านแม่ของข้า เป็นจริงหรือเท็จ ? ”
เมื่อได้ยินอันหลิงเกอถามเรื่องฮูหยินใหญ่อัน หนานกงหลิงเยว่ก็ขมวดคิ้วอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
“เหตุใดข้าต้องโป้ปดเจ้า ? ”
อันหลิงเกอยังมิทันครุ่นคิดอย่างละเอียด หนานกงหลิงเยว่ก็หายตัวไปจากตรงหน้าอีกครา
คิดได้ดังนี้อันหลิงเกอก็มองไปยังของที่วางอยู่บนโต๊ะและสุดท้ายก็หยิบมันขึ้นมา ดูเหมือนว่าก่อนที่หนานกงหลิงเยว่จะปรากฏตัวก็มีกก็มีกลิ่นหอมฉุนบางอย่าง คาดมิถึงว่ามาจากในของชิ้นนี้