เห็นได้อย่างชัดเจนเลย คำพูดที่เขาเตือนเธอ เธอฟังไม่เข้าเลยแม้แต่คำเดียว……
นัยน์ตาที่แหลมคมค่อยๆ หรี่ตาขึ้นด้วยความอันตราย เขาเงยหน้าขึ้น กาแฟหนึ่งถ้วยเห็นก้นขวดทันที ทว่า สีหน้ากลับมืดมิดดั่งหมึกดำที่ไม่สามารถขจัดออกได้
เช้าวันถัดไป
เชอร์รีนเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ กลัวว่าจะทำซารางตื่น ดังนั้น ก้าวเท้าที่เดินของเธอเบามาก ช้ามาก
ทว่าใครจะรู้ พึ่งเดินเข้าห้องมา เธอก็เห็นซารางตื่นแล้ว นั่งอยู่บนเตียง มือที่ขาวนุ่มขี้ตา ตายังง่วงอยู่ พร่ามัว
ในตอนกลางคืนที่เธอกลับ มักจะชอบกลิ้งอยู่บนเตียงไปมั่ว ดังนั้น ตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง ผมที่อยู่ข้างหลังมักจะตั้งขึ้นบนอยู่เสมอ
ยื่นมือออกไป กดทับผมที่ตั้งขึ้นมาลงไป เชอร์รีนส่งเสียงเบา พูดกล่อมอย่างอ่อนโยน “ซารางเด็กดี กลับอีกสักพักนะ……”
เธอออกจากบ้าน ไม่ได้ตัดสินใจจะพาซารางไปด้วย ทว่าหากออกไปในตอนที่ซารางตื่นอยู่ จะต้องงอแววตามไปด้วยแน่นอน ดังนั้นต้องกล่อมให้เธอกลับก่อน
“หม่ามี๊หนูไม่นอนแล้ว หนูจะออกไปกับหม่ามี๊” ปากเล็กๆ อ้าปากหาวอยู่ข้างๆ พลางขยี้ตาไปด้วย ยังนอนไม่พอแท้ๆ กลับไม่ยอมนอนต่อ
พอได้ยินแล้ว เธอขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นว่า “หม่ามี๊ไม่ออกไปไหน”
“หม่ามี๊บอกแล้วว่าคนที่โกหกไม่ใช่เด็กดี ถ้าหม่ามี๊โกหก งั้นก็ไม่ใช่หม่ามี๊ที่ดี ดังนั้นหลังจากนี้หนูจะไม่เชื่อคำพูดของหม่ามี๊แล้ว ฮื้ม!” เธอบิดร่างกายน้อยๆ ของตัวเอง หันหลังให้เชอร์รีน ผมข้างหลังยังตั้งอยู่ สภาพนั้น ดูไม่พอใจและน่ารัก
จนปัญญา เชอร์รีนอุ้มเจ้าเด็กไม่พอใจเข้ามาในอ้อมกอด พูดขอโทษ “หม่ามี๊ผิดไปแล้ว หม่ามี๊ไม่ควรพูดโกหกกับซาราง แต่ว่า วันนี้หม่ามี๊มีธุระที่สำคัญต้องจัดการ ดังนั้น ให้คุณยายอยู่เป็นเพื่อนอีกหนึ่งวัน ได้ไหม?”
“ไม่ได้ค่ะ หนูจะออกไปกับหม่ามี๊!” เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกาย สีหน้าน้อยใจ “หม่ามี๊พาหนูไป หนูจะไม่งอแง และไม่ให้หม่ามี๊อุ้ม หนูจะเดินเอง หม่ามี๊ พาหนูไปด้วย ได้ไหมคะ?”
มือน้อยๆ จับแจนเสื้อของเธอ ขยับไปมาช้าๆ เหมือนกับเจ้าหมาปั๊กที่น่าสงสาร
พอท่าแล้ว เชอร์รีนก็อดใจอ่อนไม่ไหว กำลังจะเตรียมตัวเอ่ยปากพูด ร่างเล็กๆ กอดขาของเธอและลื่นไถล และก้นตัวน้อยก็นั่งตรงบนเท้าของเธอ จับขาของเธอด้วยมือเล็กๆ สองข้าง ราวกับคนพาลตัวน้อย
อดไม่ไหว เธอหัวเราะออกมา พูดขึ้นว่า “โอเคโอเค รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปแปรงฟันล้างหน้า”
หลังจากได้ยินแล้ว ใบหน้าเล็กของเธอก็ยิ้มเบิกบานดั่งดอกไม้ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ
ยืนอยู่ในห้อง เธอสามารถได้ยินเจ้าเด็กน้อยร้องเพลงอย่างดีใจ “รักฉันเธอก็กอดฉัน รักฉันเธอก็จูบฉัน…..”
หลังจากที่เก็บของเรียบร้อยแล้ว เชอร์รีนทักทายกับกนกอร แล้วพาซารางที่ใจใหญ่ออกจากบ้าน
จริงๆ แล้ว ในใจของเธอไม่อยากให้ซารางปรากฏต่อหน้าคนในตระกูลสิริไพบูรณ์แม้แต่คนเดียวเลย ทว่าวันนี้ ซารางตอแยเกินไปหน่อย
แต่ว่า ในตระกูลสิริไพบูรณ์ เลอแปงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้เธอวางใจ เธอมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาดกับเลอแปง!
โทรหาเลอแปง นัดเจอกันที่ร้านกาโน เธอซื้อเสี่ยวหลงเปาให้กับซาราง แล้วสั่งน้ำเต้าหู้อีกสองแก้ว นั่งรอเขาอยู่ที่นั่น
และอีกทางหนึ่ง ณ บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
วางโทรศัพท์ลง เลอแปงผิวปากและก้าวเข้าห้องน้ำ เริ่มอาบน้ำก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อกับกระจกนานมาก สุดท้าย เลือกแขนสั้นสีเทา และกางเกงขายาวสีกากี
ในความหนักแน่นนั้นแฝงความสบาย และเป็นผู้ใหญ่ มั่นคง
ในตอนที่ลงจากบันได ป้าบัวกำลังวางถ้วยจานตะเกียบ ออกัสนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ร่างกายที่สูงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ในมือถือหนังสือพิมพ์ไว้ชุดหนึ่ง
ส่วนสุนันท์กำลังดื่มน้ำอุ่น พอเห็นเลอแปง เปิดปากยิ้มแล้วพูด “ลงมาได้ทันเวลาพอดี มากินข้าวเช้า”
“แม่ ผมมีนัดแล้ว อาหารเช้าก็ไม่ทานแล้วครับ”
“ถึงแม้จะมีนัด ก็ไม่เสียเวลาแค่นี้หรอก อย่างน้อยก็กินหน่อยสิ”
ก็ยังส่ายหัว เลอแปงมองไปทางคนหนึ่งด้วยนัยน์ตาที่แปลกใจ “พี่ วันนี้พี่ไม่ไปบริษัทเหรอ?”
“ไม่ไป……” พลิกหนังสือพิมพ์ไปอีกหนึ่งหน้า นัยน์ตาที่ลึกซึ้งของออกัสกวาดสายตามองไปบนตัวเขาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ในนั้นแฝงความหมายที่ลึกซึ้งไว้
ทว่า เลอแปงกลับไม่รู้สึก หลังจากที่ทั้งสองบอกทากันแล้ว ก็ออกจากบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์
มาถึงร้านกาโน เป็นเวลาหลังจากครึ่งชั่วโมงแล้ว ผลักประตูร้านออก เลอแปงเดินเข้ามา แวบเดียว เขาก็เห็นเชอร์รีนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
ทันใดนั้น ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายิ้มโค้งขึ้น ทว่า ในตอนที่มองไปเห็นเด็กหญิงน่ารักกำลังดื่มน้ำเต้าหู้อยู่ ก็อึ้งไปชั่วครู่
ในใจของเขา รู้อยู่แล้ว นั่งคงจะเป็นลูกของเธอกับพี่ชาย……
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เลอแปงรีบดึงสติกลับมา นั่งลงยังตรงหน้าของเชอร์รีน สายตายังหยุดอยู่บนตัวของเด็กผู้หญิง
เด็กผู้หญิงสวยมาก ได้สืบทอดยีนเด่นของทั้งสองมาอย่างสมบูรณ์
เชอร์รีนก็ได้สั่งน้ำเต้าหู้แก้วหนึ่งให้เลอแปง สังเกตเห็นสายตาที่เขามองบนตัวซาราง เขาค่อยๆ เอ่ยปากพูดอย่างหนักแน่น
“เลอแปง ฉันหวังว่าเรื่องนี้นายอย่าบอกกับคนในบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ไม่ว่าใครก็ตาม เธอเป็นคนที่ฉันเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนนี้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉันที่ไม่อาจขาดหายได้ ฉันไม่สามารถยอมให้ใครพาเธอไปเด็ดขาด นายเข้าใจไหม?”
ลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย เลอแปงพยักหน้า ความลำบากของเธอ เขาเข้าใจมันทั้งหมดตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนแล้ว
และเป็นเพราะว่าความเข้าใจนี้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดแทนเธอ
“เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่บอกพี่ชายฉันแน่นอน แน่นอนว่าไม่บอกแม่ฉันแน่นอน ทว่า ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ไม่สามารถปิดบังได้ อีกอย่าง เมืองSก็ใหญ่แค่เท่าไหน ไม่แน่ สักวันพวกเขาก็คงจะรู้”
“ฉันคิดไว้แล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาซารางกลับไปที่เมืองทะเลหทัย” นี่คือการตัดสินใจที่เธอคิดไว้ในใจตั้งนานแล้ว
พอได้ยินแล้ว เลอแปงขมวดคิ้ว “ก็เพราะว่าหลบพี่ชายฉัน?”
“มีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือ เมืองเมืองนั้นเหมาะกับฉันและซารางมากกว่า ซารางก็เติบโตมาจากที่นั่นตั้งแต่เด็ก เธอน่าจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมที่นั่น”
ซารางยังเด็ก แน่นอนว่าไม่เข้าการพูดคุยที่ลึกซึ้งระหว่างทั้งสอง จ้องเลอแปงด้วยดวงตาที่กลมๆ “หม่ามี๊ คุณอาหล่อมากเลยค่ะ!”
ดวงตาโตสองชั้นยิ้มโค้ง เลอแปงโค้งตัวลงเล็กน้อย อุ้มซารางเข้ามาในอ้อมกอด หัวใจละลายหมดแล้ว พูดชมเชย มือยิ่งสัมผัสกับผิวที่นุ่มเนียนซึ่งดูเหมือนไข่ที่ปอกเปลือกแล้ว “สาวงาม หนูก็สวยมากเลย”
หัวเราะฮ่าฮ่า ซารางไม่กลัวคนแปลกหน้า นั่งอยู่ในอ้อมกอดของเลอแปง ดื่มน้ำเต้าหู้
“พอแล้ว เวลาก็ไม่เช้าแล้ว พวกเราไปแถวหอโวยากันเถอะ” เชอร์รีนลุกขึ้น แล้วพูด
หลังจากนั้น ก็เดินไปทางหอโวยา เลอแปงชอบเด็กอยู่แล้ว ผ่านไปไม่ได้ ก็กลายเป็นพวกเดียวกับซารางเลย เดินอยู่ข้างๆ ได้ยินทั้งสองหัวเราะไม่หยุดเลย
ถึงขั้น ซารางยังตั้งฉายาใหม่ให้กับทั้งสองด้วย เลอแปงคือพี่หมี เธอคือน้องหมี