ทว่า เดินไปไม่ถึงกี่ก้าว มือกลับถูกด้านหลังจับไว้ มีความเร่าร้อนและแห้งกร้านของผู้ชาย เธอตะลึงงันไปชั่วครู่ ยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกว่าฝ่ามือเร่าร้อน
วินาที่ต่อไป น้ำเสียงที่แฟบของผู้ชายดังผ่านเข้ามายังหู “จำคำพูดของฉันเอาไว้ อย่าไปยั่วเลอแปง ฉัน เธอสู้ไม่ไหว……”
เยาะเย้ย ประชด เจ็บปวด รุนแรง เชอร์รีนสะบัดมือของเขาออก เผชิญกับเขา พูดออกอย่างเย็นชาว่า “ฉัน นายก็สู้ไม่ไหว ดังนั้น หลังจากนี้ขอรบกวนคุณออกัสอย่ามายั่วโมโหฉันแล้ว……”
หลังจากนั้น เธอจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก ไม่มองผู้ชายแม้แต่แวบเดียว
รอให้ตัวเธอหายใจไปสายตา ออกัสยังไม่ได้จากไป กำหมัดแน่นอยากจะบีบนิ้วที่เรียวยาวของเธอให้หักไป
จนกระทั่งโทรศัพท์มีเสียงสั่นดังขึ้น เขาเก็บอารมณ์ รับโทรศัพท์ “เลอแปง”
“พี่ พี่บอกว่ากลับไปกินข้าวที่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์ไม่ใช่เหรอ? ฉันกลับมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ทำไมไม่เจอพี่เลย พี่มาถึงก่อนฉันอีกไม่ใช่เหรอ?”
“ระหว่างทางเกิดเหตุการณ์ขึ้นนิดหน่อย เดี๋ยวจะกลับแล้ว วางสายก่อนนะ……”
คำพูดสั้นๆ ได้ใจความ วางสาย ร่างกายที่สูงของเขาเดินไปข้างหน้า รถสีดำจอดรออยู่ข้างล่างตึก
หลับมาถึงบ้าน ซารางก็พุ่งเข้ามาเลย ร่างกายที่ตัวเล็กของเธอกอดขาใหญ่ของเชอร์รีน น้อยใจมากๆ “หม่ามี๊ ทำไมกลับมาดึกขนาดนี้คะ?”
“หม่ามี๊ไปทานข้าวกับคุณอาท่านหนึ่งมา ดังนั้นก็เลยกลับมาดึกขนาดนี้ คิดถึงหม่ามี๊แล้วเหรอ?”
หัวอันเล็กๆ ก็เหมือนกับไก่จิกข้าวพยักหน้าไม่หยุดเลย “กลัวว่าหม่ามี๊จะถูกเจ้าหมาป่าพาไป แล้วกินทิ้ง!”
เชอร์รีนยิ้ม ยื่นมือออกไป กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด “ไม่เป็นไรนะ มีคุณลุงตำรวจ คุณลุงตำรวจจะไล่เจ้าหมาป่าไปเอง ให้หม่ามี๊จับท้องหนูหน่อยสิ ดูว่าทายไอศกรีมไปแล้วกี่อัน”
มือของเธอลูบไปยังท้องที่กลมๆ น้อยๆ เธอตั้งใจยื่นออกไปอีกนี้ หยุดอยู่ที่ใต้รักแร้ของเด็กน้อย แล้วจั๊กจี้เบาๆ
เจ้าเด็กน้อยบ้าจี้ที่สุดแล้ว หัวเราะไม่หยุด ร้องขอความช่วยเหลือ “คุณยายช่วยด้วยค่ะ คุณตาช่วยด้วยค่ะ!”
พองอแงแล้ว ซารางนอนอยู่ตรงขาของเธอ ดูBoonie Bearsอย่างสนุกสนาน บางครั้งยังล้อเลียนเจ้าน้องหมีในทีวีอีกด้วย น้ำเสียงอ่อนนุ่มเบาๆ “เจ้าพี่หมี ข้าหิวแล้ว”
นี่ยังไม่ค่อยสะใจเท่าไหร่ เธอวิ่งสองขาไปหาจักรกฤษ ดัดเสียงเบา ๆ ว่า “เจ้าพี่หมี ข้าหิวแล้ว…”
จักรกฤษหลุดยิ้ม ป้อนคุกกี้ไปยังปากน้อยที่อ้าปากของเธอ แล้วตบตูดกลมๆ ของเธอ
ขยับร่างกาย แล้ววิ่งไปยังตรงหน้ากนกอร ขมุบขมิบปาก “เจ้าน้องหมี ข้าหิวแล้ว……”
ฉีกนมเปรี้ยวออก กนกอรป้อนเข้าไปในปากน้อยๆ ของเธอ เป็นเด็กที่น่าเอ็นดูจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ
กินอิ่มดื่มพอแล้ว ซารางก็วิ่งโลดไปยังบนโซฟา มือที่ขาวนุ่มจิ้มไปยังแขนของเชอร์รีน “เจ้าหัวล้าน ลูบท้อง……”
เชอร์รีนเอาเธอไม่อยู่จริงๆ หัวเราะไปด้วย พลางลูบท้องน้อยๆ ของเธอไปด้วย
อาจจะเป็นเพราะว่าดื้อมาทั้งวันจนง่วงแล้ว ผ่านไปไม่นาน ก็หลับใบหน้าอันน้อยๆ แดงก่ำ
“วันนี้แกออกไปทั้งวัน ซารางไม่ร้องไห้เลย กล่อมง่ายด้วย ถึงแม้จะดื้อ แต่ก็เป็นเด็กดี” กนกอรมองหลานสาวของตัวเอง
พยักหน้า เชอร์รีนยิ้ม ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว “แม่ หนูว่าจะกลับเมืองทะเลหทัยวันมะรืน”
“ทำไมถึงกลับเร็วขนาดนี้?”
“ทำอะไรไม่ได้เลย จะสอบกลางภาคแล้ว ต้องยุ่งมากแน่ๆ แต่ว่ารอให้ปิดเทอมแล้ว หนูกับซารางจะมาอยู่ทางนี้ทั้งปิดเทอมเลย”
ในเมื่อเป็นเรื่องของงาน กนกอรก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว แค่พยักหน้า “โอเค หากดูแลซารางไม่ไหว ก็โทรหาฉันไม่ก็พ่อเธอ เราทั้งสองจะช่วยเลี้ยงซารางให้”
หลังจากพูดคุยกับจักรกฤษและกนกอรที่ห้องรับแขกไปสักพัก เชอร์รีนค่อยๆ อุ้มซารางเข้ามาในอ้อมกอด พาไปนอนบนเตียงในห้อง
ร่างกายตัวน้อยๆ ของเธอกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง กอดเจ้าตุ๊กตาแล้วหลับสนิทไปเลย
หยิบโทรศัพท์ออกมา เชอร์รีนเดินไปยังที่ระเบียง โทรหาเลอแปง ผ่านไปชั่วครู่ ก็มีคนรับสาย
“เลอแปง พรุ่งนี้นายมีเวลาไหม?” เสียงของเธอต่ำ เบา ทว่าสามารถให้ทางนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
“มี ทำไมเหรอ?”
“นายอยากเดินเที่ยวที่เมืองSไม่ใช่เหรอ พรุ่งนี้ฉันมีเวลา ฉันไปเป็นเพื่อนนาย……”
ทันใดนั้น ในน้ำเสียงของเลอแปงก็มีความดีใจเพิ่มมากขึ้น “โอเค พรุ่งนี้ผมไปรับคุณ”
“โอเค” ตอบกลับ เธอวางสาย วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ
ตอนนี้ ออกัสกลับเมืองSแล้ว หากเธอยังพาซารางอยู่ต่อที่นี่ เกรงว่าสักวันหนึ่งคงต้องพบเจอ ก็จะเหมือนกับตอนเย็นในวันนี้ อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ!
เพื่อที่จะป้องกันที่สิ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต พาซารางออกจากที่นี่เร็วๆ จะดีกว่า
อยู่ด้วยกันมาสี่ปี ซารางกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอไปแล้ว เธอเองก็ชินกับการมีซารางอยู่ข้างๆ หากไม่มีเจ้าเด็กนี่ เธอไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะกลายเป็นแบบไหน!
เธอ รับไม่ไหวกับการสูญเสียแบบนั้น!
เมืองSในตอนนี้สำหรับเธอ คือสถานที่ไม่ปลอดภัย จำเป็นต้องรับจากไป!
ก่อนที่จะจากไป ก็ยังอยากจะไปเดินเที่ยวกับเลอแปงก่อน ไม่ว่ายังไงแล้วก็ไม่ได้เจอกันมาสี่ปี อีกอย่าง เขาก็ให้งานกับพี่ชายเธอ เที่ยวกับเขาหนึ่งวัน เลี้ยงอาหารเขา ยังไงก็เป็นสิ่งที่ควรอยู่แล้ว
……
เลอแปงรับโทรศัพท์ที่หน้าหน้าต่าง ใบหน้าที่หล่อเหลาไม่สามารถหยุดยิ้มได้ แม้กระทั่งน้ำเสียงก็อ่อนโยนมาก
นั่งอยู่บนโซฟา หางตาของออกัสมองผ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
รอให้เขาวางสาย สุนันท์ถามเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุยกับใครเนี่ย?”
หลีกเลี่ยงเรื่องยากมาทำเรื่องง่าย เลอแปงนอนลงบนโซฟาด้วยความเกียจคร้าน ดื่มกาแฟไปหนึ่งคำ “เพื่อนร่วมงาน”
“เพื่อนร่วมงานคนไหนเนี่ย? ดูสิทำเอาเธอยิ้มเบิกบานขนาดนี้” ไม่เจอกันสี่ปี ในใจของสุนันท์คิดถึงเลอแปงมากๆ
“เพื่อนร่วมงานธรรมดาครับ” เลอแปงนั้นรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนแข็งทื่อขนาดไหน
“วันไหนว่าไปวัดจุดธูปกับแม่หน่อสิ?”
“พรุ่งนี้ผมมีนัดที่สำคัญมากๆ ดังนั้น แม้ให้พี่ชายไปกับแม่ ไม่เช่นนั้น ก็ให้ป้าบัวไปกับแม่ ผมขึ้นตึกก่อนนะ”
พึ่งพูดจบ ก็รีบขึ้นตึกไปเลย ในตอนที่จากไป สีหน้าก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สุนันท์เอ่ยขึ้น “ใครโทรมากันแน่เนี่ย ที่สามารถทำให้เขาดีใจขนาดนี้ หรือว่าเป็นแฟน? แต่ว่า เขามีแฟนเหรอ?”
พอได้ยินแล้ว นัยน์ของออกัสเปล่งประกาย ภายในตามีแสงที่มืดมิดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ข้อกระดูกของนิ้วมือขยับแก้วกาแฟไปมา……
ความคิดของเลอแปง เขารู้ดี เข้าใจดีอยู่แล้ว……
เพื่อนร่วมงาน เฮอะ ยิ้มโค้งขึ้นที่ริมฝีปากบาง การพูดของเลอแปงในแบบนี้ จะสามารถโกหกเขาได้ยังไง?
ในสมอง ขณะนี้นึกถึงภาพข้างหลังที่ผมเรียวของผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ทันใดนั้น อุณหภูมิบนใบหน้าและดวงตาของเขาลดลงในทันใด มีความเย็นชาแฝงลึกอยู่