ส่วนจะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตา

สตรีนางนั้นได้ยินเช่นนี้ก็รีบคุกเข่าลงโขกศีรษะพลางกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก

นางเองก็เหมือนจะรู้ว่านี่เป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ไม่อาจรักษาได้ง่ายๆ

“ก่อนหน้านี้แถวบ้านข้ามีคนป่วยเป็นโรคนี้ ไม่นานนักก็ตาย! ขอบคุณท่านหมอ ข้าหวังจริงๆ ว่าเขาจะหาย!”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้กลับขมวดคิ้วแน่น ฟังจากน้ำเสียงของท่านหมอหูแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน

หากเขามีตำรับยาที่รักษาได้อยู่จริง เธอย่อมไม่ยื่นมือเข้าไปสอดแทรก แต่ในเมื่อเขาไม่มั่นใจ เธอย่อมต้องแย่งคนไข้มา

คิดแล้วเธอก็ก้าวออกไปถามท่านหมอหูว่า “ไม่ทราบว่าท่านหมอหูมีความเชื่อมั่นหรือไม่?”

ท่านหมอหูส่ายหน้า “เรื่องแบบนี้จะมั่นใจได้อย่างไร!”

กู้จิ้งเห็นเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ฉันมีวิธีรักษาโรคนี้อยู่วิธีหนึ่ง ในเมื่อท่านหมอหูไม่มั่นใจก็ให้ฉันลองดูดีไหม?”

ท่านหมอหูขมวดคิ้ว “โรคนี้ร้ายแรงมาก อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แม้ตำรับยาของข้าอาจจะไม่ได้ผลแน่นอน แต่อย่างน้อยก็สามารถทดลองดู เจ้าอายุยังน้อย ย่อมไม่รู้ว่าเรื่องนี้หนักหนาแค่ไหน จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสที่กำลังสั่งสอนผู้เยาว์ เพราะรู้สึกว่าสาวน้อยผู้นี้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ก็เลยอบรมสั่งสอนเสียหน่อย

สตรีซึ่งกำลังกอดสามีที่กำลังเจ็บปวดแทบเป็นแทบตายของตัวเองเอาไว้มองท่านหมอหูทีมองกู้จิ้งที สุดท้ายสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของท่านหมอหู

นางย่อมเชื่อหมอชราผู้นี้มากกว่า

คิดไม่ถึงว่าพอเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งอยู่ด้านข้างได้ยินเข้ากลับไม่พอใจมาก

ภรรยาของเขาเป็นหมอเทวดาซึ่งเซียนบนสวรรค์ส่งลงมาช่วยเหลือผู้คน ทำไมท่านหมอหูผู้นี้ถึงได้ไม่รู้ความเช่นนี้ ว่าแล้วเขาก็กล่าวเสียงดังว่า “ในเมื่อท่านไม่มั่นใจ ย่อมสมควรให้ภรรยาของข้าเป็นผู้รักษา ภรรยาของข้าเป็นหมอเทวดา ไม่ว่าโรคอะไรก็สามารถรักษาให้หายเป็นปลิดทิ้งได้ทั้งนั้น”

หมอเทวดา?

สตรีนางนั้นได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายเจิดจ้า นางหันมามองกู้จิ้งด้วยความหวัง “ท่านหมอเทวดา ขอร้องท่านช่วยรักษาสามีของข้าด้วย ครอบครัวเรามีเขาเป็นเสาหลัก หากเขาเป็นอะไรไป ข้าคนเดียวต้องเลี้ยงดูลูกสามคน เราคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่!”

ท่านหมอหูขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “ทำไมเจ้าถึงเชื่อนาง? พูดจาคุยโวไร้หลักฐาน นางอายุน้อยแค่นี้ จะรักษาโรคเป็นได้อย่างไร?”

สตรีนางนั้นคิดๆ ดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงเริ่มลังเลขึ้นมา

ในตอนนั้นเอง สามีของนางก็ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด ร่างทั้งร่างขดแน่น สีหน้าดูอ่อนล้าเอามากๆ

กู้จิ้งทนไม่ไหวแล้ว เธอกล่าวเสียงเย็นว่า “ฉันบอกแล้วว่ามีวิธีรักษาโรคนี้ได้ ถึงจะไม่กล้าพูดว่าแน่นอน แต่ก็แน่ใจถึงเก้าส่วน! ถ้าเธอเชื่อ ฉันก็รักษา แต่ถ้าไม่เชื่อ ฉันก็จนใจ”

กล่าวจบ เธอก็ตั้งท่าจะลากเซียวเถี่ยเฟิงเดินจากไป

เซียวเถี่ยเฟิงปรายตามองท่านหมอหูแวบหนึ่ง แววตาของเขาเย็นชามากจนทำให้ท่านหมอหูถึงกับตัวสั่น

สตรีนางนั้นตะลึงงันไปทันที นางหันไปมองสามีซึ่งกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส ในใจเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา ทันใดนั้น นางก็รีบวิ่งตามกู้จิ้งไป “ท่านหมอเทวดา ท่านหมอเทวดา รบกวนท่านช่วยรักษาสามีของข้าด้วย!”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็จนปัญญานัก เธอเสนอตัว อีกฝ่ายไม่ยอมรับ ต้องเป็นฝ่ายขอร้องเองถึงจะพอใจอย่างนั้นหรือ?

แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร กู้จิ้งเดินกลับมาตรวจดูอาการผู้ป่วยคร่าวๆ อีกครั้ง จากนั้นก็สั่งให้คนยกเขาขึ้นไปบนรถม้าเพื่อพากลับไปรักษาที่บ้าน เธอไม่คิดจะใช้ยาวิเศษ…เพนิซิลลินต่อหน้าผู้คนอีกแล้ว

ท่านหมอหูเห็นสตรีนางนั้นเชื่อกู้จิ้งก็รับไม่ค่อยได้ เขารีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านหมอกู้ เจ้าอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าโรคนี้รุนแรงสักแค่ไหน โรคนี้ทำให้ผู้คนถึงตายได้ ถ้าเขาเป็นอะไรไป เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ?”

เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ หันมาถลึงตาใส่เขา “เมียของข้าพูดว่ารักษาได้ก็ต้องรักษาได้ จะพูดนั่นพูดนี่ให้มากความทำไมอีก”

ท่านหมอหูใจร้อนอยากช่วยคน ได้ยินเช่นนี้ก็โมโหมาก “ท่านไม่ใช่หมอ มีสิทธิ์อะไรมาพูด? ต่อให้ท่านมีฐานะสูงส่งแล้วเป็นอย่างไร ต่อให้มีอำนาจแล้วเป็นอย่างไร ท่านจะเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลาไม่ได้เด็ดขาด! หากฮูหยินของท่านรักษาคนไข้คนนี้ไม่หาย ทำแบบนี้ก็เท่ากับฆ่าคน!”

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางจ้องท่านหมอหูตาเขม็ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าด้วยฐานะเซียวชูอวิ๋นของเขา จะมีคนกล้าพูดกับเขาแบบนี้

คนทั่วไปเห็นเขาต้องตกใจจนเข่าอ่อนปัสสาวะราดกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?

ท่านหมอเฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบดึงท่านหมอหูเอาไว้พลางพูดเบาๆ “นี่…นี่คือท่านแม่ทัพเซียว!”

แต่ท่านหมอหูกลับไม่รู้จัก เขาพูดฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ “แม่ทัพเซียว? แม่ทัพเซียวคนไหนกัน?”

ท่านหมอเฉินกระแอมครั้งหนึ่งก่อนจะแข็งใจกล่าวว่า “แม่ทัพเซียว…เซียวชูอวิ๋นอย่างไรเล่า”

คิดไม่ถึงว่าท่านหมอหูกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรสักนิด เขาเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ท่านหมอเฉินไม่เข้าใจ “เอ๋ ทำไมหรือ?”

หรือเขาไม่กลัว?

แต่เขาเพิ่งพูดจบก็เห็นท่านหมอหูเข่าอ่อนยวบก่อนจะทรุดลงคุกเข่ากับพื้นดังโครม “แม่…แม่ทัพเซียว…”

 

เซียวเถี่ยเฟิงสั่งให้ยกผู้ป่วยไปที่รถม้าสำรองที่ด้านหลัง ภรรยากับลูกๆ ของเขาก็ตามไปด้วย

กลับไปถึงจวน กู้จิ้งก็เริ่มลงมือฆ่าเชื้อทำความสะอาด เห็นฝีสุกแล้ว เธอก็จัดการกรีดเอาหนองออก เธอบีบหนองออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือแต่เลือดสีแดงสด จากนั้นจึงให้ยาปฏิชีวนะแล้วใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดป้องกันไม่ให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบขึ้นมาอีก

เสร็จเรียบร้อย เธอก็ส่งคนป่วยคืนให้ญาติพลางกำชับว่า “กลับไปต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มาก ห้ามดื่มเหล้าห้ามกินอาหารที่มีรสเผ็ดหรือมันมากเกินไป จำไว้ว่าต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ กินเนื้อไก่เนื้อหมูไม่ติดมันได้ นอกจากนี้ต้องใช้ยาที่ฉันให้เช็ดแผลทำความสะอาดตามเวลาด้วย”

ภรรยาผู้ป่วยรับน้ำเกลือไปด้วยความงุนงง “แค่…แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ?”

ไม่ใช่บอกว่าอันตรายมากหรอกหรือ ทำไมไม่เขียนเทียบยา ไม่ต้องเคี่ยวยากินยาก็เรียบร้อยแล้ว?

กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็จำต้องกล่าวต่อว่า “รักษาสภาพจิตใจให้แจ่มใสเอาไว้ อย่าเครียดมาก ถ้าเครียดจะหายช้า”

กรีดหนองออกมาแล้ว หลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีก แค่ระวังอย่าให้แผลติดเชื้อก็พอ

“หากมีอะไรก็มาหาฉันที่นี่”

ภรรยาผู้ป่วยยังงงไม่หาย แต่นางก็ทั้งโขกศีรษะทั้งพร่ำขอบคุณไม่หยุดปาก จากนั้นจึงเตรียมพาลูกๆ กับสามีกลับบ้าน

เซียวเถี่ยเฟิงรู้ว่านางไม่สามารถพาสามีกับลูกๆ กลับไปตามลำพังได้ ดังนั้นจึงให้คนเตรียมรถม้าคันหนึ่งส่งพวกนางกลับไป

หลังจากกลับไปถึงบ้าน ภรรยาของผู้ป่วยปฏิบัติตามคำสั่งของกู้จิ้งอย่างเคร่งครัด ผ่านไปคืนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เจ็บปวดมากเหมือนก่อนหน้านี้อีก ซ้ำสีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก ภรรยาของเขาเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งปักใจเชื่อกู้จิ้ง ผ่านไปอีกสามวัน ผู้ชายคนนี้ก็สามารถลงจากเตียงมาเดินไปมาได้เหมือนไม่เคยป่วยสักนิด

ภรรยาของเขาดีใจมากจนอดเล่าให้เพื่อนบ้านฟังไม่ได้ ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจไม่น้อย ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปถึงหูของท่านหมอเฉินกับท่านหมอหู

ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูรีบไปสอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ท่านหมอกู้ใช้วิธีอะไรหรือ? ให้เจ้ากินยาวิเศษอะไร?”

ผู้ชายคนนั้นนิ่งอึ้ง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ส่ายหน้า “ไม่มียาอะไร…”

สำหรับเขาแล้ว มีแต่ยาน้ำสีดำที่ทั้งข้นทั้งขมเท่านั้นถึงจะเรียกว่ายา ยาเม็ดเล็กๆ ย่อมไม่อยู่ในความทรงจำของเขา

ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูเห็นเช่นนี้ก็ถามขึ้นพร้อมกัน “แล้วโรคนี้รักษาได้อย่างไร?”

ผู้ชายคนนั้นหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสตรีข้างกาย

ภรรยาของเขากล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาใช้มีดเล่มหนึ่งตัดฝีบนหลังของสามีข้าออก!”

คราวนี้หมอทั้งสองตกใจมาก “ตัดออก?”

สตรีนางนั้นพยักหน้า “ใช่ หลังจากตัดออก คืนนั้นอาการก็ดีขึ้นมาก ผ่านไปสองสามวันก็หายเป็นปกติ”

หมอทั้งสองหันไปมองหน้ากัน “ไม่เคยให้ยาอะไรเลยอย่างนั้นรึ?”

ภรรยาผู้ป่วยนึกถึงน้ำอมฤตขึ้นมาก็รีบไปนำมาให้ดู “ดูสิ ข้าคิดว่านี่ต้องเป็นน้ำอมฤตแน่ๆ?”

ท่านหมอเฉินกับท่านหมอหูกวาดตามองน้ำอมฤตรอบหนึ่ง “ดูท่าจะเป็นเพราะน้ำอมฤตนี่สินะ!”

ว่าแล้ว หมออายุน้อยคนหนึ่งจะมีความสามารถมากขนาดนั้นได้อย่างไร ที่แท้ก็อาศัยน้ำอมฤตนี่เอง!

ด้วยเหตุนี้ นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้คนก็พากันร่ำลือว่าหมอเทวดากู้จิ้งมีน้ำอมฤต สามารถรักษาฝีได้ ใครๆ จึงพากันมาขอน้ำอมฤตจากเธอ

กู้จิ้งจนใจนัก

เธอก็แค่เอาเกลือมากรองหลายๆ ครั้งจนกระทั่งได้เกลือละเอียดที่สะอาดที่สุด จากนั้นก็นำมากลั่นเป็นน้ำเกลือเวอร์ชันสมัยโบราณเท่านั้นเอง

แค่นี้ก็ทำให้ใครๆ พากันกรูมาหาเธออย่างนั้นหรือ?

เธอไม่อยากหลอกชาวบ้าน เพราะน้ำเกลือนี่ไม่มีอะไรซับซ้อนสักนิด

หากไม่รู้ก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ ใครๆ มิพากันว่าเธอขายของปลอมของเลียนแบบในสมัยโบราณอย่างนั้นหรือ!

แต่จนใจที่มักจะมีคนที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ มาขอน้ำอมฤตจากเธอเสมอ แม้กระทั่งคุณชายลั่วก็ยังโผล่มาร่วมวงด้วย