ม่อซิวเหยารับมาดูคราหนึ่ง แล้วยิ้มกล่าว “ดูแล้วซีหลิงก็ไม่นับว่ายากจนข้นแค้นอะไร นับว่าเป็นการซ่อนความร่ำรวมั่งคั่งไว้ได้หรือ” เขาเปลี่ยนมือส่งสมุดบัญชีให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีพลิกดูก็ตกใจไม่น้อย เพียงแต่หากเทียบกับกิจการที่ใหญ่โตของตำหนักติ้งอ๋องที่ยากจะคำนวณได้แล้วนั้น นี่ก็รู้สึกว่าพอจะรับได้อยู่บ้าง สมกับเป็นเบื้องหลังของตระกูลอันเก่าแก่ที่อยู่มายาวนานนับร้อยปี นึกถึงในคราแรกที่เงินเพียงไม่กี่หมื่นตำลึงของตระกูลเยี่ยก็รีบร้อนจะเอาราวกับพวกไก่ตาดำ[1] เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกเศรษฐีใหม่หรือไม่ก็ตระกูลที่เพิ่งจะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กิจการของตระกูลไป๋ดูจะก็มากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อนึกถึงจำนวนฮองเฮาที่มาจากตระกูลไป๋ในแต่ละยุคกับพระชายาอีกกี่สิบพระองค์ ความสัมพันธ์กับราชวงศ์เรียกได้ว่าแน่นแฟ้น ทรัพย์สินสะสมที่มีอู้ฟู่เช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้
เยี่ยหลีไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “ตั๋วเงิน เงินสด และทองคำล้วนส่งให้พี่สี่เถิด ส่วนค่าจ้างทหารสามแสนนายและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ ในกองทัพนั้นหากยังคงเอามาจากเมืองหลีอยู่ก็จะต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก”
ม่อซิวเหยาไม่ไตร่ตรองแม้แต่น้อยก็พยักหน้ากล่าว “ที่อาหลีกล่าวมานั้นให้จั๋วจิ้งจัดการก็แล้วกัน”
อาหลีพยักหน้า ไม่สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป มองดูบัญชีในมือแล้วกล่าวว่า “ของสะสมเก่าแก่เหล่านี้…เอากลับไปก็ไม่มีประโยชน์ เลือกไปเพียงสองสามอย่างจะดีกว่า อีกอย่างข้าดูแล้วในนี้มีกระบี่ล้ำค่าอยู่สองเล่ม รวมกับก่อนหน้านี้ที่มีคนส่งมาให้อีกสองเล่มก็ให้ท่านแม่ทัพจาง ท่านแม่ทัพหลี่ว์และท่านแม่ทัพหยวนไปคนละเล่มก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือก็ให้หนานโหวไปเถิด”
ม่อซิวเหยาเอนพิงเก้าอี้พลางเล่นปลายผมเยี่ยหลี ขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้จั๋วจิ้งที่นั่งคอยรับใช้อยู่จดสิ่งที่เยี่ยหลีได้สั่งไปเมื่อครู่ “เจ้ามอบให้พวกจางฉี่หลันไปตั้งหลายเล่ม ไม่กลัวเฟิ่งซานจะมาโวยวายใส่หรือ”
เยี่ยหลียิ้มตาหยีกล่าว “ข้าจำได้ว่าในของโบราณมีค่าเหล่านี้มีพัดพับทองคำกระดูกงาช้างที่อู๋จือข่ายฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนทรงวาดภาพภูผาธาราพันลี้เอาไว้ด้วยองค์เอง ข้าดูแล้วเขาน่าจะชอบพัดมากกว่ากระบี่อยู่มาก” เฟิ่งจือเหยามักจะชอบอวดความองอาจสง่างามของตนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเวลาใดหรือฤดูไหนก็ชอบโบกพัดอยู่ตลอด หากมีพัดล้ำค่าเล่มนี้ เขามีหรือจะมาขอดาบขอกระบี่ได้อีก ม่อซิวเหยาก็ราวกับจะนึกขึ้นได้ถึงลักษณะท่าทางของคุณชายเฟิ่งซานจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ทั่วร่างสวมอาภรณ์สีชาด มือถือพัดพับโบกไปมาด้วยท่าทางภาคภูมิดูโดดเด่นงามสง่า “ของดีๆ เช่นนี้ให้เขาไปก็เสียของเปล่า” แต่มือกลับโบกส่งสัญญาณให้จั๋วจิ้งจดลงไป
เยี่ยหลีเลือกของในบัญชีไว้มากมายเพื่อมอบเป็นรางวัลให้แก่เหล่าขุนนางที่มีผลงานในการบุกตีดินแดนตะวันตกในครั้งนี้ต่อ แทบทุกคนล้วนมีผลงานทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังไม่ลืมที่จะเพิ่มเสบียงไปให้แก่เหล่าพลทหารธรรมดาอีกหนึ่งเดือน อย่างไรก็ตามทรัพย์สมบัติมากมายที่ยึดมาจากตระกูลไป๋ในครานี้นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดไว้ หากตำหนักติ้งอ๋องต้องอาศัยเงินจากติ้งอ๋องจนหมดจะไม่เป็นการดีแน่ ขณะนั้นเองม่อซิวเหยาก็ไม่ได้ออกความเห็นใด ทำเพียงอมยิ้มมองดูเยี่ยหลีสั่งการอย่างไม่เร่งร้อน บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มเย็นบางๆ ที่เห็นได้ยากจากคนธรรมดา ดูแล้วอบอุ่นและสงบยิ่งนัก
จั๋วจิ้งและหลินหานที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่สนใจใดๆ แต่ซุนฮูหยินที่กำลังเข้าเฝ้าอยู่ด้วยนั้นกลับตกใจอย่างมาก ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ติ้งอ๋องมีให้พระชายานั้นมีมากกว่าที่ผู้ใดคาดคิดไว้ มีหลายเรื่องที่พระชายาติ้งอ๋องไม่จำเป็นต้องปรึกษาติ้งอ๋องด้วยซ้ำ ออกปากสั่งการให้คนไปจัดการได้ทันที ติ้งอ๋องกลับไม่มีความไม่พอใจหรือสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับการที่พระชายาสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของตำหนักติ้งอ๋องและการทหารนั้นล้วนเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง ในใจซุนฮูหยินจึงให้ความสำคัญและความซื่อสัตย์ต่อเยี่ยหลีมากขึ้นหลายส่วนอยู่เงียบๆ
พอเยี่ยหลีสั่งการเสร็จ จั๋วจิ้งก็ออกไปจัดการทันที เยี่ยหลีปิดสมุดบัญชีอมยิ้มกล่าวว่า “ส่วนหนังสือโบราณพวกนั้นเราก็เอากลับเมืองหลีไปด้วยเถิด ท่านตาได้เห็นจะต้องดีใจมากเป็นแน่ เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าตระกูลไป๋จะซ่อนหนังสือโบราณไม่เลวเหล่านี้เอาไว้” แม้จำนวนจะน้อยนิดหากเทียบกับตระกูลสวี แต่หนังสือโบราณหลายเล่มเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่ง หากมีเพิ่มมาเล่มหนึ่งก็เพียงพอที่จะให้บรรดาบัณฑิตนักปราชญ์ยินดีปรีดากันจนอดไม่อยู่แล้ว
ม่อซิวเหยายิ้มกล่าว “เกรงว่าเราจะไม่อาจเอาไปทั้งหมดได้ อย่างไรก็ทิ้งไว้ให้พี่สี่ของเจ้าได้ใช้เป็นสินบนก็แล้วกัน”
ชั่วครู่เท่านั้นเยี่ยหลีก็พลันเข้าใจ ลัทธิขงจื้อนั้นไม่ได้มีเพียงแต่เมืองหลีเท่านั้น ซีหลิงเองก็มีลัทธิขงจื้ออีกท่านหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นคนที่พวกนางต้องการพอดีด้วย หากให้ท่านอาจารย์ซิ่วถิงได้ทราบว่าพวกนางเอาตำราเก่าแก่โบราณหลายม้วนไปด้วยจนไม่เหลือไว้ให้ท่านเลยล่ะก็ เกรงว่าพี่สี่คงได้โดนกลั่นแกล้งสักยกจึงจะพอใจเป็นแน่
เยี่ยหลีจึงเลือกแค่ม้วนที่ท่านตาและท่านลุงชอบไป ที่เหลือก็ให้สวีชิงปั๋วใช้เป็นใบเบิกทางเชิญท่านอาจารย์ซิ่วถิงมายังซีหลิง
เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก พริบตาเดียวก็ผ่านไปหลายวันแล้ว จนมาถึงวันที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเตรียมตัวออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลี ทหารสามแสนนายและจางฉี่หลันต่างรั้งอยู่ที่ซีหลิง มีเพียงเฟิ่งจือเหยา สวีชิงเฟิง อวิ๋นถิงและทหารม้าสามพันนายกับองครักษ์ลับและหน่วยกิเลนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ติดตามม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีกลับไปด้วย
ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน ม่อซิวเหยาออกราชโองการฉบับแรกที่ซีหลิงในนามของติ้งอ๋อง ประกาศให้เมืองหลวงแห่งซีหลิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอันผิง ขณะเดียวกันก็รับสั่งแต่งตั้งให้สวีชิงปั๋วเป็นผู้สำเร็จราชการแทนดูแลห้าแคว้นสิบสองเมืองของซีหลิง รวมถึงทหารและชาวเมืองทั้งหมดของซีหลิงด้วย อีกฉบับแต่งตั้งให้จางฉี่หลันเป็นท่านแม่ทัพเอกแห่งเจิ้นซี ดูแลนำทัพสามแสนนายปกป้องซีหลิง ทหารและม้าในดินแดนของซีหลิงล้วนมีจางฉี่หลันเป็นผู้ควบคุม พอราชโองการนี้ออกไป ทุกคนต่างตกอกตกใจกันไปทั่ว แม้ว่าจะไม่เคยมีการปกครองแบบผู้สำเร็จราชการแทนมาก่อน แต่ว่าเพียงดูม่อซิวเหยามอบอำนาจทั้งหมดก็ทราบได้ว่าขอบเขตของอำนาจนี้มีมากเพียงใด เพียงแค่อยู่ในเขตแดนของซีหลิง ก็จะกลายเป็นอาณาจักรของสวีชิงปั๋วไปโดยปริยาย แม้จะมีจางฉี่หลันที่ควบคุมการทหารอยู่ แต่เสบียงทหารล้วนตกอยู่ในมือสวีชิงปั๋วทั้งสิ้น เช่นนี้ก็รู้แล้วว่าติ้งอ๋องไว้วางใจตระกูลสวีมากเพียงใด
แต่สวีชิงปั๋วผู้ที่กำลังรู้สึกเหมือนโดนม่อซิวเหยาขุดหลุมไว้ให้นั้นจำใจพยุงร่างที่ยามนี้ลุกขึ้นเดินเหินได้แล้วของตนไปคืนเงินหลายแสนตำลึงที่ได้มาให้กับมือม่อซิวเหยา เพื่อแสดงว่าแม้จะส่งเฟิ่งหวายถิงมา แต่เรื่องเงินทองย่อมต้องให้คนที่ดูแลเรื่องนี้ได้เป็นผู้จัดการ เขาขอไม่ยุ่ง ม่อซิวเหยาไม่พอใจเล็กน้อยที่สวีชิงปั๋วทำเช่นนี้ สวีชิงปั๋วถอนใจอย่างจนใจ “ข้าน้อยคงไม่ได้ล่วงเกินอะไรท่านหรอกกระมัง ท่านกำลังโมโหข้าอยู่หรือ”
ม่อซิวเหยาจึงเก็บเงินคืนไปด้วยท่าทางโมโห แล้วย้อนไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไว้ใจคุณชายสี่สวีหรอกหรือ” เขาถอดทอนใจอยู่ในใจเงียบๆ คนตระกูลสวีล้วนเกิดมาฉลาดเฉลียวเพื่ออะไรกัน ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกว่าสวีชิงเฉินคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไว้ใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพลาใดจะแอบหนีหลุดมือไปหรือ จึงได้อยากจะฝึกฝนคุณชายสวีสี่ให้มากเช่นนี้ เทียบกับความเจ้าเล่ห์ที่เกือบจะเหมือนภูตผีปีศาจของสวีชิงเฉินนั่นแล้ว ความปราดเปรื่องของสวีชิงปั๋วจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการเอาเขามาใช้ ติ้งอ๋องที่โกรธเกรี้ยวอยู่เต็มอกกลับลืมนึกไปว่า หากสวีชิงปั๋วไม่ฉลาดมากพอแล้ว เหตุใดเขาจึงต้องวางกับดักหลอกล่อเพื่อความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นในอีกแปดร้อยปีข้างหน้าด้วยเล่า
[1] ไก่ตาดำ โมโห โกรธแค้นกัน
ตอนต่อไป →