ณ ตระกูลซุน
ซุนฮูหยินอุ้มลูกสาวหน้าตาน่ารักฉลาดเฉลียวนั่งอยู่ในห้องหนังสือเพื่อตรวจสอบบัญชี ได้ฟังคนใช้รายงานข่าวของตระกูลไป๋ที่ถูกฆ่โดยที่นางไม่แม้แต่จะกะพริบตา เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว ออกไปเถิด”
คนใช้ที่มารายงานทำความเคารพแล้วออกไป ครู่ใหญ่ๆ ต่อมาซุนฮูหยินจึงวางบัญชีลง เงยหน้ามองลูกสาวแล้วยิ้มบางๆ กล่าว“เสี่ยวฟู่อ่านออกหรือไม่” ซุนเสี่ยวฟู่พึ่งจะอายุได้เจ็ดแปดขวบย่อมอ่านตัวหนังสือที่เบียดเสียดกันอยู่บนสมุดบัญชีเหล่านี้ไม่ออก นางส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและละอายใจไปมา กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านแม่ เสี่ยวฟู่ช่างไร้ประโยชน์…” ซุนฮูหยินอมยิ้มลูบผมนางเบาๆ กล่าว “ยามแม่อายุเท่าลูกก็อ่านไม่ออกเช่นกัน ลูกค่อยๆ เรียนเดี๋ยวก็ได้แล้ว”
ซุนเสี่ยวฟู่พยักหน้า มองดูมารดาที่มีสีหน้าเรียบเฉยแล้วลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ถามออกไปว่า “ท่านแม่ ท่านป้าไป๋พวกนาง…ตายแล้วหรือ” แม้อายุยังน้อยแต่ซุนฮูหยินก็มักจะพาลูกสาวออกไปเดินเล่นข้างนอก ดังนั้นบรรดาสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงส่วนใหญ่ซุนเสี่ยวฟู่ล้วนรู้จักเป็นอย่างดี ซุนฮูหยินอมยิ้มกล่าว “ไม่รู้สิ เหตุใดเสี่ยวฟู่จึงคิดว่าพวกเขาตายแล้วเล่า”
ร่างเล็กๆ ของซุนเสี่ยวฟู่สั่นน้อยๆ มือน้อยๆ จับเสื้อผ้าซุนฮูหยินไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวฟู่ได้ยินมาว่าติ้งอ๋องฆ่าผู้คนมากมาย พวกพี่เสี่ยวเจ้า อีกทั้งคนในบ้านของพี่เฉียนล้วนถูกฆ่าหมดแล้ว…” เดิมทีเด็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรจะมารู้จักการตายอะไร แต่วันที่ลอบสังหารวันนั้นซุนเสี่ยวฟู่ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แม้ว่าจะถูกซุนฮูหยินกอดป้องไว้สุดกำลัง แต่เด็กน้อยก็ยังเห็นศพที่อาบย้อมไปด้วยเลือดอยู่ดี ดังนั้นในใจดวงน้อยๆ ของนาง พวกพี่ๆ เพื่อนๆ ที่เคยมาเล่นกับนางเมื่อก่อน จึงตายกลายเป็นศพที่มีเลือดซึมไหลอาบชุ่มไปทั้งร่าง ฉากเช่นนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กที่อายุแค่เจ็ดแปดปีหวาดผวาได้อย่างสุดแสนแล้ว
“เสี่ยวฟู่กลัวติ้งอ๋องหรือไม่” ซุนฮูหยินก้มหน้ามองดูลูกสาวพลางทอดถอนใจแผ่วเบา
“อื้ม” ซุนเสี่ยวฟู่พยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบว่านางหวาดกลัวพี่ชายอาภรณ์ขาวผมสีดอกเลาที่หน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นเพียงใด ซุนฮูหยินแววตาเจือความเจ็บปวด แต่ก็จนใจยิ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “เสี่ยวฟู่ไม่ต้องกลัวไป ติ้งอ๋องและพระชายาต่างไม่ใช่คนเลวร้าย เราดูแลกิจการที่พ่อเจ้าทิ้งเอาไว้ให้ดีก็พอ มีผู้คนมากมายที่จ้องจะตะครุบกิจการนี้ เพียงแค่เราอยู่ฝ่ายติ้งอ๋อง แม่จึงจะสามารถดูแลกิจการที่พ่อเจ้าเหลือเอาไว้ให้รอดต่อไปได้ ดังนั้นต่อไปหากพบติ้งอ๋องกับพระชายาเมื่อใด เสี่ยวฟู่ก็ไม่ควรหวาดกลัวเข้าใจหรือไม่ พวกเขาล้วนเป็นคนดี ไม่ทำร้ายเสี่ยวฟู่หรอกลูก”
ซุนเสี่ยวฟู่มองมารดาตนด้วยความงุนงงเล็กน้อย ที่มารดากล่าวมานั้นล้วนถูกต้อง ทว่า…ติ้งอ๋องที่เข่นฆ่าผู้คนไปมากมายจะเป็นคนดีแน่หรือ คนดี…ไม่ใช่ไม่ควรทำเรื่องไม่ดีหรอกหรือ ฆ่าคน…ควรนับว่าเป็นเรื่องไม่ดีนี่นา ราวกับมองความคิดของบุตรสาวออก ซุนฮูหยินทอดถอนใจกล่าวเสียงเบา “บางคนฆ่าผู้คนไปมากมายก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนเลว บางคราเพราะเหตุจำเป็นจึงต้องทำ” เมื่อมองแววตาช่างสงสัยของบุตรสาว ซุนฮูหยินก็ลูบหัวน้อยๆ ของนางเบาๆ แล้วยิ้มกล่าวว่า “อีกหน่อยเสี่ยวฟู่โตก็จะรู้เอง”
“ฮุ่ยเหนียงตระกูลซุนคารวะท่านอ๋องและพระชายาเพคะ” ห้องหนังสือภายในหอพักม้า ซุนฮูหยินถวายคำนับต่อเยี่ยหลีและม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองนางคราหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบว่า “ลุกขึ้นเถิด” ซุนฮูหยินขอบพระทัย แล้วก้มหน้าพูดกับบุตรสาวเบาๆ ว่า “เสี่ยวฟู่ คารวะท่านอ๋องกับพระชายาเสียสิ” ซุนเสี่ยวฟู่ที่เดิมถูกสอนมาอย่างดีจากที่บ้านยามนี้กลับมีปัญหาเสียแล้ว นางเห็นม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็กลัวจนไม่กล้าเอ่ยคำใด ทำเพียงแอบอยู่หลังมารดาดึงเสื้อเอาไว้มุมหนึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าออกไป
เยี่ยหลีเห็นดังนั้นก็อมยิ้มหัวเราะกล่าวกับซุนฮูหยินว่า “เด็กยังเล็กนัก ไม่ต้องไปบังคับหรอก”
ซุนฮูหยินยิ้มอย่างจนใจ มองดูแววตาของบุตรสาวก็ให้กังวลมากขึ้น รอจนแม่นมพาตัวเสี่ยวฟู่ออกไปแล้ว ซุนฮูหยินที่คำนับขอบคุณม่อเซียวเหยากับเยี่ยหลีไปอย่างเคร่งขรึมเมื่อครู่ก็กล่าวเสียงเข้ม “พระชายาถูกลอบสังหารครานี้ล้วนเป็นเพราะข้าน้อยจัดการได้หละหลวมไม่เหมาะสม ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วยเพคะ” แม้ในระยะนี้ม่อซิวเหยาจะไม่ไปลงความแค้นกับพวกนาง แต่ซุนฮูหยินที่ฉลาดหลักแหลมมีหรือที่จะไม่รู้ว่าเพราะเป็นเรื่องของพระชายา ติ้งอ๋องจึงไม่ค่อยพอใจต่อตระกูลซุนนัก เพียงแต่เพิ่งจะยึดเมืองซีหลิงมาไว้ในมือได้ ติ้งอ๋องย่อมไม่อาจทำลายตระกูลขุนนางที่มีอำนาจไปเสียหมดสิ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซุนเป็นแกนนำหลักในการเข้ามาฝักใฝ่ต่อตำหนักนติ้งอ๋อง ยามนี้ตระกูลไป๋สูญสิ้นไปแล้วไม่ว่าอย่างไรติ้งอ๋องก็ไม่มีทางทำอะไรตระกูลซุนในยามนี้แน่ ทว่า…ไม่ทำยามนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในภายหน้าจะไม่ทำ แม้จะเป็นสตรี แต่นางก็ได้แบกฐานะของผู้นำตระกูลเอาไว้ เช่นนั้นแล้วก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของหัวหน้าตระกูลซุนด้วย
ม่อซิวเหยามองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่กล่าวคำใด แต่ความกดดันอันเงียบงันนี้กลับทำให้นางก้มหน้าลงไปอย่างจำนน
บนที่นั่งตำแหน่งประธานนั้น เยี่ยหลีค่อยๆ ยกมือขึ้นจับหลังมือม่อซิวเหยาเอาไว้แล้วยิ้มให้บางๆ สีหน้าม่อซิวเหยาจึงค่อยคลายลง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ครานี้พระชายาได้ขอความเมตตาแทนเจ้า การลงโทษจึงยกเลิกไป ข้าและพระชายาจะจากซีหลิงไปในไม่ช้า ภายหน้าจะมีคุณชายสี่มาช่วยดูแลปกครองซีหลิง เข้าใจหรือไม่” ในใจซุนฮูหยินพลันยินดี คำนับขอบคุณเยี่ยหลีด้วยความเคารพ “ซุนซื่อขอบพระคุณในความกรุณาของพระชายาเพคะ”
เยี่ยหลียิ้มบางยกมือกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า” จะว่าไปแล้วซุนฮูหยินก็ถูกใส่ร้ายอยู่บ้าง เดิมทีที่จัดงานชมดอกไม้สารทฤดูก็เพื่อเป็นตัวแทนของติ้งอ๋องพบปะกับผู้ที่เลือกเข้าฝ่ายตำหนักติ้งอ๋อง เรื่องที่ถูกลอบสังหารนั้นนางไหนเลยจะคาดไปถึง ยิ่งไปกว่านั้นดูจากอำนาจของตระกูลซุนแล้ว จะต่อสู้กับคนสนิทของเจิ้นหนานอ๋องผู้โหดเหี้ยมได้อย่างไร นางเป็นเพียงสตรีที่เลี้ยงดูลูกสาวดูแลปกป้องกิจการของตระกูลอันยิ่งใหญ่เอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แล้ว เพียงแค่นางไม่ทำเรื่องใดๆ ที่ไม่ควรจะทำ เยี่ยหลีล้วนพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกและไว้หน้านาง
ซุนฮูหยินยิ่งซาบซึ้งต่อเยี่ยหลีมากขึ้นไปอีก ในใจนางรู้เป็นอย่างดี แม้ตัวเองจะดูแลกิจการของตระกูลเอาไว้ได้ แต่เมื่อเทียบกับผู้ที่มีความสามารถเป็นพิเศษของติ้งอ๋องแล้ว กลับไม่นับว่าโดดเด่นอะไร เมื่อเปรียบเทียบด้านการค้า ตระกูลหานและตระกูลเฟิ่งของเมืองหลีล้วนเหนือกว่าตระกูลซุนมากนัก หากอยากจะได้รับความสำคัญจากติ้งอ๋องนั้นคงไม่ง่าย ทว่าหากได้พระชายามาสนับสนุน ไม่ว่าอย่างไร คนธรรมดาก็ไม่กล้ามารังแกพวกนางสองแม่ลูกได้ ดังนั้น แววตาของนางจึงยิ่งซื่อสัตย์มากขึ้นยามสบกับนัยตาของเยี่ยหลี ซุนฮูหยินประสานมือคำนับขอบคุณเยี่ยหลีอีกคราแล้วจึงได้ลุกขึ้น
“เรื่องของตระกูลไป๋จัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” ซุนฮูหยินลุกขึ้น ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยถาม ตระกูลไป๋เป็นถึงตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงแห่งซีหลิง กิจการภายใต้ชื่อของตระกูลไป๋นั้นย่อมมากมายจนนับไม่ถ้วน ยิ่งมีของล้ำค่าที่ฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งซีหลิงพระราชทานให้ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ซุนฮูหยินที่ได้รับคำสั่งให้ติดตามไปยึดทรัพย์ตระกูลไป๋ก็ยังตกใจ ซุนฮูหยินพยักหน้ากล่าว “จัดการเรียบร้อยแล้วเพคะ หลังจัดการกิจการภายใต้ชื่อของตระกูลไป๋แล้วก็ส่งไปเก็บไว้ยังห้องหนังสือทั้งหมด รอเพียงคุณชายสี่รักษาตัวหายดีแล้วมาจัดการตรวจสอบเท่านั้น ในนั้นมีเงินห้าหมื่นเจ็ดพันตำลึง ทองคำอีกหนึ่งหมื่นสองพันตำลึง ในโรงเงินมีเงินฝากอยู่อีกแปดแสนเจ็ดหมื่นสามพันตำลึง ตั๋วทองอีกหนึ่งแสนตำลึง ทรัพย์สินมีค่าต่างๆ อีกหกร้อยเจ็ดสิบแปดชิ้น สร้อยไข่มุกสามสิบสี่หีบ ภาพวาดล้ำค่าสองร้อยเจ็ดสิบห้าม้วน หนังสือตำราเก่าแก่สี่ร้อยห้าสิบสองเล่ม สมบัติที่ยึดมาทั้งหมดของตระกูลไป๋มีด้วยกันทั้งสิ้นห้าแสนตำลึงล้วนจดบันทึกลงไว้ในบัญชีเรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาโปรดตรวจดู รอให้คุณชายสี่มาดูแลซีหลิงแล้วก็จะให้คนขนไปไว้ที่เมืองหลีเพคะ” กล่าวจบ ซุนฮูหยินก็หยิบสมุดบัญชีเล่มบางๆ ออกมาจากแขนเสื้อมายื่นส่งให้