ภายในห้องหนังสือของจวนตระกูลไป๋ ไป๋อวิ่นเฉิงกำลังปรึกษาวางแผนกับพี่น้องสายรองและผู้ช่วยข้าราชการทหาร นอกประตูมีพ่อบ้านอีกคนรีบร้อนเข้ามารายงานว่า “นายท่านขอรับ คุณชายเฟิ่งซานและคุณชายสวีสามมาขอรับ” ไป๋อวิ่นเฉิงใจพลันกระตุกวูบ เฟิ่งจือเหยาเป็นถึงคนสนิทของม่อซิวเหยา ทั้งสวีชิงเฟิงก็เป็นถึงคุณชายสามแห่งตระกูลสวีและเป็นพี่ชายแท้ๆ ของสวีชิงปั๋วที่กำลังบาดเจ็บอยู่ ทั้งคู่มาด้วยกันเช่นนี้จะมีเรื่องดีอะไรได้
“คุณชายเฟิ่งซานมีเรื่องอะไรหรือ” ไป๋อวิ่นเฉิงถาม
สีหน้าพ่อบ้านคนนั้นพลันซีดเผือดไปด้วย กล่าวว่า “คุณชายเฟิ่งซานบอกว่ามาพบนายท่านตามคำสั่งของท่านอ๋องขอรับ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากกว่านี้ ทว่า…คุณชายสวีสามมีองครักษ์ติดตามมาไม่น้อย ราวกับว่า…ได้ปิดล้อมจวนเราไว้หมดแล้ว” พอได้ฟัง ผู้คนที่อยู่ภายในห้องหนังสือต่างก็ตกใจ สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่มากขึ้นไปอีก ครู่ต่อมาไป๋อวิ่นเฉิงจึงได้ทอดถอนใจยาวออกมา แล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
พอเขาเดินนำพ่อบ้านมาที่โถงใหญ่ ก็เห็นเฟิ่งจือเหยาที่ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีชาดกับสวีชิงเฟิงในอาภรณ์ดำสนิทคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่ในโถงนั้น พอเห็นเขาออกมา เฟิ่งจือเหยาที่ดื่มชาอยู่ก็ลุกขึ้นประสานมือแย้มยิ้มดั่งลมเย็นยามวสันต์ “ท่านผู้นำตระกูลไป๋ ข้าน้อยรบกวนแล้ว” สวีชิงเฟิงที่นั่งอยู่อีกด้านกลับไม่แสดงอาการใดๆ สีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก รอยยิ้มของไป๋อวิ่เฉิงแข็งทื่อเล็กน้อย ประสานมือรับกล่าวว่า “ได้อย่างไร คุณชายเฟิ่งซานและคุณชายสวีสามมาเยือนทั้งที นับเป็นเกียรติของตระกูลไป๋จึงจะถูก เชิญท่านทั้งสองนั่งดื่มชาก่อนเถิด”
สวีชิงเฟิงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า “ไม่ต้อง ข้าไม่ได้มาเพื่อดื่มชา”
ไป๋อวิ่นเฉิงหายใจไม่ทั่วท้อง เดิมทีเขายังคิดว่าสวีชิงเฟิงเกิดมาในตระกูลสวี คงจะต้องเหมือนสวีชิงปั๋วที่ถึงแม้จะร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ก็ควรมีความสุภาพและมีมารยาทบ้าง นึกไม่ถึงว่าเขาจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย เฟิ่งจือเหยาก็ไม่ได้ใส่ใจ ยิ้มอย่างมีเลศนัยกล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูลไป๋อย่าได้ถือสา เขากำลังอารมณ์ไม่ดี”
ไป๋อวิ่นเฉิงถามอย่างระวังว่า “ข้าต้อนรับได้ไม่ดีตรงที่ใดหรือ”
สวีชิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็นกล่าว “ได้ยินมาว่ามีคนอยากจะฆ่าน้องสาวและหลานตัวน้อยๆ ที่ยังไม่ได้ลืมตามาดูโลก จึงไม่ใคร่จะยินดีนัก” ไป๋อวิ่นเฉิงตกตะลึง สีหน้าซีดเผือดยิ้มฝืดๆ กล่าว “คุณชายสามกล่าวเช่นนี้ พระ…พระชายาพระทัยดีงาม ใครกันช่างกล้าคิดคดทรยศอย่างไร้คุณธรรมเช่นนี้”
เฟิ่งจือเหยาโบกพัดท่าทางไม่ใส่ใจนัก มองไป๋อวิ่นเฉิงด้วยความเสียดายอยู่บ้างพลางกล่าวว่า “ผู้นำตระกูลไป๋ ที่พี่สวีกล่าวมานั้นเป็นความจริง ไม่เช่นนั้นข้าน้อยคงไม่กล้ากล่าวมากมายเช่นนี้ ข้าน้อยมาในนามของท่านอ๋อง…เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้”
รอยยิ้มของไป๋อวิ่นเฉิงแข็งทื่อเหมือนหน้ากากที่แขวนไว้บนหน้า แววตาก็ปกปิดความตระหนกที่พยายามกดเก็บไว้ไม่มิด “คุณชายเฟิ่งซาน…หมายความว่าอย่างไร”
เฟิ่งจือเหยาไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าน้อยได้ข่าวมาว่าฮูหยินของท่านมีจิตคิดสังหารต่อพระชายา ท่านอ๋องโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เพียงแต่ตระกูลไป๋ไม่เหมือนผู้ใด ท่านอ๋องยอมไว้หน้าท่านผู้นำอยู่หลายส่วนทีเดียว ขอท่านผู้นำโปรดเชิญฮูหยินมาพบข้าน้อยสักครู่ หากไม่มีเรื่องเช่นนี้จริง ข้าน้อยก็จะกลับไปชี้แจงกับท่านอ๋องและพระชายาให้”
“นี่…” ไป๋อวิ่นเฉิงแอบกรีดร้องในใจ ภรรยาเขาพึ่งจะเปิดเผยความในใจกับเขาไปเมื่อครู่ ยามนี้คนของตำหนักติ้งอ๋องก็มาหาถึงบ้านแล้ว ไป๋อวิ่นเฉิงไม่แน่ใจว่าที่แท้แล้วเฟิ่งจือเหยาได้หลักฐานอะไรไปกันแน่ หรือว่าจวนของตนนั้นจะมีคนของตำหนักติ้งอ๋องอยู่ แล้วบังเอิญได้ยินตอนที่เขาคุยกับภรรยาเข้า
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นกล่าวเสียงเรียบว่า “นี่เป็นโอกาสในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้แก่ท่านผู้นำตระกูลไป๋ ท่านโอ้เอ้หลีกเลี่ยงเช่นนี้ หรือว่าจะไม่ใช่เรื่องโคมลอยจริงๆ แม้ตระกูลไป๋จะแสดงตนว่าภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋อง แต่ในที่ลับกลับยังคงแอบมีใจคิดคดอย่างนั้นหรือ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” ไป๋อวิ่นเฉิงรีบเอ่ย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญฮูหยินออกมาพบข้าน้อยเสียเดี๋ยวนี้เถิด” กล่าวจบก็เรียกคนให้ไปเชิญไป๋ฮูหยินออกมา เฟิ่งจือเหยาโบกมือห้ามแล้วยิ้มกล่าว “ไม่ต้องลำบากเช่นนั้น เราเดินไปเองคงจะเร็วกว่า”
“แต่…สถานที่อย่างเรือนหลังเช่นนี้เกรงว่า…” ไป๋อวิ่นเฉิงคิดอยากห้าม เฟิ่งจือเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วกล่าวว่า “คนที่เราพามาล้วนรักษากฎระเบียบเป็นอย่างดี เพียงแค่คนของท่านผู้นำปิดปากให้สนิทก็จะไม่มีข่าวลือใดๆ แพร่ออกไป” มองดูเฟิ่งจือเหยาสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สบสายตาอันเย็นเยียบของสวีชิงเฟิงที่กำลังจ้องมาทางตน ไป๋อวิ่นเฉิงก็จำต้องถอยให้ “เช่นนั้นก็เชิญคุณชายเฟิ่งซานและคุณชายสวีสามเถิด”
ไป๋อวิ่นเฉิงพาทั้งคู่ตรงไปยังเรือนของไป๋ฮูหยินที่อยู่เรือนหลัง เพิ่งจะเดินถึงหน้าทางเข้าเรือนก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังออกมาจากด้านในเสียแล้ว ไป๋อวิ่นเฉิงใจคอไม่ดี ทิ้งเฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิงไว้แล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน พอเข้าประตูมาก็เห็นไป๋ฮูหยินนอนอยู่บนพื้น ทั้งร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงก่ำ หน้าท้องมีกริชรูปทรงประณีตปักคาไว้อยู่ มองดูท่าทางไป๋ฮูหยินที่มือจับกริชไว้ ก็ราวกับว่านางฆ่าตัวตายอย่างไรอย่างนั้น ไป๋อวิ่นเฉิงจำกริชเล่มนั้นได้ เป็นกริชเล่มโปรดที่ไป๋ชิงหนิงชอบเอามาเล่นในยามว่าง
พอเห็นว่าไป๋ฮูหยินได้จากไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าปฏิกิริยาแรกของไป๋อวิ่นเฉิงคือถอนหายใจออกมา สิ่งที่ตามมาคือความโศกเศร้าจางๆ จากการตายของภรรยาของเขา เมื่อหันกลับมาก็เห็นเฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิงเดินเคียงกันมา ไป๋อวิ่นเฉิงอาลัยกล่าว “คุณชายเฟิ่งซาน คุณชายสวีสาม จู้จิงนาง…” ถูกคนฆ่าตายแล้ว
เฟิ่งจือเหยามีหรือจะให้โอกาสเขา เขามองดูศพคราหนึ่งแล้วขมวดคิ้วกล่าวว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดไป๋ฮูหยินจึงฆ่าตัวตาย”
สวีชิงเฟิงกอดอกหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ย่อมเพราะทำผิดจึงคิดละอายใจอยู่แล้ว เข้าไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” เมื่อเดินเข้าไปด้านในสองสามก้าวก็เห็นที่ตั้งป้ายวิญญาณของไป๋ชิงหนิง ด้านหน้านั้นมีธูปที่เพิ่งจุดได้ไม่นานปักอยู่ เฟิ่งจือเหยาหันกลับมามองไป๋อวิ่นเฉิง หัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ท่านผู้นำไป๋ จะอธิบายเช่นไร” ไป๋อวิ่นเฉิงบังคับตัวเองให้สงบแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่เข้าใจว่าคุณชายเฟิ่งซานหมายความเช่นไร นี่เป็นป้ายวิญญาณของบุตรสาวข้า มีปัญหาที่ตรงใดหรือ”
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเยาะกล่าวเสียงเรียบ “นี่ท่านผู้นำตระกูลไป๋กำลังกล่าวล้อที่ข้าเฟิ่งซานเกิดจากบ้านเล็กบ้านน้อยไม่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านอยู่หรือ นี่คือที่ไหว้วิญญาณ มีผู้ใดบ้างที่จะตั้งที่ไหว้วิญญาณไว้ในห้องนอนตัวเองเช่นนี้”
ไป๋อวิ่นเฉิงหน้าซีดขาวกล่าว “จู้จิงประคบประหงมรักใคร่ลูกสาวคนเล็กมาตั้งแต่เด็ก ยามนี้เสียนางไปอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึง…”
“ดังนั้นจึงมีจิตใจเคียดแค้น อยากจะลอบฆ่าพระชายาเพื่อแก้แค้นตำหนักติ้งอ๋องอย่างนั้นหรือ” เฟิงจือเหยากล่าวรับต่อ
ไป๋อวิ่นเฉิงกล่าวเสียงเข้ม “คุณชายเฟิ่งซาน นี่ท่านกำลังใส่ร้ายข้าหรือ!”
เฟิ่งจือเหยากล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “จะเป็นการใส่ร้ายหรือไม่ ผู้นำตระกูลไป๋ไปอธิบายกับท่านอ๋องเอาเองเถิด” ไป๋อวิ่นเฉิงมองหน้าประตูด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย ที่ด้านนอกประตูมีเงาของชายชุดดำยืนกันอยู่เป็นทิวแถว ทำเขารู้สึกหมดหวังขึ้นมา ภายใต้การจับตามองของเฟิ่งจือเหยาและสวีชิงเฟิงนั้น ในที่สุดก็ได้เห็นเขาก้มหน้าลงด้วยความซึมเศร้าท้อใจ
เมืองหลวงแห่งซีหลิงในเดือนเก้า แม้จะไม่มีสงครามแต่ก็ยังคงคละคลุ้งไปด้วยการนองเลือดอย่างไม่หยุดหย่อน หลังจากตระกูลซุนเลือดนองไปทั้งถนนเมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลไป๋ที่เรียกได้ว่าเป็นตระกูลแห่งสนมชายาของซีหลิงก็สูญสิ้นตามกันไป ไป๋ฮูหยินวางแผนลอบสังหารพระชายาเพื่อแก้แค้นให้บุตรสาว หลังจากแผนการไม่สำเร็จก็ปลิดชีพตนเองเพื่อฆ่าตัวตาย คนตระกูลไป๋ล้วนถูกจับเข้าคุก แม้จะไม่ได้ให้สังหารทันที แต่ขุนนางผู้มีอำนาจของซีหลิงก็ไม่ไปติดตามข่าวคราวของตระกูลไป๋อีก คราแรกพระชายาถูกลอบสังหารก็ลากโยงคนไปครึ่งซีหลิง ยามนี้เมื่อตระกูลไป๋วางแผนสังหารพระชายาอีกครั้ง คิดอยากจะดึงเอาคนอีกครึ่งเมืองที่เหลือไปเกี่ยวโยงด้วยหรืออย่างไร คนโง่เขลาเช่นนี้ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ไม่น่าสงสาร มีผู้ใดจะอยากโดนหางเลขไปด้วยกัน