บทที่ 33 Ink Stone_Romance
“ท่านพี่ น้องตามหาตัวท่านพี่มาสักพักแล้วนะคะ”
“…มิเอล”
ทำไมมิเอลถึงมาปรากฏตัวที่งานวันเกิดฉันได้ มิเอลเดินเข้ามาภายในสวนโดยไม่เปิดช่องว่างให้สงสัย
เอ็มม่าที่ตามมาข้างหลัง โอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่ไว้ในอ้อมแขนดูเหมือนจะมาร่วมฉลองวันเกิด
“ทำไมถึงไม่ชวนน้องด้วยล่ะคะ น้องเสียใจนะคะ”
“…”
“ฉันคิดว่าท่านพี่อาจจะลืมก็ได้ ก็เลยมาตามหาแบบนี้ สุขสันต์วันเกิดนะคะ ท่านพี่”
หรือว่าเธอจะมาทำให้ฉันขายขี้หน้าเหรอ ไม่อย่างนั้นคนที่ไม่เคยมาหาอาเรียก่อนอย่างเธอคงจะไม่อุตส่าห์ลำบากหอบร่างมาถึงที่ถึงที่นี่หรอก
สุดท้ายเธอก็ละทิ้งสันดานชั่วไม่ได้อย่างที่คิดไว้ เธอเล็งเวลาที่เหมาะเจาะเพื่อเข้ามาเล่นงานสมกับเป็นเธอ หัวเราะไม่ออกเลยจริงๆ
เหล่าหญิงสาวไม่อาจซ่อนสีหน้าตกใจเอาไว้ได้หลังเห็นอาเรียมีท่าทีหวาดหวั่นต่อคำพูดของมิเอล พลางคิดไปว่าทั้งคู่คงไม่ได้เป็นมิตรกันสักเท่าไรนัก มิเอลถึงไม่มาร่วมงานวันเกิด อาเรียตอบกลับด้วยใบหน้าสุดแสนประหลาดใจ
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร พี่พยายามจะชวนน้องตั้งหลายครั้ง เพียงแต่พี่ไม่ได้จะบอกน้องสักทีเพราะน้องไม่สบาย ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาน้องก็ทานอาหารแต่ในห้องตลอดเลยไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ เป็นอย่างนั้นสินะคะ แต่ตอนที่น้องอาการดีขึ้นน้องก็ลงไปทานอาหารข้างล่างตั้งสองสามครั้งนะคะ… น้องนึกว่าท่านพี่ตั้งใจทิ้งน้องอีกแล้วเสียอีก แต่น้องคงจะเข้าใจผิดไปเองน่ะค่ะ”
มิเอลไม่เปิดช่องว่างให้อาเรียตอบ เอ็มม่าจึงยื่นช่อดอกไม้ให้อาเรียแทนเจ้านายของหล่อนที่ยังน้อยใจอยู่
“น้องเตรียมดอกไม้ที่คิดว่าท่านพี่น่าจะชอบ ไม่รู้ว่าถูกใจท่านพี่หรือเปล่าค่ะ”
“…ไม่หรอก มันสวยมากเลยล่ะ”
“น้องเพียงแค่จะมาให้ท่านพี่เห็นหน้าเท่านั้น และจะไปแล้วค่ะ วันเกิดปีหน้าอย่าลืมชวนน้องมาด้วยนะคะ ขอให้ท่านพี่สนุกกับงานเลี้ยงค่ะ”
เช่นเดียวกับตอนที่เธอยื่นช่อดอกไม้ มิเอลคงจะคิดว่าอาเรียจะโต้ตอบอะไร จึงหันหลังกลับไปทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้น
มิเอลหันกลับมาด้วยใบหน้ามีความสุขอย่างสุดซึ้ง ทำให้อาเรียขายขี้หน้า เธอจึงมองไปรอบๆ อย่างลนลานเพื่อหานาฬิกาทรายย้อนเวลา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอไม่มีนาฬิกาทรายอยู่กับตัว
เพราะคิดว่างานปาร์ตี้เล็กๆ แบบนี้คงไม่มีเหตุผลอะไรให้จำเป็นต้องใช้มัน ก็เลยไม่ได้หยิบติดมาด้วย ไม่น่าเลย!
‘เอาอย่างไรดีล่ะ กลับห้องไปเอามาตอนนี้เลยดีไหม’
มิเอลได้เดินจากไปแล้ว ที่ตรงนี้เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าร้อนรนของอาเรียที่ยังคงกำลังชั่งน้ำหนักเวลา
บรรดาหญิงสาวเอ่ยปากชมช่อดอกไม้ของมิเอลอย่างเก้ๆ กังๆ เพื่อทำลายบรรยากาศอันชวนอึดอัดนี้
“…ช่อดอกไม้สวยจังนะคะ”
“…จริงด้วยค่ะ”
อาเรียที่ตระหนักได้ว่าต่อให้ไปเอานาฬิกาทรายย้อนเวลามาตอนนี้ก็คงสายเกินไปเสียแล้ว ถอนหายใจอย่างไม่ให้มีเสียง แล้วปรับสีหน้าให้ดีขึ้น จะมาเสียใจกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่แน่ว่าบางทีออสการ์อาจจะมาก็ได้ เพราะอย่างนั้นจะมาใช้นาฬิกาทรายย้อนเวลากับเรื่องไร้สาระแค่นี้ไม่ได้
เธอเอาช่อดอกไม้ให้เจสซี่แล้วกลับที่ไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอจะไม่ยอมให้บรรยากาศอึดอัดดำเนินต่อไปตามแผนของมิเอลหรอก
“มิเอลไม่สบาย แล้วก็ไม่ได้ลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารอยู่พักหนึ่ง แต่ดูเหมือนเธอจะดีขึ้นแล้วน่ะค่ะ ฉันเป็นห่วงแทบแย่ โล่งใจจริงๆ”
สีหน้าแสดงออกถึงความปลื้มปริ่มอย่างจริงใจของอาเรียทำให้บรรยากาศอันน่าอึดอัดอันตรธานหายไปในทันที ดูเหมือนเหล่าหญิงสาวจะยอมรับเรื่องที่เธอไม่ได้ชวนมิเอลเพราะป่วยจริงๆ
เรื่องที่หญิงสาวแกล้งป่วยนั้นเป็นเรื่องจริง อาเรียจึงดำเนินบทสนาต่อไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“อย่างนั้นนี่เอง ฉันก็ว่าช่วงนี้ไม่ได้ค่อยข่าวเกี่ยวกับเลดี้มิเอลเลย”
“เธอคงจะไม่สบายเพราะท่านพ่อขึ้นไปยังเมืองแถบทางเหนือน่ะค่ะ”
“น่าสงสารอะไรเช่นนี้ เธอป่วยเพราะคิดถึงท่านพ่อสินะคะ”
พวกเธอเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพราะเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงวัยอย่างมิเอล
แต่ในความเป็นจริงเธอป่วยเป็นโรคโมโหเพราะอาเรียไม่ได้ทำตามที่เธอหวัง และแล้วความคิดริเริ่มก็กลับมาที่อาเรียอีกครั้ง
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นค่ะ ท่านพี่เคนก็ไม่อยู่เพราะไปโรงเรียนด้วย ก็เลยอาจจะ…”
อาเรียหยุดครู่หนึ่งพลางจิบชาก่อนจะพูดต่อ เพื่อบ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก
เธอเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางน่าเวทนาและพยายามดึงปลายคิ้วลง
“ท่านพ่อของเธอแต่งงานใหม่กับท่านแม่ของฉันมาได้สักพักแล้ว แต่เธอไม่ค่อยชอบใจนัก เธอคงจะรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวน่ะค่ะ”
ความรู้สึกที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวนั้น แน่นอนว่าอาเรียตีหน้าเศร้าและโดดเดี่ยวราวกับตนเป็นคนได้รับความรู้สึกเสียเอง ซาร่าเห็นดังนั้นจึงเข้ามาปลอบเธอ
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ เลดี้อาเรีย มันช่วยไม่ได้นี่คะ เพราะเลดี้มิเอลก็ยังเด็กอยู่ อีกทั้งครอบครัวก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาง่ายๆ ด้วยค่ะ เดี๋ยวเวลาผ่านไปมันก็จะดีขึ้นเองนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ ซาร่า”
ด้วยเหตุนี้ แผนเล่นงานของมิเอลก็ผ่านไปกลายเป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ ราวกับนัดกระสุนที่ยิงพลาด
แผนของมิเอลที่พยายามจะทำให้เธอกลายเป็นพี่สาวที่ไม่ดีไม่ยอมชวนน้องเพียงคนเดียวของเธอมาร่วมงานวันเกิด กลับกลายเป็นความผิดพลาดของตัวเองเพราะเธอรู้สึกอึดอัดกับคนแปลกหน้าจนไม่สบาย
ภาพลักษณ์ที่อาเรียได้สั่งสมมาจากการพบปะหลายครั้งก็ไม่พังทลายลงเพียงเพราะแผนแผลงๆ ครั้งเดียวของเธอ แถมยังกลับกลายเป็นช่วยเพิ่มข้อแก้ตัวเสริมภาพลักษณ์ให้ดียิ่งขึ้นไปเสียอีก
อาเรียกล่าวลาบรรดาหญิงสาวที่กำลังสวมเสื้อคลุมและถุงมืออยู่อีกครั้ง
“ถึงเวลาที่จะต้องจากกันจริงๆ แล้วสินะคะ ฉันจะตั้งตารอการพบปะในครั้งต่อไปค่ะ”
“สนุกมากเลยค่ะ แล้วเจอกันใหม่ในการพบปะครั้งต่อไปนะคะ”
“ขอให้เลดี้อาเรียที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปอีกขั้นได้รับพรอยู่เสมอนะคะ”
เหล่าหญิงสาวที่มาปรากฏตัวราวกับสายลมหายไปอีกครั้งราวกับสายลม มีเพียงซาร่าที่ออกจากคฤหาสน์เป็นคนสุดท้าย ประทับจูบบางๆ บนแก้มของอาเรียผู้น่าเอ็นดู
อาเรียกลับมายังห้องของเธอ เปิดกล่องดนตรีที่ได้รับมาเป็นของขวัญแล้วปิด ก่อนจะตกอยู่ในห้วงความคิด นึกถึงตอนที่ตนลนลานเพียงเพราะแค่ไม่มีนาฬิกาทราย
เธอพอจะรับมือกับสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องย้อนเวลากลับไปประมาณ 5 นาทีก่อนก็จริง แต่พอเธอมีนาฬิกาทราย เธอกลับถูกมันควบคุมจนปล่อยให้ตัวเองสับสนลนลานไปชั่วขณะ เธอเพิ่งใช้ไปไม่กี่ครั้ง แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกนาฬิกาทรายควบคุมไปเสียแล้ว
‘ถึงอย่างนั้นฉันจะไม่ใช้นาฬิกาทรายก็ไม่ได้’
นาฬิกาทรายที่วางอยู่ข้างกล่องดนตรีสะท้อนแสงประกาย ดูราวกับมันส่องแสงไปทั้งร่างเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ทำให้อาเรียเกิดความสับสน
‘ใช่แล้ว ไม่มีอะไรจะโง่ไปกว่าการไม่ใช้ของที่ตัวเองมีอยู่แล้วล่ะ’
เธอจึงคิดว่าเธอควรพกนาฬิกาทรายติดตัวไว้ตลอดเวลาแทนที่จะเลิกหวังพึ่งมัน จะได้ไม่ลนลานเหมือนวันนี้อีก
ถ้าใช้อย่างถูกที่ถูกเวลาก็คงไม่ถูกมันครอบงำ แถมมีติดตัวไว้ก็อุ่นใจกว่าไม่มีแล้วต้องมากังวล
‘ใช่แล้วล่ะ สิ่งสำคัญคือต้องกำจัดความกังวลออกไป’
คิดได้ดังนั้น อาเรียก็ขยำช่อดอกไม้ทิ้งแล้วโยนลงไปในเตาเผา เพราะมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธออารมณ์เสียและรู้สึกวิตกกังวล
การได้เห็นมันเสียรูปลักษณ์และบิดเบี้ยวลงชั่วพริบตาในเตานั้นทำให้รู้สึกคุ้มค่ามากทีเดียว
เธอเฝ้าดูมันสูญเสียรูปร่างจนกลายเป็นขี้เถ้าเพียงหนึ่งหยิบมือ กระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเบาๆ จากข้างหลัง
“เลดี้คะ มีแขกมาเยี่ยมค่ะ”
ตุ้บ หัวใจของเธอร่วงลงไปทันที เขามาจริงๆ เหรอ ออสการ์ เฟรดเดอริกน่ะ
พอหันกลับไปมองดวงตาที่สั่นไหว ก็เห็นเจสซี่เอ่ยปากกล่าวชื่อผู้มาเยือนด้วยริมฝีปากปากที่สั่นระริกเหมือนกับเจ้านายของเธอ
“…ท่านออสการ์ เฟรดเดอริกมาขอพบเลดี้ค่ะ”
* * *
ข่าวลือเรื่องที่ออสการ์มาหานั้นไปถึงหูมิเอลทันที เพราะอาเรียมัวแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสไตล์เรียบๆ แบบที่เขาชอบ มิเอลจึงไปหาออสการ์ที่ห้องรับแขกได้ก่อน
ทำไมเขาถึงมาหาอาเรียกันนะ มีธุระอะไรกับลูกสาวโสเภณีชั้นต่ำอย่างเธอกัน!
ไม่ว่าจะพยายามคิดแค่ไหนก็หาคำตอบของคำถามไม่ได้ เพราะเธอไม่นึกหาเหตุผลที่เขามาพบอาเรียได้เลย เธอไม่อยากจะจินตนาการถึงเหตุผลที่แย่ที่สุดอย่างมาเพราะเป็นวันเกิดเธอ
ขณะที่กำลังคิดไม่ตกว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรเพื่อเข้าไปข้างในดีนั้น เธอก็เหลือบไปเห็นสาวใช้สองคนที่กำลังเดินเข้าไปในห้องรับแขกพร้อมชุดถ้วยชา มิเอลจึงเรียกพวกเธอด้วยรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเธอ
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
“…คะ”
“ฉันว่าถ้วยนั่นน่าจะหนักนะ”
เพียงแค่ถ้วยสองเซตมันไม่มีทางจะหนักได้หรอก และแม้ว่าถ้วยจะหนักจริง พวกเธอจะกล้าขอความช่วยเหลือจากเจ้านายตนได้อย่างไร เหล่าสาวใช้ของมิเอลที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของสาวใช้สองคนที่กำลังทำหน้างุนงง
“เอานั่นมา เดี๋ยวฉันเอาไปให้เขาเอง”
“เอ๊ะ คุณเอ็มม่า”
สาวใช้ที่ถือเครื่องดื่มหน้าเริ่มซีด เพราะเธอไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องอะไรเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม พวกเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งของเจ้านายและเอ็มม่าได้ ถาดถ้วยน้ำชาจึงตกไปอยู่ในมือของทั้งคู่ในทันที
“เลดี้คะ เข้าไปกันเลยไหมคะ”
“…อือ”
มิเอลกลืนน้ำลายก่อนจะเข้าไปยังห้องรับแขกพร้อมกับเหล่าสาวใช้ ในห้องมีชายคนที่เธอคิดถึงและหวนหานั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย
“คุณออสการ์”
“…เลดี้มิเอล”
เขาหันมามองมิเอลที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถาดน้ำชาอย่างประหลาดใจ หญิงสาวสูงศักดิ์ถูกสาวใช้ปล่อยไว้กับหน้าที่แบบนี้ได้อย่างไรกัน
มิเอลที่รับหน้าที่นี้เองทำสีหน้าบ่งบอกว่าตนไม่เป็นไร เธอเพียงสงสัยแค่ว่าทำไม เพราะอะไร ด้วยเหตุผลใดที่เขามาหาอาเรีย
“ไม่ได้พบกันนานนะคะ คุณออสการ์ ช่วงที่ผ่านมาสบายดีไหมคะ”
“…ครับ เลดี้เองก็สบายดีใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ แต่พอดีช่วงนี้ฉันค่อนข้างยุ่งอยู่กับการเรียนเย็บปักถักร้อยน่ะค่ะ”
“…อย่างนั้นเหรอ”
สายตาของเขาไล่ไปตามมือเล็กๆ ของมิเอลขณะที่กำลังวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอย่างเก้ๆ กังๆ
ท่าทางของเธอดูอึดอัด เอ็มม่าสาวใช้ของเธอจึงช่วยจัดเครื่องถ้วยชาและรินน้ำชาให้ มิเอลยิ้มอย่างสดใสราวกับดอกไม้ และเอ่ยปาก
“ฉันขอเป็นคู่สนทนาของคุณจนกว่าท่านพี่จะมาได้ไหมคะ”
ออสการ์ไม่มีทางที่จะปฏิเสธมิเอลได้ เขาจึงพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ได้สิ”
มิเอลนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของเขาด้วยท่วงท่าอันสง่างาม และจิบน้ำชาที่เอ็มม่าเตรียมให้ แม้ว่าชานั้นจะเตรียมไว้สำหรับอาเรียก็ตาม
“คุณดูซูบไปหน่อยนะคะ”
“ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งน่ะ”
“อ๊ะ ใกล้สอบแล้วใช่ไหมคะ คิดดูแล้วตอนนี้ก็น่าจะอยู่ในช่วงที่วิทยาลัยกำลังยุ่งๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แต่ท่านมาคฤหาสน์ท่านเคานต์ในวันธรรมดาไม่ใช่สุดสัปดาห์ ท่านคงจะมีธุระสำคัญที่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยทีเดียวสินะคะ”
“…จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ”
ถ้วยชาในมือที่มิเอลถืออยู่เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากที่มิเอลหยุดคุยและจิบน้ำชาไปครู่หนึ่ง เธอก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในมือของคนรับใช้ที่ยืนคอยอยู่ด้านหลัง
มันคือช่อดอกลิลลี่
ในเมื่อเขาไม่ได้มอบให้เธอ ฉะนั้นมันต้องเป็นของอาเรียแน่
ของขวัญวันเกิดเหรอ ทำไมกัน ดอกลิลลี่ขาวสะอาดบริสุทธิ์เช่นนั้นไม่เข้ากับคนสกปรกโสมมแบบนั้นหรอก เจ้าของที่แท้จริงของดอกลิลลี่ต้องมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น
มิเอลปิดเปลือกตาและลืมตาขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวที่ได้รับการสั่งสอนมารยาทผู้ดีของชนชั้นสูงติดตัวมาตั้งแต่ก่อน ทำให้เธอรู้วิธีคงรักษาความสง่างามไว้ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด
แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่คนที่เธอรักและใฝ่ฝันนำดอกไม้มาให้คนอื่นก็ตาม
“น่ารักจังเลยนะคะ ดูเหมือนคุณมาเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของท่านพี่สินะคะ แต่น่าเสียดายที่งานปาร์ตี้จบลงไปแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้รับเชิญ เลยนำเพียงของขวัญวันเกิดไปให้ค่ะ”
มิเอลกล่าวตำหนิอาเรียอย่างค่อนข้างเปิดเผย เธอโยนความผิดให้อาเรีย โดยไม่ให้มันกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง
“แน่นอนท่านพี่บอกว่าไม่ได้ชวนเพราะคิดว่าฉันไม่สบาย แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันผิดเองที่ไม่ได้บอกท่านพี่ให้ทราบ น่าเสียดายนะคะ”
สายตาของออสการ์สั่นคลอนชั่วครู่ ก่อนที่มิเอลจะพูดจบลง
………………………………………………….