บทที่ 145 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 145 ไม่ญาติดีและไม่มีวันสงบศึก ! (ต้น)

เยี่ยฉวนต้องตาย !

นี่คือข้อเรียกร้องของหลี่เสวียนชาง ถ้าจะพูดให้ถูก นี่เป็นข้อเรียกร้องของสถานศึกษาฉางมู่จึงถูกต้อง !

ยอดคนที่กล้าแกร่งเช่นเยี่ยฉวนนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ชายหนุ่มแม้กระทั่งสามารถสังหารเฟินเจี๋ยได้ง่ายดาย หากเขาเติบโตต่อไปในภายหน้า ไม่แคล้วสถานศึกษาฉางมู่ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายในการประลองชี้เป็น ชี้ตายระหว่างสถานศึกษาทั้งสองที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าเป็นแน่ !

ทว่านี่ยังนับว่าเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคือความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวน ซึ่งจะทำให้เขากลาย เป็นภัยคุกคามเมื่อความกล้าแกร่งได้พัฒนาแล้วโดยสมบูรณ์เต็มที่ !

ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อเท็จจริงที่ว่าเยี่ยฉวนสังหารศิษย์ฉางมู่มากมาย ข่าวจะต้องแพร่สะพัดออกไปจน ทั่วเมืองหลวง และหากเยี่ยฉวนยังมีชีวิตอยู่ มันจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของสถานศึกษาฉางมู่เป็นแน่แท้ !

ด้วยเหตุนี้ สำหรับหลี่เสวียนชางและสถานศึกษาฉางมู่ พวกเขาจึงไม่อาจยอมให้เยี่ยฉวนรอดชีวิตกลับ ไปได้เด็ดขาด !

โม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อ และจี้อันซื่อ ทั้งสามต่างจับจ้องไปยังอาจารย์ใหญ่จี้ ซึ่งกำลังยกโถสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ หลังจากดื่มเสร็จ ชายชราก็พลันทอดสายตามาทางหลี่เสวียนชาง “เขาต้องตายเช่นนั้นหรือ ?”

อีกฝ่ายตอบให้ด้วยน้ำเสียงไม่แตกต่าง “มันตายเมื่อไร ทุกอย่างสามารถตกลงกันได้ ถ้ามันอยู่ งั้นก็ไม่ ต้องพูดอะไรอีกต่อไป !”

อาจารย์ใหญ่จี้ได้แต่ส่ายหน้าและยิ้มที่มุมปาก พลันเขาหันมาทางเยี่ยฉวนซึ่งยืนอยู่ถัดไป “เจ้าว่าอย่างไร ?”

เยี่ยฉวนสบสายตากับอาจารย์ใหญ่ของตนเองพร้อมกล่าวว่า “ถ้าท่านต้องการหนีปัญหา หนทางที่ดี ที่สุดคือใช้ชีวิตของข้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับการให้อภัยจากพวกเขา”

อาจารย์ใหญ่จี้หัวเราะดังลั่น “ถ้าเช่นนั้น เจ้าปรารถนาความตายหรือ ?”

เยี่ยฉวนสั่นหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่อยากตาย และไม่คิดว่าท่านจะทำอะไรไร้สาระเช่นนั้น แน่นอนว่าการใช้ชีวิตของข้าแก่พวกมันอาจทำให้ท่านได้รับความสงบสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าหลังจากนั้นสถานศึกษาฉางหลาน จะต้องก้มหน้าคุกเข่าลงเบื้องหน้าสถานศึกษาฉางมู่อยู่ร่ำไป และต้องทนต่อความอัปยศอดสูไปตลอดกาล !”

ขณะที่กล่าวถึงช่วงนี้ เยี่ยฉวนก็ได้มองตรงลึกลงในดวงตาของอาจารย์ใหญ่จี้ “อาจารย์ใหญ่ขอรับ พวกมันข่มเหงรังแกพวกเรา เหตุไฉนจะต้องไปญาติดีกับพวกมันด้วย ? เป็นความจริงที่ว่าพวกเราหาได้แข็งแกร่ง เท่าพวกเขา แต่ทว่านั่นมันสำคัญจริงหรือขอรับ ?”

จากนั้นเยี่ยฉวนจึงได้ยกกระบี่ชี้ไปทางเหล่าศิษย์แห่งฉางมู่ “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนทั้งหลายและในเมืองหลวงจึงดูถูกเหยียดหยามสถานศึกษาฉางหลานขอรับ ? เหตุเพราะพวกเราขี้ขลาดอย่างไรเล่า !! ศิษย์ฉางหลานมักกระทำตนเหมือนคนขี้ขลาดต่อหน้าศิษย์แห่งฉางมู่ พวกเรามักคิดว่าตนนั้นอ่อนแอเมื่อจะทำสิ่งใดจึงต้องคิดหน้าคิดหลังเพื่อหาเหตุผลต่าง ๆ นานาก่อนที่จะลงมือกระทำ เช่นนั้นแล้วจะเป็นที่ยกย่องได้ อย่างไร ? คนของฉางหลานต้องคุกเข่ามานานมากแล้ว แต่ไม่ใช่ข้าที่จะยอมคุกเข่า…”

ทันทีที่คำพูดยาวเหยียดขาดหาย เขาพลันหันกลับไปทางศิษย์แห่งสถานศึกษาฉางมู่ “ท่านถามความ เห็นของข้า ดังนั้นจึงขอบอกว่าข้าไม่ต้องการญาติดีและไม่มีการสงบศึก ! นี่คือความเห็นของข้า มาสู้กัน สู้จน กว่าพวกเราจะตายกันทั้งหมดนี่ !”

“สู้ !”

ขณะนั้น โม่อวิ๋นฉีก้าวออกมายืนเคียงข้างด้านหนึ่งและพูดว่า “อาจารย์ใหญ่จี้ หลัวจากที่ข้าเข้าเป็นศิษย์ แห่งฉางหลาน ข้าไม่กล้าบอกครอบครัวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลาน ทุกครั้งที่ข้าไปไหน มาไหน ยังไม่กล้าแม้จะสวมเครื่องแบบของฉางหลาน ด้วยความกลัวว่าจะมีคนจดจำได้ว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลาน ..มันราวกับว่าเมื่อใดที่ข้าบอกว่าเป็นศิษย์แห่งฉางหลานเพียงครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นข้าจะกลายเป็นลูกไล่ของสถาน ศึกษาฉางมู่ทันที ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกผิดอย่างยิ่ง”

จากนั้นเขาก็ชี้มือไปที่เยี่ยฉวน “ในวันนี้สถานศึกษาฉางหลานทำให้โลกภายนอกได้ประจักษ์ ถึงเรื่องที่พวกมันบุกไปถึงสถานศึกษาฉางหลานเพื่อจับน้องสาวของเขา ทั้งยังแสดงความเสื่อมเสียเกียรติอย่างยิ่งและ ข่มเหงรังแกอย่างถ่อยสถุลที่สุดออกมา หากพวกเราไม่สู้กับพวกมันในวันนี้ ต่อไปพวกศิษย์แห่งฉางมู่ก็จะ กระทำหักหาญโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นและยังขับถ่ายรดบนหัวพวกเราเช่นนี้อีก มีแต่ต้องสู้เท่านั้น พวกเรามาร่วมสู้ด้วยกัน อย่างมากก็แค่ตายไปพร้อมกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยขอรับ !”

ผู้ที่ยืนข้างโม่อวิ๋นฉี ไป๋เจ๋อพยักหน้าหนักแน่น “สู้ มาร่วมกันสู้กับมันจนกว่าจะตายไปข้าง !”

ฝ่ายจี้อันซื่อ นางมิได้เอ่ยวาจา ทว่าดึงดาบซึ่งเหน็บที่เอวขึ้นมาถือไว้ ย่อมแสดงให้เห็นในเจตนารมณ์ อันชัดเจนของหญิงสาวแล้ว

อาจารย์ใหญ่จี้หันมามองหน้าศิษย์ทั้งสาม เขาอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะหันไปทางหลี่เสวียนชาง “ในเมื่อ สถานศึกษาฉางมู่ประสงค์จะพังพินาศและมอดไหม้ไปพร้อมกันกับสถานศึกษาฉางหลาน ถ้างั้นก็ปล่อยให้มัน เป็นไป !”

สิ้นเสียงอาจารย์ใหญ่จี้ ชายชราพลันยกโถสุราขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนที่ต่อมาจะผลักออกอย่างรุนแรง

เปรี๊ยะ !

เสียงของพื้นดินในบริเวณแตกแยกออกเป็นทางยาวกว่าพันจั้งโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ร่างของอาจารย์ ใหญ่จี้ ในเวลาเดียวกันมันก็ได้บังเกิดกระแสลมกรรโชกรุนแรงเทียบเท่าพายุสลาตันโหมกระหน่ำลงสู่ทุ่งกว้าง !

พลังผลักดันมุ่งเข้าสู่จุดหมายที่หลี่เสวียนชาง !

หลี่เสวียนชางเห็นปรากฏการณ์เข้าถึงตนพลันสีหน้าแปรเปลี่ยน ด้วยไม่คิดว่าอาจารย์ใหญ่จี้เลือกหน ทางสู่ความพินาศไปพร้อมกัน ตนเองนั้นเชื่อมั่นโดยตลอดว่าอย่างไรเสียฝ่ายตรงข้ามจะต้องเลือกเสียสละชีวิต เยี่ยฉวน และรักษาชีวิตศิษย์ที่เหลือเพื่อสงวนยอดฝีมือกล้าแกร่งสำหรับวันข้างหน้า

อย่างไรเสีย อาจารย์ใหญ่จี้ก็คงไม่เลือกทำเช่นนี้แน่ !

เขาเลือกที่จะตายไปพร้อมกับศิษย์ !

อาจารย์ใหญ่จี้หาใช่คนโง่เง่า หากเขายอมสละเยี่ยฉวน ทั้งโม่อวิ๋นฉีและไป๋เจ๋อต้องละทิ้งสถานศึกษา ฉางหลานไปทันที มิใช่เพียงสองคนเท่านี้ แม้แต่หลานของเขาเองก็คงหันมาต่อต้านด้วยแน่นอน !

ยิ่งไปกว่านั้นประเด็นที่สำคัญก็คือสมรรถนะและความกล้าแกร่งของเยี่ยฉวนก็ได้ประจักษ์ต่อสายตา ศิษย์แห่งฉางมู่จนพวกเขารู้สึกหวาดกลัว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เยี่ยฉวนเป็นความหวังของฉางหลานได้อย่างไร ?

ไฉนเลยชายชราจะยอมสละชีวิตของเยี่ยฉวนให้โง่กัน ?

ถ้าเยี่ยฉวนอยู่รอดปลอดภัย บางทีประกายความหวังยังเจิดจรัส แต่หากว่ายอมสละเยี่ยฉวน ฉางหลานจะไร้ซึ่งความหวังทั้งมวล !

นอกจากนั้น การกระทำดังกล่าวยังจะทำให้ไม่มีอัจฉริยะคนใดหรือยอดคนแม้สักคนคิดที่จะยอมเข้า เป็นศิษย์แห่งสถานศึกษาที่ยอมสละชีวิตของศิษย์เพื่อตนเองอีกต่อไป !