ที่แท้พอเขาได้เห็นมังกรเขียวก็หลงรักอย่างไม่อาจถอนตัว จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี เขาเองก็ไม่รู้ รู้แต่วินาทีที่เขาได้เห็นมังกรเขียว เขาก็เข้าใจทันทีว่าตนเองต้องการสตรีแบบใด เข้าใจทันทีว่าที่เขาต้องการก็คือนาง
สายตาเขาไม่ได้ละไปจากตัวนางแม้สักนาที ดังนั้นตอนนางดึงหงส์แดงจูเชวี่ยแอบหนี เขาก็อดตามไปไม่ได้ แน่นอนหงส์แดงจูเชวี่ยกับมังกรเขียวรู้แล้วว่ามีคนผู้นี้ตามมา เห็นชัดว่าเขาไม่คิดหลบ ที่ทำให้หงส์แดงจูเชวี่ยประหลาดใจที่สุดก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของมังกรเขียว ตามนิสัยนาง น่าจะพุ่งเข้าไปทรมานครุฑเหิมเกริมตัวนี้แล้ว ทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตายถึงจะถูก
ผู้ใดจะรู้ว่านางถึงกับหน้าแดง แอบมีอาการเอียงอาย ท่าทางเช่นนี้ทำเอาเขาผวาจนขนลุกชัน สุดท้ายได้แต่ยอมถอย “นั่น…คนผู้นั้นราวกับมีเรื่องมาหาเจ้า พวกเจ้าคุยกัน ข้าไปก่อนละ!”
ตอนหลิ่วอี้ฮวนไล่ตามไปถึงก็เห็นมังกรเขียวยืนอยู่คนเดียว นางหันหลังให้ตน เงาร่างบอบบางทำเอาเขาหวั่นไหว เขาค่อยๆ ย่องเข้าไปเพราะกลัวว่าจะกระเทือนความงามบอบบางนี้ พอไปถึงด้านหลังนาง เขาแทบอยากจะลูบผมงามของนาง อยู่ๆ แสงสีเขียววาบ นางจับกดข้อมือเขาไว้แน่น หน้าตาเยียบเย็น กล่าวเสียงเย็นชาว่า “เจ้าตามข้ามาตลอด คิดเล่นอุบายอันใด?! คิดจะเอาคืนที่ข้าควักดวงตาสวรรค์เจ้าหรือ?!”
หลิ่วอี้ฮวนกุมมือนางไว้ วางนิ้วมือนางไว้บนเปลือกตาตนเอง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “สองตานี้มอบให้เจ้า หากเจ้าควักไป ข้าได้แต่ยินดี ให้ข้าไปตายก็ไม่เป็นไร”
มังกรเขียวมีชีวิตมานานเช่นนี้ แต่ไรมาไม่เคยมีคนพูดวาจาหวานล้ำกับนางเช่นนี้ ตอนนั้นจิตใจจึงเต้นแรงราวครกตำยา มือไม้ไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าแดงก่ำอย่างที่สุด
“เจ้า…เจ้าเลิกคิดมาหลอกข้า…” น้ำเสียงนางราวกับไม่อาจทำปากแข็งได้แล้ว
หลิ่วอี้ฮวนกดนิ้วมือนางลงบนเปลือกตาตนเอง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าแม้ตายกลายเป็นเถ้าก็ไม่หลอกเจ้าสักคำ”
มังกรเขียวอึ้งมองจ้องใบหน้าเขา มือนางไร้เรี่ยวแรงสิ้นเชิง ตอนนี้ราวกับเขาจับนางไว้แทน สภาพตรงกันข้ามกับเมื่อครู่สิ้นเชิง
“ปล่อย…ข้า” นางพึมพำ
หลิ่วอี้ฮวนรีบปล่อยมือนาง นางถอยไปสองก้าว หลุบตาลงลนลานสั่นไหวราวกับเด็กน้อย หลิ่วอี้ฮวนกล่าวว่า “ข้าชื่อหลิ่วอี้ฮวน หากข้ายังมีชีวิตออกไปจากเขาคุนหลุน ขอให้เจ้าเป็นภรรยาข้า”
มังกรเขียวถูกวาจาเขาทำตกใจสะดุ้ง หันหลังคิดวิ่งหนี หลิ่วอี้ฮวนด้านหลังร้องตะโกนดังขึ้นว่า “หากเจ้ามีคนอื่นในใจ ข้าก็ไม่สน! ข้ามีใจต่อเจ้าเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ใดในสายตา!”
มังกรเขียวถูกเขาจีบจนมึนงงไปหมด วิ่งไปได้สองก้าว อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่อาจทำใจได้ หยุดฝีเท้าลง คิดอยู่นานจึงได้หันกลับไปกล่าวว่า “เจ้า…หากเจ้าจริงใจ…ก็ไปรอข้าที่ประตูมังกร ไปตอนไหนข้าก็ไม่รู้…สรุป…หากข้าไปแล้วไม่เจอเจ้า ข้า…ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ดังนั้นหลิ่วอี้ฮวนจึงพกเอาอารมณ์ความรู้สึกราวอยู่ในห้วงฝันกลับมา นี่คือขั้นตอนที่เขาเรียกว่าตัดสินใจร่วมชีวิต
เสวียนจีได้ยินก็อึ้งไป เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้า เจ้าคงไม่คิดไปประตูมังกรตอนนี้ใช่ไหม”
หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “แน่นอน ไปตอนนี้เลย! ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว! เสวียนจีน้อย ราชันสวรรค์ส่งคนมาจับข้าก็ให้จับไปแล้วกัน ไว้ข้าค่อยกลับมาหาพวกเจ้า ตอนนี้ไปก่อนละ”
มกรกรามแทบร่วงแล้ว ถามอย่างคาดไม่ถึงว่า “นี่ นี่! เจ้าไม่ได้เอาจริงใช่ไหม?! ถึงกับชอบนังหญิงเหม็นเน่า…ชอบมังกรเขียว?! อย่าว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ นางไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้หลายพันปีเลยนะ!”
หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้ากล่าวว่า “ถึงนางสกปรกอย่างไร ข้าก็ไม่รังเกียจนาง ไม่พูดแล้ว ข้าไปละ!”
เสวียนจีรีบดึงเขา “ประตูไคหมิงปิดแล้ว เจ้าจะไปประตูมังกรอย่างไร หรือว่ารอให้พวกเราเข้าเฝ้าราชันสวรรค์ก่อนค่อยไปเถอะ!”
“รอไม่ได้แล้ว!” หลิ่วอี้ฮวนใจร้อนดังไฟเผา แทบอยากจะติดปีกบินไปประตูมังกรตอนนี้เลย
เสวียนจีไร้หนทาง ได้แต่กล่าวว่า “อย่างนั้น…พวกเราไปเป็นเพื่อนท่าน ท่านไปคนเดียวอันตรายไป…เพียงแต่พี่หลิ่ว ท่านไม่คิดอีกทีจริงหรือ”
“ยังต้องคิดบ้าอะไรอีก! เรื่องความรักนี้อาศัยแค่ความทุ่มเท! หากมัวแต่คิดไปคิดมาเหมือนเจ้ากับเฟิ่งหวงน้อย คนหนึ่งโดนคำสาปคู่รักแทบปางตาย คนหนึ่งร้องไห้จนสลบไป!”
หลิ่วอี้ฮวนทำท่าทางเหมือน ‘ขี้เกียจจะพูดวาจาเหลวไหลกับเด็กน้อยเช่นพวกเจ้า’ โบกมือหันหลังจะไป เสวียนจีกับมกรไม่รู้ควรทำอย่างไรง ได้แต่ไปเป็นเพื่อนเขา ส่งเขาไปที่ประตูมังกรค่อยกลับมาเข้าเฝ้าราชันสวรรค์
*****
จิ้งจอกม่วงเริ่มได้สติฟื้นคืนมา มองไปยังหมอกหนารอบๆ ขาวโพลน มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
นางผุดลุกขึ้นนั่ง ลองเรียกเบาๆ “อู๋จือฉี…เสวียนจี…ซือเฟิ่ง~~~หลิ่วอี้ฮวน~~~”
รอบๆ ไม่มีเสียงตอบนาง จิ้งจอกม่วงเริ่มลนลานแล้ว มองไปรอบๆ เป็นนาน นอกจากหมอกแล้วก็ไม่มีอะไรอีก นางร้อนใจกระทืบเท้าด่าว่า “เจ้าพวกไม่มีหัวใจ! ทำไมจับข้ามาโยนที่นี่คนเดียว! ไม่ได้บอกไว้ดิบดีแล้วหรือว่าทุกคนปฏิบัติการร่วมกัน?! สัตว์เลี้ยงมงคลไม่ควรถูกทิ้งขว้างแบบนี้!”
นางด่าได้พักหนึ่งก็พบอย่างรวดเร็วว่าร้องตะโกนจนคอแตกไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงยอมหุบปากแต่โดยดี หมอกรอบๆ เริ่มเคลื่อนไหว ลองหาทางออกไปจากที่นี่ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่
แต่เดินมาได้พักหนึ่ง อยู่ๆ นางก็รู้สึกผิดปกติ ช้าก่อน หมอกหนาชื้นเช่นนี้ เงียบเช่นนี้…ลองปรับความรู้สึกรับรู้หน่อย นางพลันหันกลับไปมองเห็นที่ไกลออกไปมีหมอกจางๆ ปกคลุมเลือนราง มีเงาดำแวบๆ ราวกับมีกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่ง
จิ้งจอกม่วงใจเต้นแรง ไม่ถูกต้อง ทำไมนางกลับมาที่คุกอีกแล้ว เห็นๆ ว่านางออกจากแดนปรภพไปกับพวกอู๋จือฉีแล้ว ทุกคนไปเขาคุนหลุนแล้ว…หรือว่านางถูกแสงสีขาวนั้นโยนเข้ามาในนรกขุมสิบแปดโดยไม่ต้องไต่สวนความผิด
หรือว่าการไปเขาคุนหลุน ออกจากแดนปรภพ ล้วนเป็นแค่ความฝันนาง จริงๆ แล้วนางกับอู๋จือฉีล้วนยังอยู่ในกระท่อมแดนปรภพ
ใช่แล้ว นางอยากให้ความจริงคือนางไม่ได้ออกไป อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไร มีแต่นางกับเขา แต่เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว นางพอใจอะไรง่ายมาก เช่นนี้ก็พอแล้ว
ในความสับสน ในใจราวกับมีเสียงถามนางว่ายอมอยู่ที่กระท่อมนี้ใช่ไหม ไม่อยากออกไปตลอดไปใช่ไหม
นางเหมือนถูกล่อลวง ค่อยๆ ก้าวเดินไปยังกระท่อม ประตูกระท่อมแง้มไว้ ในนั้นมีเงาคนวับแวมไปมา นางผลักเบาๆ ก็เห็นแผ่นหลังร่างสง่างาม เปียผมยุ่งเหยิงทิ้งตัวด้านหลังเหมือนไม่สนใจภาพลักษณ์ ก็คืออู๋จือฉี
จิ้งจอกม่วงมีวาจาติดอยู่ในลำคอพูดไม่ออก ไม่ทันระวัง อยู่ๆ เขาก็หันกลับมา พอเห็นนาง ตาเขาก็ส่องประกาย กล่าวอ่อนโยนว่า “จิ้งจอกม่วง เจ้าไปไหนมา ข้ารอเจ้าแสนทุกข์ทรมาน”
“ข้า…” นางไม่รู้ควรกล่าวอันใด
อู๋จือฉีเดินเข้ามาโอบกอดนางไว้ในอ้อมกอดเบาๆ บรรจงจุมพิตผมนาง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าคิดถึงเจ้ามาพันปี ในที่สุดเจ้าก็มา พวกเราจะไม่แยกจากกันอีกใช่ไหม”
สภาพเช่นนี้ ฝัน? มายา?
ในใจมีเสียงบอกนางว่าเช่นนี้ดีเพียงใด ที่นางหวังมาตลอด ที่นางปรารถนามาตลอด ไม่ใช่เช่นนี้หรือ ในที่สุดนางก็รอจนได้พบรักกับอู๋จือฉี ผ่านมาพันปี เขาหันมามองนาง ตระหนักรู้ได้ถึงความรักลึกซึ้งที่นางมีต่อเขา
จิ้งจอกม่วงอดยื่นมือออกไปกอดอู๋จือฉีแน่นไม่ได้ พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…พูดจริงหรือ”
น้ำเสียงเขาแผ่วเบาแนบข้างหู “จริงแท้แน่นอน ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว โลกนี้มีเพียงเจ้าดีกับข้าที่สุด วันหน้าพวกเราจะไม่แยกจากกันอีก ออกไปได้ ข้าจะแต่งกับเจ้า อยู่ด้วยกันตลอดไป”
นางแทบหลั่งน้ำตาออกมา
บางทีในฝันที่งดงามที่สุดของนางก็คงปรากฎภาพมายาเช่นนี้ แต่พอตื่นจากฝัน นางยังคงเป็นนาง อู๋จือฉีก็ยังคงเป็นอู๋จือฉี แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็นความจริงในที่สุด นางไม่ต้องทนรอคอยอย่างทุกข์ทรมานไปจนสิ้นหวังอีกต่อไปแล้ว เขาอยู่ตรงนี้ อยู่ในอ้อมกอดนาง ความจริงเช่นนี้อบอุ่นและสัมผัสได้
จิ้งจอกม่วงเงยหน้าขึ้นสายตาพร่าเลือน ใบหน้าแดงราวเพลิงไฟ กล่าวเบาๆ ว่า “อู๋จือฉี เจ้าชอบข้า?”
ราวกับนานมาแล้วนางเคยถามคำถามนี้ เขาตอบอย่างไรนะ…ทำไมนางลืม…อา เหมือนว่าทุกอย่างเลือนราง นางนึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น ฝังกายอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างแสนรัก
“แน่นอน บนโลกนี้ผู้ที่ดีกับข้าที่สุดก็คือเจ้า”
“อย่างนั้น…เจ้าจูบข้า”
อย่างนั้นเจ้าจูบข้า
ในใจนางอยู่ๆ พลันสะดุ้ง อยู่ๆ ก็รู้สึกมีอะไรผิดปกติ ที่นี่เป็นคุกนรกจริงหรือ คนในอ้อมกอดเป็นอู๋จือฉีจริงหรือ นางราวกับเคยเสนอขอเช่นนี้นานมาแล้ว อู๋จือฉีตอนนั้นตอบอย่างไรนะ
…นางคิดไม่ออก
ริมฝีปากพลันเย็นเยียบ เขาจูบนาง มอบจูบหนาวเหน็บลึกจนถึงกระดูกให้แก่นาง
ในห้วงความคิดจิ้งจอกพริบตาก็มีภาพมากมายนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา นางผลักเขาออก น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ไม่! ไม่ใช่…เจ้าไม่ใช่เขา! ที่นี่ก็ไม่ใช่นรกขุมสิบแปด!”
วาจากล่าวจบ ภาพตรงหน้าทั้งหมดอยู่ๆ ก็กลายเป็นหมอกควันบิดเบี้ยว จิ้งจอกม่วงขยี้ตา จึงได้รู้สึกว่ากระท่อม อู๋จือฉี หมอกขาว ภาพมายาทั้งหมดสลายไปหมดสิ้น ยามนี้นางยืนอยู่ในป่าผืนหนึ่ง แสงแดดลอดผ่านใบไม้ลงมาเป็นแสงเงาดำวับแวม
อู๋จือฉีกำลังอยู่ตรงหน้านาง
จิ้งจอกม่วงดีใจมาก กำลังวิ่งเข้าไปหา อยู่ๆ รู้สึกว่ามีสิ่งผิดปกติ เขานิ่งอึ้งอยู่กับที่ราวกับก้อนหิน สองตาไร้แววตา ไม่ขยับเขยื้อน
“อู๋จือฉี?” นางเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง อยู่ๆ มีศีรษะโผล่ขึ้นด้านหลังเขา ใบหน้านั้นมองนางด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก จิ้งจอกม่วงสะดุ้งตกใจ เห็นด้านหลังอู๋จือฉีมีสตรีชุดขาวราวหิมะเดินออกมา นางขาวราวหิมะตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้แต่ใบหน้าก็ยังมีแสงสีขาวอ่อนๆ อีกชั้น ทุกอย่างดูเลือนราง
จิ้งจอกม่วงค่อยๆ ผงะถอยไปก้าวหนึ่ง มองสตรีผู้นั้นอย่างระแวดระวัง
สตรีผู้นั้นราวกับไม่มีเท้า ลอยวนรอบอู๋จือฉี พลางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดต้องตื่น อยู่ต่อไม่ดีหรือ เจ้าต้องการอะไรล้วนมอบให้เจ้าได้หมด”
จิ้งจอกม่วงรู้สึกกลัวสตรีนางนี้ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ที่แท้ภาพมายาเป็นนางสร้างขึ้นมา! นางรู้ได้อย่างไรว่าในใจตนเองปรารถนาสิ่งใด
สตรีผู้นั้นค่อยๆ สะบัดชายแขนเสื้อยาว ต้นไม้ก็มีหมอกบางๆ ขึ้นชั้นหนึ่ง มีกลิ่นหอมหวานทำให้คนเคลิบเคลิ้มแผ่กระจายออกมาจากสายหมอกนั้น น้ำเสียงนางอ่อนโยนราวกับเมามายด้วยฤทธิ์สุรา “กลับไปเถอะ แต่ไรมาอูเผิงไม่ทำร้ายมนุษย์ อูเผิงแค่ต้องการให้เจ้ามีฝันอันแสนหวานเท่านั้น…”
ที่แท้เป็นจอมเวท! จิ้งจอกม่วงรู้สึกเพียงแค่สติเริ่มเลือนราง นางยกมือตบหน้าตนเองเต็มแรง แต่เห็นชัดว่าไม่ได้ผลอะไรทั้งสิ้น ความคิดนางเริ่มล่องลอยราวกับลืมทุกอย่างหมดสิ้น
จิ้งจอกม่วงพยายามดิ้นรนครั้งสุดท้าย อ้าปากกัดลิ้นเต็มแรง เลือดสดพลันไหลทะลักออกมา เจ็บจนนางน้ำตาคลอ แต่โชคดีที่หมอกแสนหวานนั้นราวกับไม่มีผลต่อนางแล้ว