ภาคอวสาน ตอนที่ 12 จอมเวท (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“อู๋จือฉี! เจ้ารีบตื่นสิ!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงพุ่งเข้าไปคว้าคอเสื้อเขาเขย่าเต็มแรง แต่ทำอย่างไรเขาก็เหมือนกับท่อนไม้ที่ถูกดูดจิตวิญญาณไป ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย สองตาโตแข็งทื่อราวกับกระดิ่งทองแดง ไม่รู้จมดิ่งอยู่กับความฝันประหลาดอะไร 

 

 

จิ้งจอกม่วงยกมือคิดตบหน้าเขาสักฉาด พลันรู้สึกมีคนดึงแขนเสื้อไว้เบาๆ อูเผิงยืนอยู่ด้านหลังนางราวกับผีหลอก กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “อย่ากวนเขา คนเขามีสิทธิ์ที่จะฝัน” 

 

 

ลมหายใจนางเย็นเยียบราวน้ำแข็งเช่นนี้ ทำเอารู้สึกหนาวสั่น จิ้งจอกม่วงสลัดความหนาวทิ้ง รีบผลักร่างนางออก สัมผัสได้เพียงแค่ร่างอ่อนนุ่มนิ่มเย็นเยียบราวน้ำแข็ง อูเผิงขาไม่ติดพื้น ลอยออกไปไกล  

 

 

หมอกค่อยๆ หนาขึ้น เหมือนว่าหากไม่ได้อาศัยความเจ็บปวดที่กัดปลายลิ้น เกรงว่ายามนี้จิ้งจอกม่วงก็คงตกในห้วงความคิดเหลวไหลไม่อาจดึงตนเองออกมาได้อีกแล้ว อู๋จือฉีอยู่ๆ ขยับทีหนึ่ง จิ้งจอกม่วงทั้งตกใจและดีใจ ตะโกนดังขึ้นว่า “เจ้าตื่นแล้ว?! ไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาผงกศีรษะขึ้นไม่ตอบ สายตายังเหม่อลอย พลันผลักมือนางทิ้ง หันหลังลุกเดินหนี จิ้งจอกม่วงรีบเข้าไปรั้งไว้ แต่ไหนเลยจะรั้งเขาไว้ได้! 

 

 

อูเผิงปรากฏร่างวับแวมกลางหมอกอยู่ตอนนี้ ไปมาไร้ร่องรอย ลอยไปก็ลอยมา พลันราวกับทั้งผืนป่ามีแต่เงาร่างสีขาว ราวกับนางไม่อาจเข้าใจพฤติกรรมจิ้งจอกม่วงที่พยายามรั้งไว้อย่างเต็มที่ พึมพำถามว่า “เหตุใดต้องปลุกเขาตื่น เหตุใดต้องตื่น ความจริงไม่ใช่ว่าทุกข์ทรมานหรือ พวกเจ้าไม่ใช่ว่าชอบหนีความจริงหรือ” 

 

 

จิ้งจอกม่วงพยายามกระชากเสื้ออู๋จือฉีไว้เต็มแรง เสื้อผ้าเขาล้วนถูกนางกระชากจนขาดหมด แต่ก็ยังรั้งเขาไว้ไม่อยู่ นางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี ข้างหูยังได้ยินเสียงผู้หญิงพร่ำไม่หยุดจนนางทนไม่ไหว น้ำเสียงดุดันตวาดว่า “เจ้าหุบปากได้ไหม?! ละครผีของเจ้ามันล้าสมัยแล้ว! รีบปลุกเขาตื่น! ไม่อย่างนั้นข้าจะบิดศีรษะบนคอเจ้าให้ร่วง!”  

 

 

นางกำลังร้อนใจ อยู่ๆ นึกได้ว่าตัวการใหญ่ที่สุดก็คืออูเผิงในชุดขาวทั้งชุดนางนี้ ได้แต่จัดการล้มนางก่อน อู๋จือฉีจึงจะตื่นขึ้นมาได้ จึงปล่อยเสื้ออู๋จือฉี เงาร่างสีม่วงพุ่งเข้าใส่อูเผิงในป่า นางเคยคิดว่าจอมเวทคือคนที่ร้ายกาจที่สุด ดังนั้นจึงไม่กล้าออมแรงหรือรอช้าแม้แต่น้อย ทุ่มออกไปเต็มกำลัง ผู้ใดจะรู้ว่าอูเผิงนั้นแม้แต่หลบก็ไม่หลบ ครู่หนึ่งก็ถูกนางคว้าแขนไว้ ลำแขนนางแทบจะถูกนางกระชากขาด เจ็บปวดจนแผดเสียงร้องดัง 

 

 

จิ้งจอกม่วงเองก็ตะลึงงัน นางร้องราวกับสุกรถูกเชือด ทำเอานางสะบัดมือทิ้งอย่างไม่ทันรู้ตัว กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่กระมัง…เจ้าเป็นจอมเวทตัวจริง? เจ้า…ไม่ใช่ว่าควรมีพลังเซียนหลบได้หรอกหรือ” 

 

 

อูเผิงกุมข้อมือหน้าตาเหมือนอัดอั้นโดนรังแก หดตัวกลับเข้าหลังหมอก น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “มีแต่พวกป่าเถื่อนนั่นเท่านั้นถึงเอาแต่ลงไม้ลงมือ ผู้ใดจะไปเรียนรู้เรื่องพรรค์นั้น!”  

 

 

จิ้งจอกม่วงเห็นนางแม้ว่าไม่ได้มีฝีมือ แต่ร่างก็หายแวบไปเร็วมาก ครู่หนึ่งที่ไม่ทันได้จับตาดูก็หายตัวหลบหลังหมอกไปแล้ว อดเร่งไล่ตามไปไม่ได้ ครั้งนี้คว้าเสื้อนางไว้เบาๆ ใช้แรงเบาๆ ยกตัวนางลอยขึ้น ได้ใจร้องดังขึ้นว่า “อย่างนั้นเจ้าก็อย่าโทษข้าไม่เกรงใจ! เร็ว! เก็บหมอกนี้! ไม่เช่นนั้นข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเล่น!”  

 

 

กล่าวจบนิ้วมือก็กดไปที่เปลือกตาเย็นเยียบราวน้ำแข็งของนาง ทำท่าทางจะควักจริง  

 

 

อูเผิงตกใจจนตัวสั่นเทา สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง หมอกทั่วผืนป่าก็สลายไปหมด แสงอาทิตย์สาดส่อง ท้องฟ้าแจ่มใส 

 

 

“ข้า…ข้าเก็บแล้ว…อย่า…อย่าควักลูกตาข้า!” นางพูดจาติดขัด ลิ้นแทบพันกัน น่าจะกำลังกลัวจริงๆ 

 

 

จิ้งจอกม่วงหันกลับไปมองอู๋จือฉีที่ยังคงเอาแต่เดินไปข้างหน้าอย่างงงงวยราวกับหุ่นเชิดถูกคนบังคับ ไว้ นางอดโมโหไม่ได้ เล็บแหลมคมจิกลงไปเต็มแรง เปลือกตาอูเผิงอยู่ๆ พลันเริ่มมีเลือดไหลออกมา นางตกใจส่งเสียงร้องดังลั่นราวสุกรถูกเชือด “เจ้าไม่รักษาสัญญา!”  

 

 

จิ้งจอกม่วงน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ผู้ใดไม่รักษาสัญญา?! เขายังไม่ตื่น! ไม่ใช่เจ้าแล้วเป็นผู้ใด?!” 

 

 

อูเผิงน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “เขาไม่ตื่นข้าเองก็ไม่มีวิธี! ข้าทำได้แค่ให้เขาตกในห้วงมายา แต่ดึงเขาออกมาไม่ได้! นับประสาอันใดกับว่า เป็นเขาเองที่อยากจะจมในห้วงมายานี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปปลุกเขาให้ตื่น” 

 

 

“เหลวไหลสิ้นดี!” จิ้งจอกม่วงเค้นคอนาง แทบอยากจะบีบคอนางให้ตาย “ล้วนจอมปลอมทั้งสิ้น! ผู้ใดอยากจะได้ของปลอม! ข้ากระชากหัวเจ้าทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นท่อนไม้ เจ้ายินดีไหม?!” 

 

 

อูเผิงส่ายหน้าทันที กลัวอารมณ์นางปะทุขึ้นมาจะถลกหนังศีรษะตนเปลี่ยนเป็นท่อนไม้จริงๆ นั่นก็ย่อมไม่ได้การยิ่งแล้ว 

 

 

จิ้งจอกม่วงคำรามว่า “เจ้ายังมีหน้ามาส่ายหน้า?! เจ้ายังไม่รีบปลุกเขาตื่นอีก!”  

 

 

อูเผิงถูกนางเขย่าไปมาจนหน้ามืดตาลาย ฝืนกล่าวว่า “ข้า…ไม่มีวิธีจริงๆ…” 

 

 

จิ้งจอกม่วงทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือฟาดหน้านางดังเพียะ อยู่ๆ เหนือศีรษะมีแสงสีขาววาบ มีคนน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “บังอาจ! มารปีศาจเหิมเกริม!”  

 

 

แขนนางอยู่ๆ ตกในท่าถูกบิดกลับอย่างไม่ทันคาดคิด ตามมาด้วยเสียง กร๊อบ จิ้งจอกม่วงเจ็บปวดจนแผดเสียงร้องดัง เดินโงนเงนไปไม่กี่ก้าวก็ล้มลงนั่งกับพื้น แขนนางถูกคนบิดหักไปเสียอย่างนั้น  

 

 

มีชายชราชุดเขียวตัวเปื้อนเลือดยืนอยู่หน้าอูเผิง มองจิ้งจอกม่วงอย่างโมโห กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “มารปีศาจอะไรกล้ามาก่อกวนเขาคุนหลุน! อูเผิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” 

 

 

อูเผิงหลบเข้าด้านหลังเขาตัวสั่น คนผู้นั้นเห็นใบหน้านางเปื้อนเลือด เพราะจิ้งจอกม่วงจะควักลูกตานางเมื่อครู่ทำเอาผิวเปลือกตาเป็นแผล เขาจึงคิดว่าจิ้งจอกม่วงทำร้ายนาง จึงถลึงตาจ้องมองด้วยความโมโห ตวาดว่า “เจ้าชั้นต่ำ!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงไม่ทันได้อธิบาย รู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างถูกแรงกดทับลงมา นางกัดฟันฝืนลุกขึ้น ทะยานไปหาอู๋จือฉี อยู่ๆ รู้สึกเพียงแค่แผ่นหลังมีอะไรกระแทกใส่ทีหนึ่ง ราวกับอวัยวะภายในสลับตำแหน่งไปหมดในชั่วพริบตา ทั้งร่างพุ่งไปกลางอากาศเต็มแรง 

 

 

ครั้งนี้ฟาดเข้าจุดสำคัญด้านหลังของนางพอดี จิ้งจอกม่วงแทบจะประคองร่างมนุษย์ของนางต่อไปไม่ไหว กระอักเลือดออกมา กัดฟันฝืนคงร่างไว้ ใบหน้ากับกับนิ้วมือเริ่มงองุ้ม ไม่ใช่สาวงามหวานล้ำเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว ดูแล้วเริ่มเหมือนปีศาจจิ้งจอกอัปลักษณ์แล้ว 

 

 

อูเผิงคว้าแขนเสื้อคนผู้นั้นไว้แน่น เห็นทั้งตัวเขามีแต่เลือด ตกใจรีบหดมือกลับ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “อูฝานก็บาดเจ็บหรือ?!”  

 

 

อูฝานสีหน้าแปรเปลี่ยน คิดถึงเมื่อครู่พบว่ามีคนบุกรุกเขาคุนหลุนจึงรีบไปตรวจสอบด้วยตนเอง ผู้ใดจะรู้ว่าจับมาได้แค่จิ้งจอกม่วงตัวเดียว แล้วยังถูกเสวียนจีพบเข้า เกือบเอาชีวิตไม่รอด พวกจอมเวทล้วนพักอยู่ดินแดนรอบนอกเขาคุนหลุน แดนสวรรค์เกิดเรื่องใดก็ไม่รู้กระจ่างชัดนัก ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่ามีศัตรูภายนอกมาโจมตี จึงไม่ออมมือแม้แต่น้อย 

 

 

เห็นจิ้งจอกม่วงถูกฟาดลงกองแน่นิ่งกับพื้น น่าจะไม่รอดแล้ว เขาแค่นเสียงฮึ หันกลับไปดูอาการบาดเจ็บอูเผิง พลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทำไมที่นี่มีเจ้าอยู่คนเดียว อูหยางล่ะ” 

 

 

อูเผิงน้ำตาคลอด เสียงสั่นพร่ากล่าวว่า “เขา…ยังนอนอยู่…แม้ตื่นมา เขาก็คงไม่ช่วย! แต่ไรมาเอาแต่เฉยชามองดูความเป็นตายผู้อื่น!” 

 

 

อูฝานตรวจบาดแผลให้นางแล้ว ก็พบว่าหนังตามีรอยเล็กน้อย ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าลงมือกับจิ้งจอกม่วงหนักเกินไป หันกลับไปมองอีกที จิ้งจอกนั่นถึงกับยังตะกายขึ้นมาได้ มุ่งทะยานไปด้านหน้า เขาลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ควรออกแรงอีกทีให้นางได้ตายสนิทไปเลยหรือว่าไว้ชีวิตนางดี 

 

 

อูเผิงคว้าข้อมือเขาเขย่าเต็มแรง “หนีแล้ว! นางหนีแล้ว! ข้างหน้ายังมีชายอีกคน! เจ้ารีบไปจับตัวพวกเขา! หากให้ราชันสวรรค์รู้ว่าพวกเราไม่ได้รั้งไว้ ไม่แน่อาจมีโทษก็ได้!”  

 

 

อูฝานขมวดคิ้วกล่าวว่า “บาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ตายก็เหลืออีกแค่ครึ่งชีวิต ไยต้องไปจับ! คนก่อเรื่องตัวจริงล้วนเข้าไปในตำหนักเสินกงแล้ว นอกจากอูเซียง ผู้ใดก็เข้าไปไม่ได้”  

 

 

อูเผิงชี้ไปยังรอยแผลบนใบหน้าตนเอง ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าดู! นางทำข้าเช่นนี้! หากแพร่ออกไปให้มนุษย์ได้รู้ จะคิดว่าจอมเวทเป็นเช่นไร! แค่ปีศาจจิ้งจอกก็สู้ไม่ได้!”  

 

 

อูฝานฮึกล่าวว่า “เสียหน้าก็คือเจ้า! ไร้ความสามารถก็ยังอยากจะปรากฏตัว!”  

 

 

วาจาแม้กล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็ยังไล่ตามไปให้อูเผิง ไกลออกไปก็เห็นจิ้งจอกม่วงพยายามไล่ตามไปจนถึงชายที่เดินไปข้างหน้าไม่หยุด ร้อนใจตะโกนกล่าวอะไรสักอย่าง คนผู้นั้นเหมือนไม่ได้ยินอะไร ได้แต่เดินไปข้างหน้า เอาแต่เดินไปข้างหน้า ไม่ไกลนักก็เป็นหน้าผาชะโงกแล้ว หากเขาเดินต่อไปอีก ก็คงตกลงไปตาย  

 

 

อูฝานมองอูเผิงแวบหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าทำหรือ” 

 

 

อูเผิงลูบเปลือกตาที่บาดเจ็บ น้ำเสียงภาคภูมิใจ “ข้าไม่ชอบพวกเจ้า พวกโง่เง่าที่ชอบเอาแต่ลงไม้ลงมือฆ่าฟัน วิธีการเช่นนี้ดีกว่า ให้พวกเขาไปตายเอง ไม่ใช่ว่าดูงดงามกว่าหรือ!” 

 

 

ฮึ งดงาม! อูฝานอ้าปากเหมือนอยากกล่าวอันใด แต่สุดท้ายไม่ได้กล่าวออกมา 

 

 

บนพื้นมีเลือดกองโต เขาก้มลงใช้นิ้วมือแตะดมที่จมูก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ฟาดโดนจิตปีศาจจิ้งจอกแล้ว นางไม่รอดแล้ว ชายผู้นั้นเกรงว่าอีกครู่หนึ่งก็คงตกหน้าผาไปเองแล้ว ไม่ต้องให้ข้าลงมือ ไปกันเถอะ! ยังมีอะไรน่าดู!” 

 

 

เขาไม่สนใจเสียงคัดค้านอูเผิง ลากนางจากไปทันที 

 

 

จิ้งจอกม่วงรู้สึกเพียงแค่ทั้งร่างเจ็บปวดรวดร้าว อวัยวะภายในราวกับมีไฟสุมเผา มีมีดดาบร้อยพันกำลังปาดเฉือนนางทั้งเป็น นางอ้าปากพยายามหายใจลึกๆ อยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ ใช้อุ้งเท้าที่เริ่มมีกรงเล็บงอกออกมากดปากจิ้งจอกที่เริ่มยื่นออกมาลงไป 

 

 

หน้าตาน่าเกลียดมาก นางไม่ชอบ 

 

 

อู๋จือฉีชอบให้นางเป็นจิ้งจอก หลายปีมานี้นางก็ยอมตามใจเขามาตลอด ไม่ได้คิดละเมิดแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ครั้งสุดท้ายแล้ว นางไม่อาจตามใจเขาอีกแล้ว 

 

 

ร่างเขาอยู่เบื้องหน้า ยังคงเดินไปข้างหน้าราวกับไร้สติ 

 

 

จิ้งจอกม่วงร้อนใจ แต่ก็อยากรู้ว่าความฝันที่ทำให้เขาจมดิ่งจนไม่อาจถอนตัวได้นั้น แท้จริงคืออะไร ในนั้น…จะมีนางไหม  

 

 

จิ้งจอกม่วงยื่นมือออกไปคว้าผ้าพันเอวเขาไว้แน่น ตะโกนเรียก “อู๋จือฉี! เจ้าวานรยังจะนอนไปถึงเมื่อไร?! รีบหมอบลงเดี๋ยวนี้นะ!” 

 

 

เสียงตะโกนราวกับมีผลเล็กน้อย อาการเดินไปข้างหน้าเขาเหมือนหยุดชะงัก ยืนนิ่งค้างกับที่  

 

 

จิ้งจอกม่วงดีใจ รีบวิ่งไปด้านหน้าเขา เงยหน้ามอง เห็นเพียงคิ้วเขากระตุก ราวกับเจอกับอุปสรรคอะไร เริ่มงุนงง ท่าทางเหมือนไม่แน่ใจ จิ้งจอกม่วงยกมือเปื้อนเลือดตบหน้าเขา ใบหน้าเขาเปื้อนเลือดเป็นปื้น เขายังคงไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง 

 

 

“เจ้าคนเลว เจ้ารีบตื่นสิ!” นางหลุดด่าออกมา ทนไม่ไหวเริ่มสะอื้นไห้แล้ว 

 

 

เจ้าคนเลว ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนไม่เคยมีนางในใจ แม้แต่ในฝันก็ยังใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รับรู้การมีอยู่ของนางเลย 

 

 

“หากเจ้ายังไม่ยอมตื่นอีก ข้าจะจูบเจ้าแล้วนะ…” 

 

 

นางกางสองแขนออกกอดเขาไว้แน่น แน่นอนนางรู้ วาจานี้ไม่เคยมีผลอะไรกับเขา ไม่ว่ายามเขาตื่นหรือยามหลับ 

 

 

นางคว้ามือเขามาแนบใบหน้าอย่างแสนรักอาลัย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “วานร เจ้ามันวานรหน้าเหม็น” 

 

 

อยู่ๆ นางก็อ้าปากงับมือเขาเต็มแรง อู๋จือฉีตะโกนร้องดัง พลันสลัดหลุดออกจากฝันมายา ยังไม่ทันตั้งสติดี ก็ก้มหน้าลงมองจิ้งจอกม่วงอึ้งๆ 

 

 

“อา? จิ้งจอกน้อย? เอ๋?…นี่ข้า…เกิดอะไรขึ้น…” เขาเกาหัวงุนงง ความเจ็บที่ข้อมือเริ่มแผ่ลุกลาม เขามองจิ้งจอกม่วงกำลังงับเอาๆ ก็พลันกระโดดตัวลอย “เอาละๆ! ข้าตื่นแล้ว! เจ้าอย่างับอีกนะ! เจ็บจะตายแล้ว!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงปล่อยปากเงยหน้ามองไป เห็นใบหน้าซีดขาวราวหิมะเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาเริ่มเหม่อลอย อยู่ๆ นางยิ้มเล็กน้อย แค่นเสียงฮึ น้ำเสียงกระเง้ากระงอดว่า “ดังคาด ต้องให้เจ้าได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าใครใหญ่”  

 

 

อู๋จือฉีกุมข้อมือที่โดนกัดจนเลือดไหลเลอะเทอะไปหมดทำหน้าปั้นยากแทบอยากจะร้องไห้ มองไปรอบๆ กล่าวอีกว่า “แปลก…โดนคาถามายาหรือ น่าอายจริง ข้าไม่รู้ตัวเลยสักนิด”  

 

 

จิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้า…เห็นอะไรในฝัน” 

 

 

อู๋จือฉีลูบคางย้อนนึกกลับไป “อืม…พี่น้องกลุ่มใหญ่ ดื่มสุราด้วยกัน สะใจมาก…เจ้าเป็นอะไรไป?!” 

 

 

เขาพลันยกมือขึ้นรับร่างจิ้งจอกม่วงที่อ่อนยวบ รู้สึกเพียงแค่นางร่างนางอ่อนปวกเปียกไปหมด แทบไร้เรี่ยวแรง แขนรู้สึกปวดปลาบ ถูกอุ้งเท้านางจิกไว้เต็มแรง 

 

 

จิ้งจอกม่วงจ้องมองเขาไม่กะพริบตา กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ได้ฝันถึงข้า?” 

 

 

อู๋จือฉีอึ้งมองนางเป็นนาน อยู่ๆ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใครเป็นคนทำ” 

 

 

จิ้งจอกม่วงยิ้มกว้าง สติเริ่มเลื่อนลอย กล่าวเบาๆ ว่า “อู๋จือฉี…อู๋จือฉี เจ้าจูบข้าหน่อย”  

 

 

เขาไม่ต้องถามว่าผู้ใดอีกแล้ว นอกจากจอมเวทพวกนั้น ยังจะมีใครอีก เขากอดจิ้งจอกม่วงไว้แน่น ก้มหน้าค่อยๆ จุมพิตริมฝีปากนาง มองนางอีกครั้ง สีหน้าแดงระเรื่อราวดอกท้อ ริมฝีปากยั่วยวนเผยรอยยิ้ม 

 

 

ยามนี้ความปรารถนาพันปีสำเร็จดังหวังแล้ว  

 

 

นางแนบริมฝีปากลงข้างหูเขา กระซิบถามอะไรสักอย่าง อู๋จือฉีเงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยๆ พยักหน้า  

 

 

นางหัวเราะเบาๆ ก่อนร่างจะเริ่มหดลง สุดท้ายกลายเป็นจิ้งจอกสีม่วงตัวหนึ่งขดอยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่ขยับเขยื้อนอีก