อู๋จือฉีบรรจงลูบขนนางที่ยังคงนุ่มลื่นดังเดิม
ร่างจิ้งจอกน้อยของเขาค่อยๆ แข็งทื่อแล้ว
นางไม่อาจใช้หางปุกปุยมาถูไถใบหน้าเขาอีกแล้ว ไม่อาจใช้น้ำเสียงออดอ้อนมาพูดจาเซ่อซ่ากับเขาอีกแล้ว และไม่อาจได้แต่เดินบ่นตามหลังเขาหากทำอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว ไม่อาจแค่หันกลับไปก็จะได้เห็นหางแหลมๆ ของนาง
นางเอาแต่บ่นอู๋จือฉีมาตลอดว่า ในใจท่านแต่ไรมาไม่เคยมีข้า ไม่เคยหันกลับมามองข้า ตามหลังท่านเช่นนี้เหนื่อยมากจริงๆ วันไหนหากข้าไม่คิดไล่ตามแล้ว ท่านก็คงไม่รู้ตัว ท่านเป็นวานรที่ประสบความสำเร็จมาก มีพี่น้องมากมายเฮฮาครื้นเครง แต่เป็นผู้ชายได้แย่มากจริงๆ!
ไม่ผิด เขาเป็นผู้ชายได้แย่มากจริงๆ
ยามนี้นางไม่อยู่จริงๆ แล้ว แม้จะหันกลับมามองอีกกี่พันหมื่นครั้งก็ไม่อาจคว้าขนจิ้งจอกนางได้แม้แต่เส้นเดียว
อู๋จือฉีถอนหายใจ เสียงทอดถอนใจแผ่วเบายิ่ง เขาอุ้มจิ้งจอกม่วงแนบอก ลุกขึ้นยืนมองความเวิ้งว้างโดยรอบ ทุกอย่างเหมือนเดิม เขายังเป็นเขา เขาคุนหลุนยังเป็นเขาคุนหลุน สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็มีแต่นางไม่อยู่แล้ว
“จิ้งจอกน้อย…” เขาพึมพำ ลูบดวงตาปิดสนิทบนใบหน้าของนางทีหนึ่ง “วานรบ้าต้องแก้แค้นให้เจ้า เจ้าขี้ขลาด ไปแดนปรภพคนเดียว เกิดหลงทางจะไม่แย่เอาหรือ ข้าส่งจอมเวทพวกนั้นไปเป็นเพื่อนเจ้า”
เขาค่อยๆ ดึงขอสมุทรเช่อไห่ออกจากใต้วงแขน มันราวกับรับรู้ได้ถึงความโมโหของเขา ขอสมุทรเช่อไห่ส่องแสงสีเงินทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้าราวกับคมดาบวาบวับ ฟันหมอกหนาทั่วผืนป่าทิ้ง
“ข้าจะให้ทั้งภูเขานี้ไปเป็นเพื่อนเจ้า เป็นอย่างไร วานรบ้าใจคอกว้างขวางไหม”
เขาแสยะยิ้มบิดเบี้ยว
อู๋จือฉีเดิมก็เป็นมารปีศาจที่บ้าคลั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ไรมายึดมั่นในความคิดว่าผู้ใดไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินผู้นั้น หากล่วงเกินข้าก็ย่อมเอาคืนพันเท่า ปกติแม้ว่าเขามีท่าทีหัวเราะยิ้มแย้ม ท่าทางเกียจคร้านไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่หากเกินเส้นที่เขาขีดไว้ สิ่งที่ต้องชดเชยก็ย่อมเป็นสภาพอนาถที่ไม่อาจบรรยายได้ ไม่เช่นนั้นตอนนั้นเขาก็ย่อมไม่หาเรื่องไปจนแดนสวรรค์ต้องปวดหัว
เขากำขอสมุทรเช่อไห่ในมือยกขึ้นวาดวงรัศมี อาวุธร้ายกาจในมือส่งเสียงคำรามดัง อยากทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้าด้วยความโมโห
อยู่ๆ เขาก็โยนขอสมุทรเช่อไห่ขึ้นท้องฟ้า ตะโกนดังว่า “ไป!”
ขอสมุทรเช่อไห่ที่ยาวราวตัวคนอยู่ๆ พลันกลายเป็นแสงสีเงินสายหนึ่ง พริบตาก็หายวับไป รอบด้านมีลมพัดกระหน่ำในพริบตา เสียงหวีดร้องแสบแก้วหู มีรอยแยกเล็กๆ ไร้รูปร่างกำลังเสียดสีกัน ต้นไม้ถูกโค่นล้มระเนระนาด ใบไม้มากมายนับไม่ถ้วนถูกม้วนหอบขึ้น พริบตาก็ถูกตัดแหลกเป็นเศษละเอียด
พื้นดินเริ่มสะเทือนรุนแรงขึ้นจนทำเอายืนไม่ติด ไกลออกไปได้ยินเสียงดังแสบแก้วหู ตามมาด้วยภูเขาทั้งลูกสั่นไหวส่งเสียงก้องกัมปนาท แสงสีเงินสายหนึ่งทะลุออกมา ก่อเกิดเสียงสนั่นราวกองทัพม้านับพันหมื่นทะยานมาพร้อมกัน ส่งเสียงดังแสบแก้วหูก้องกัมปนาทอย่างแทบไม่อาจทนรับไหว
อู๋จือฉีกระโดดยกแขนขึ้น มังกรเงินนั่นก็ทิ้งตัวลงบนฝ่ามือเขาอย่างแม่นยำ เป็นขอสมุทรเช่อไห่กลับมาแล้ว
เขาพลิกฝ่ามือเก็บขอสมุทรเช่อไห่เข้าใต้วงแขน ก่อนจะอุ้มจิ้งจอกม่วง แตะปลายเท้าที่ปลายยอดไม้เบาๆ ทะยานกระโดดข้ามหน้าผาไปทันที
ภูเขาด้านหลังฟ้าแยกดินทะลาย ที่อยู่จอมเวทรอบนอกเขาคุนหลุนทุกยอดเขาล้มตึงลงสนั่นหวั่นไหว เขาสะใจอย่างที่สุดที่ได้แก้แค้นให้จิ้งจอกม่วง
พวกเสวียนจีทั้งสามในเขาคุนหลุนพริบตาก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงรุนแรงของฟ้าดิน พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน หันกลับไปมอง เห็นทั่วทุกสารทิศมีแต่ฝุ่นควันราวมังกรดำทะยานพุ่งขึ้นท้องฟ้าและคงอยู่เช่นนั้นเป็นนาน
“นั่นคือ…” เสวียนจีหน้านิ่วคิ้วขมวด อยู่ๆ นึกถึงอะไรขึ้นมาได้ก็ตกใจกล่าวว่า “ทางนั้นมันที่อยู่จอมเวท? หรือว่าอู๋จือฉีสู้กับพวกเขาแล้ว”
หลิ่วอี้ฮวนหรี่ตามองไปยังสายหมอกที่ทะยานขึ้นท้องฟ้า ในใจอดทอดถอนใจไม่ได้ เขาเล่นใหญ่แล้ว ตอนนี้จะไปคุยอะไรก็ล้วนลวงแล้ว ทันทีที่ลงมือ ก็ย่อมตกในสภาวะที่ไม่อาจเรียกคืนได้แล้ว
ดวงตามกรวาบขึ้นทันที ร้องดังขึ้นว่า “อู๋จือฉีก็มา?! ไป! พวกเราไปหาเขา!”
หลิ่วอี้ฮวนมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “นี่ เขาลงมือแล้ว กวาดเขาทั้งหมดราบไปทั้งแถบ หรือว่าไม่ใช่หายนะใหญ่”
มกรวิ่งไปข้างหน้าก่อนแล้ว ร้องตะโกนดังขึ้นว่า “หายนะใหญ่ไว้ค่อยว่ากัน! ไปสู้กับเขาก่อนสำคัญกว่า!”
ในใจเขายังคงคิดสู้กับอู๋จือฉี นี่คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง เรื่องอื่นล้วนหลบไปยืนข้างๆ ก่อน
ครั้งนี้มีมกรนำทาง ออกจากประตูไคหมิงก็ง่ายเหมือนกับกินเต้าหู้ ประตูเปิดออก สิงห์ไคหมิงเก้าเศียรยังคงนอนหลับอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับแม้แต่น้อย ยาสลบอู๋จือฉีร้ายกาจมาก มกรเห็นมันแล้วก็หัวเราะร่า “ฝีมือพวกเจ้าใช่ไหม เจ้าไคหมิงโง่เง่าราวกับสุนัขนี่ มองอะไรก็กล้ากินไปหมด ช้าเร็วต้องกินจนต้องโทษแน่”
เสวียนจีกล่าวว่า “ครั้งนี้พวกเราหลอกเขาเพื่อเข้าประตูไคหมิง ราชันสวรรค์จะลงโทษเขาไหม”
มกรยักไหล่ “เรื่องนี้ก็ต้องดูโชคของมันกับอารมณ์ราชันสวรรค์แล้ว พวกโง่เง่าเช่นนี้ ราชันสวรรค์ย่อมขี้เกียจลงโทษมัน อย่างมากสุดก็คงเว้นโทษตาย แต่โทษเป็นยากละเว้น ขังคุกใต้ดินให้พวกมันได้สำนึกระยะหนึ่งกระมัง”
เสวียนจีได้ยินว่าไม่มีโทษถึงชีวิตก็สบายใจขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าอย่างไรบุกประตูไคหมิงก็เป็นพวกเขาทำไม่ถูกก่อน ทำให้สัตว์เทพน่ารักเช่นนี้เดือดร้อนไปด้วย ในใจก็ย่อมรู้สึกละอาย
“ตอนเฝ้าราชันสวรรค์ ข้าช่วยขอร้องให้มันเอง”
มกรได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็หลุดขำพรืดออกมาทันที ทุบศีรษะนางหนักๆ ทีหนึ่ง กล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าก็จะขอ เรื่องนั้นเจ้าก็จะขอ เห็นแดนสวรรค์เป็นลานหลังบ้านเจ้าหรือ ตนเองยังเอาตัวรอดยาก ยังไปสนใจคนอื่นอีก คนเขาไม่ได้เป็นกันแบบนี้ คนเช่นเจ้าเรียกว่าโง่เง่าอันดับหนึ่ง”
เสวียนจีเดิมคิดโต้กลับ แต่พอคิดถึงว่าตนเองก็ขอมากไปจริง ได้แต่หุบปากลง พูดตามจริง หนึ่ง นางจะได้เข้าเฝ้าราชันสวรรค์ไหมยังเป็นปัญหา สอง หากได้เข้าเฝ้าราชันสวรรค์ นางจะจำว่าตนเองอยากจะพูดอะไรได้ไหม ก็เป็นปัญหาอีก
เรื่องเช่นนี้ไว้ค่อยๆ คิดทีหลัง ตอนนี้ส่งหลิ่วอี้ฮวนไปประตูมังกรก่อน ค่อยดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอู๋จือฉีกันแน่นั้นสำคัญกว่า
ทั้งสามเปิดประตูไคหมิงออก มกรแบกหลิ่วอี้ฮวนไว้บนหลัง โดดหน้าผาหมื่นจั้งลงไปพร้อมกัน ยามนั้นผู้ใดยังจะสนใจเหินกระบี่หรือไม่ เสวียนจีเหินกระบี่กลางอากาศ เหินไปตามแม่น้ำชื่อสุ่ย ไกลออกไปก็มองเห็นยอดเขาเป็นชั้นๆ สีเขียวชอุ่มสองฝั่งที่ผ่านมาเมื่อครู่ราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นควันตลบยังไม่สงบ ยังคงค่อยๆ ลอยคลุ้งมาทางแม่น้ำชื่อสุ่ย
หลิ่วอี้ฮวนมองจนอ้าปากค้าง ถอนใจติดๆ กันกล่าวว่า “เจ้าวานรบ้า! ไม่ยั้งมือเลยจริงๆ! ดูสิ ดูเขาทำอะไรลงไป! กลับไปราชันสวรรค์ไม่ลงโทษพวกเราบุกเขาคุนหลุน ให้พวกเราชดใช้เขาทั้งลูก แค่แบกดินนั่นอย่างเดียวก็ต้องแบกกันกี่ร้อยปีแล้วเนี่ย”
มกรมองไปยังยอดเขาที่ราบเรียบเป็นหน้ากลอง อยู่ๆ ก็เหมือนมีลางไม่ดี หลุดร้องออกมาว่า “นั่นเป็นที่พักจอมเวท! เขาพังราบเป็นหน้ากลองเรื่องเล็ก แต่หากเขาสังหารจอมเวททั้งหมด นั่นก็จะไม่ได้การจริงๆ แล้ว!”
“ไม่ได้การอย่างไร” เสวียนจีหันกลับไปถามเขา
มกรกลับไม่ตอบ นิ่งไปครู่หนึ่ง อยู่ๆ ถามว่า “ผู้ชายเจ้าล่ะ ทำไมไม่มาด้วย”
แน่นอนเขาหมายถึงอวี่ซือเฟิ่ง ผู้ใดจะรู้ว่าพอเอ่ยถึงเขา สีหน้าเสวียนจีกับหลิ่วอี้ฮวนก็หม่นลงทันที เสวียนจีถอนใจกล่าวว่า “เขา…ไม่รู้ผู้ใดจับตัวไป จิ้งจอกม่วงถูกแสงสีขาวจับตัวไป อยู่ๆ เขาก็หายไปเฉยๆ…”
มกรกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ดีมาก! เช่นนั้นเจ้ารอเก็บศพเขาสองคนละกัน! พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าแดนสวรรค์รังแกกันได้ง่ายๆ ปล่อยพวกเจ้าเข้าออก? ราชันสวรรค์หากไม่จับสักคนสองคนมาขู่พวกเจ้า เขาก็ไม่ได้ชื่อราชันสวรรค์แล้ว!”
เสวียนจีได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ สีหน้าก็แปรเปลี่ยน หลิ่วอี้ฮวนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าอย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่ได้ไหม ทำให้คนอื่นเขาสับสน จิตใจชั่วร้าย!”
มกรกล่าวว่า “ข้าเหลวไหลที่ไหน พวกเจ้ามาครั้งนี้ หากไม่มีใครก่อเรื่องสังหารผู้ใด เขาสองคนอาจจะยังรักษาชีวิตไว้ได้ แต่เจ้าหนุ่มอู๋จือฉีไม่รู้จักอดกลั้น สังหารจอมเวทหมดสิ้น เขาสองคนยังจะรอดอีกหรือ อยู่ดีๆ จะมาจับเชลยไปสองคนทำไมกัน พวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือ”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แต่…ข้ารู้สึกได้ว่า คนที่พาซือเฟิ่งกับจิ้งจอกม่วงไปไม่ใช่คนคนเดียวกัน …จอมเวทที่พาจิ้งจอกม่วงไปนั่นเป็นคนที่ข้าทำเขาบาดเจ็บ ส่วนที่พาซือเฟิ่งไป…ข้าไม่ทันรู้สึกได้”
มกรเดิมยังคิดกล่าววาจาข่มขู่นางให้กลัวขึ้นอีก แต่เห็นนางสีหน้าดูย่ำแย่ยิ่งในยามนี้แล้วก็พูดไม่ออกอีก ได้แต่ถอนหายใจกล่าวว่า “เอาเถอะ เดินไปคิดไปแล้วกัน ชีวิตข้าอยู่ๆ ก็มามอบใส่มือเจ้าได้อย่างน่าประหลาดแท้”
เสวียนจีมองเขา กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่คิดทำเจ้าพลอยลำบากไปด้วย…หรือว่าเจ้ากลับไป อย่าให้หงส์แดงจูเชวี่ยกับมังกรเขียวพูดวาจาใส่ร้ายเจ้าลับหลังได้”
มกรค้อนขวับใส่นาง “ผายลม! วันหน้าหากเจ้ากล่าววาจาเช่นนี้อีก ข้าจะตัดข้อมือเจ้าทิ้งฉับเดียว เอากลับไปตุ๋นคากิกิน!”
เสวียนจีเดิมยังคิดแก้ต่างให้ตนเองว่ามือคนไม่ใช่เท้าสุกร พลันเห็นประตูมังกรอยู่ไม่ไกลออกไป ใต้ประตูมังกรมีคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามา หลิ่วอี้ฮวนดีใจมาก ดิ้นรนโดดลงจากหลังมกรบนหลัง ส่งเสียงร้องดังขึ้นว่า “นาง! นาง! สวรรค์! นางถึงกับมาที่นี่จริงๆ! มาเร็วกว่าข้าอีก!”
มกรคว้าเอวเขาไว้ จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ช้าก่อน ไม่ใช่มังกรเขียว!”
ทั้งสามลงจากท้องฟ้า พอหลิ่วอี้ฮวนลงพื้นก็รีบพุ่งปรี่ไปด้านหน้าอย่างไม่อาจรอได้อีกต่อไป คิดจะดูให้ชัดว่าใช่นางในดวงใจหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าวิ่งไปได้ครึ่งทางอยู่ๆ ก็หยุดกึก มองไปยังคนที่เคลื่อนไหวเบื้องหน้าอย่างสงสัย เห็นชัดแล้ว เขาพบว่าคนผู้นั้นไม่ใช่มังกรเขียว มังกรเขียวร่างเตี้ยและผอมบาง คนผู้นั้นทั้งสูงทั้งใหญ่ ในอ้อมกอดราวกับยังอุ้มอะไรไว้
“อู๋จือฉี!” เสวียนจีตาไว้สุด มองปราดเดียวก็เห็นเปียยาวบนบ่าเขา โดดเข้าไปหาทันที มกรยิ่งทนไม่ได้เข้าไปใหญ่ ได้ยินชื่ออู๋จือฉีก็ราวกับได้ฉีดเลือดไก่เข้าร่างมีกำลังขึ้นมาทันที พุ่งทะยานออกไปเช่นกัน พริบตาก็มาอยู่กันตรงหน้าเขา ตะโกนดังว่า “เจ้าทำงามหน้านะ! ครั้งนี้นรกขุมสิบแปดก็ไม่ให้เจ้าได้อยู่แล้ว มาๆ! ก่อนเจ้าตาย รีบมาสู้กับข้าก่อน! ทำความปรารถนาให้เป็นจริงก่อน!”
เขากล่าวติดๆ กันไม่หายใจ อู๋จือฉีไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง มกรอดมองให้ละเอียดไม่ได้ เห็นในอ้อมกอดเขาอุ้มจิ้งจอกสีม่วงตัวแข็งทื่อ เขาตกใจมาก ผงะถอยหลังพึมพำกล่าวว่า “นาง…นาง? ตายแล้ว?”
พูดกันถึงตรงนี้ พวกเสวียนจีก็ตามมาถึง พอเห็นศพจิ้งจอกม่วง เสวียนจีตกใจราวฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม แทบจะทรุดลงนั่งกับพื้น ร่างนางสั่นเทิ้มเดินตรงเข้าไปยกมือคิดลูบร่างนาง อย่างไรก็ไม่อยากจะเชื่อ จิ้งจอกม่วงถึงกับตายแล้ว
อู๋จือฉีสีหน้าไร้ความรู้สึก มองทุกคนพลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “จอมเวทเป็นข้าสังหารคนเดียว ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า หากราชันสวรรค์ต้องการลงโทษ ก็ให้มาลงที่ข้าคนเดียว”
เสวียนจีอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ น้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “จอมเวท…สังหารนาง?”
อู๋จือฉีรับขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ากำลังเลือกหาที่ดีๆ ฝังนาง แต่ละแวกนี้หาที่ถูกใจไม่ได้เลย”
หลิ่วอี้ฮวนเห็นจิ้งจอกม่วงตายแล้ว อู๋จือฉีก็ดูผิดปกติไป ในใจอดตกใจไม่ได้ เขาพลันคิดไม่ออกว่าจะปลอบใจเช่นไร เห็นจิ้งจอกม่วงขดเป็นก้อนก็รู้สึกปวดใจ นึกถึงยามปกติที่น่ารักแสนซนของนางแล้วก็อดตาแดงไม่ได้ นิ่งไปเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ไม่สู้…เผาศพแล้วนำกระดูกกลับไป รอกลับถึงภาคกลางก็หาที่ทิวทัศน์งดงามสักแห่งฝังนางดีไหม”
อู๋จือฉีเงียบอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็พยักหน้า วางจิ้งจอกม่วงลงบนพื้นเบาๆ มองอยู่เป็นนานจึงได้กล่าวว่า “ไปรอข้าที่แดนปรภพ ข้าจะรีบไปหาเจ้า”
มกรจุดเพลิงสีแดงขึ้นในทันที พริบตาก็เผาศพนางหมด หลิ่วอี้ฮวนเห็นอู๋จือฉีเงียบงันไม่พูดไม่จา เสวียนจีร้องไห้เศร้าเสียใจ เกรงว่าเรื่องนี้คงกระทบกระเทือนใจทุกคนอย่างมาก ถึงตอนนั้นเกิดมีใจคิดแค้น เรื่องต่างๆ ก็คงมีแต่ย่ำแย่ จึงกล่าวว่า “ฝุ่นสู่ฝุ่น ดินสู่ดิน นางจะไปแดนปรภพแล้ว มาพูดส่งท้ายอะไรกับวิญญาณนางสักหน่อย…ข้าก่อน”
เขาคำนับศพจิ้งจอกม่วงกลางกองเพลิงสามที กล่าวอ่อนโยนว่า “ก่อนหน้าเจ้าเป็นจิ้งจอกแสนน่ารัก ตายไปก็เป็นผีจิ้งจอกน่ารักที่สุด คนเรามีชีวิตชาติหนึ่งก็ไม่ได้นานมาก เจ้าไปแดนนรกก่อนก็ยากจะไม่รู้สึกเหงา แต่ก็ไม่เป็นไร ทนไปหน่อย ทุกคนอีกร้อยปีก็ไปรวมตัวกันแดนนรก ก็คงได้ครึกครื้นกันอีกครั้ง”
กล่าวจบก็คำนับสามที หันกลับไปมองเสวียนจี นางได้แต่ส่ายหน้า ร้องไห้จนพูดไม่ออก หลิ่วอี้ฮวนถอนหายใจมองไปทางอู๋จือฉี เขาอึ้งมองลูกไฟลุกโชน ในดวงตาวูบไหวพลันวาบขึ้น ไม่รู้กำลังคิดอะไร
ผ่านไปนาน เขาจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คำถามสุดท้ายที่เจ้าถามข้า ข้าไม่ได้โกหก ความฝันมีเจ้าอยู่จริง”
กลัวจิ้งจอกน้อยเงียบงัน กลัวจะสูญเสียจิ้งจอกน้อยไป…ทุกสิ่งที่น่ารำคาญและหวานล้ำในคราเดียวกัน ในที่สุดก็จบสิ้นลง หากได้เจอกันอีกครั้ง นางจะพูดอะไรนะ
อู๋จือฉีสูดหายใจเข้าทำใจ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง