ตอนที่ 378 หยั่งเชิง

ยังมีเวลาครึ่งเดือนกว่าก่อนจะถึงวันเกิดผู้เฒ่าตระกูลชุย หยางโปกับลัวย่าวหัวไปรายงานตัวที่กรมโบราณวัตถุมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ไปเสนอหน้าอีก นี่ก็แค่ตำแหน่งซี่โครงไก่ไม่มีผลอะไรมากมายเลย แต่ถึงเวลาจำเป็นก็ยังเอาไว้ใช้ได้

พวกหยางโปทั้งสองคนไปนั่งอยู่ที่ห้องทำงานของเฉาหยวนเต๋อครู่หนึ่ง เฉาหยวนเต๋อต้อนรับพวกหยางโปทั้งสองคนอย่างอบอุ่น

เมื่อรินน้ำชา และเชิญหยางโปนั่งลงแล้ว เฉาหยวนเต๋อก็พูดอย่างรู้สึกผิดว่า ” หยางโป เรื่องครั้งนี้ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ มีบางเรื่องที่ฉันเองก็ไม่สามารถที่จะควบคุมได้ ยังไงก็ยังมีคนมากมายที่จับจ้องอยู่ “

 

หยางโปส่ายหน้าเบาๆ ” เรื่องล้วนผ่านไปแล้ว คุณอย่าคิดมากอีกเลยครับ เรื่องครั้งนี้เป็นโชคดีไม่ใช่โชคร้าย เรื่องนี้ท้ายที่สุดก็ต้องเผชิญหน้ากัน ยังไงก็เป็นเรื่องใหญ่ ต่อไปก็จะถูกเปิดโปงออกมาอยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะเปลี่ยนกลายเป็นโชคร้ายหนักก็ได้ “

เฉาหยวนเต๋อซาบซึ้ง ” ยังไงฉันก็ขอโทษนายด้วย “

ลัวย่าวหัวนั่งที่อีกด้านหนึ่ง พูดอย่างไม่มีความอดทน ” ผมว่าเรื่องนี้อธิบดีเฉาผิดจริง ผมเห็นว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน เย็นนี้อธิบดีเฉาเป็นเจ้ามือ พวกเราไปดื่มเหล้าด้วยกัน เรื่องนี้ก็ให้ถือว่าจบกันบนโต๊ะเหล้า พวกคุณว่าอย่างนี้ดีไหม ? “

เฉาหยวนเต๋อเงยหน้ามองไปทางหยางโป

 

หยางโปยิ้ม ” ความคิดนี้ดี งั้นก็เอาอย่างนี้แล้วก็กัน เดี๋ยวพวกเราไปดื่มเหล้าด้วยกัน เมาค่อยเลิก พอเมาแล้วเรื่องพวกนี้ก็ให้เป็นงาเก่าข้าวฟ่างเปื่อย ไป ! “

แขนขวาของหยางโปได้รับบาดเจ็บ เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก และก็ไม่สามารถแกะสลักได้ เวลานี้จึงดูเหมือนว่าเขาไม่มีงานอะไรให้ทำ

เย่เหวยหลินมาหา พอเขาเห็นหยางโปก็พูดว่า ” ครั้งก่อนต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ช้าไปก้าวหนึ่ง “

หยางโปส่ายหน้า ” ไม่เป็นไรครับ ใครก็คิดไม่ถึงว่าซุนเหอจั๋วจะเสียสติขนาดนั้น ! “

” ใช่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะพาลโกรธแล้วทำเรื่องพรรค์นี้ เกินไปจริงๆ ! ” เย่เหวยหลินด่าขึ้นมา

 

หลังจากด่าจบ เย่เหวยหลินก็มองแขนที่บาดเจ็บของหยางโป เขาขัดเขินเล็กน้อย ” ครั้งที่แล้วฉันเชิญนายไปช่วยประเมินของ แต่ดูอาการบาดเจ็บของแขนนายตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะไปได้ไหม ? “

หยางโปนึกเล็กน้อย ก็พลันนึกออก ครั้งที่แล้วในสโมสร ตอนที่เจอกัน เย่เหวยหลินพูดเรื่องนี้จริงๆ เขายิ้ม

” ไม่มีปัญหาครับ วันนั้นได้พี่เย่ไปช่วย ทำให้ผมซาบซึ้งมาก เรื่องเล็กพรรค์นี้พูดตรงๆ ก็ได้ครับ ! “

เย่เหวยหลินยินดีมาก ” ดี ! นายมีเวลาว่างเมื่อไหร่ ? “

” ตอนนี้เลยก็ได้ครับ “

 

เย่เหวยหลินดูแล้วนิสัยหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก ความจริงแล้วก็เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะกับคนที่มีภูมิหลังด้อยกว่าเขา ความหยิ่งผยองประเภทนี้ก็จะแสดงออกมาจนหมด ก่อนหน้าก็ปฏิบัติต่อหยางโปและลัวย่าวหัวอย่างนี้ เพียงแต่ตอนนี้เขารู้เรื่องหยางโปแล้ว ท่าทีจึงเปลี่ยนเป็นมีไมตรีขึ้นมา

ไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงเรือนสี่ประสาน หินดำกำแพงขาวกระเบื้องเขียว ศาลามุงหลังคาระเบียงทางเดินยาว เมื่อเดินเข้ามา ก็สามารถสัมผัสได้ว่าเป็นสถานที่ที่แตกต่างจากที่อื่น ที่นี่สวยเรียบหรูและงามละเอียดกว่าสวนป่าที่เจียงหนานบางแห่งเสียอีก

ขณะที่หยางโปเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ก็สังเกตเห็นสะพานน้อยสายน้ำไหลระหว่างทาง ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า ” สวนของที่นี่ไม่เลวเลยจริงๆ ! “

 

เย่เหวยหลินหัวเราะแหะๆ ไม่พูดอะไร

หยางโปไม่ได้ถามอะไรมากความ ไม่นาน เขาก็ถูกพามาที่หน้าห้องหนังสือแห่งหนึ่ง เย่เหวยหลินก้าวขึ้นไปเคาะประตู ได้ยินเสียงเชิญให้เข้าตอบจากด้านในหนึ่งครั้ง เย่เหวยหลินก็หันมาทำสัญญาณมือให้หยางโปรอ ก่อนจะเดินเข้าไป

หยางโปยืนอยู่นอกประตู ในใจตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตัวเขาคิดว่าเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวเล็กๆ เรื่องหนึ่ง ตอนนี้ดูจากท่าทางระมัดระวังตอนที่เย่เหวยหลินเข้าไปแล้ว ฐานะของท่านด้านในห้องนั้นย่อมสามารถคาดเดาได้อยู่บ้าง !

เป็นพ่อของเย่เหวยหลิน หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่สองสามท่านนั่นเอง !

ไม่นาน เย่เหวยหลินก็ออกมา หันมากวักมือให้หยางโป แสดงท่าทีให้เขาเข้าไป

 

หยางโปรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา เขาเดินตามเย่เหวยหลินเข้าไป เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นตู้หนังสือขนาดมหึมาครึ่งหนึ่ง ก้าวไปอีกสองก้าว ก็สามารถเห็นคนคนหนึ่งกำลังขยับพู่กันวาดหมึกอยู่

เห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง แม้แต่หยางโปที่ไม่อัพเดทข่าว ก็สามารถมองฐานะของท่านนี้ออก เป็นพ่อของเย่เหวยหลิน ! ผู้ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนเล็บท่านนั้นนั่นเอง !

หยางโปยืนอยู่ด้านหนึ่ง ตามองจมูกจมูกมองใจ ราวกับคิดอะไรอยู่ตลอด

ครู่ใหญ่ พ่อเย่เหวยหลินลงคำลงท้ายบท ก่อนหมุนกายมามองด้านนี้แวบหนึ่ง กล่าวอย่างอบอุ่นว่า

” เสี่ยวโปมาแล้วเหรอ ไม่ต้องเกร็งไป ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเอง รีบนั่งลงเร็ว ! “

พูดจบ พ่อเย่ก็มองเย่เหวยหลินพลางพูดว่า ” ยังไม่ไปชงชาอีก ? “

 

” อ้อ ” เย่เหวยหลินรับหนึ่งเสียง ก่อนรีบออกไปชงชา

หยางโปโบกมือพลางพูดว่า ” อย่าลำบากเลยครับ “

พ่อเย่กดมือเอาไว้ ” ไม่เป็นไร นายนั่งลงเถอะ ! “

พูดจบ พ่อเย่ก็จ้องหยางโป ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า ” บ้านของฉันมีอักษรพู่กันอยู่ม้วนหนึ่ง คิดมาตลอดว่าอยากจะหาคนมาช่วยประเมินให้ สองสามวันก่อน อยู่ๆ เหวยหลินก็บอกว่าจะช่วยแนะนำนักประเมินอายุน้อยคนหนึ่งให้ฉัน ฉันถึงรู้ว่าที่แท้ในวงการสะสมของ ยังมีเสี่ยวโปที่อายุน้อยแต่มีความสามารถเป็นอัจฉริยะอย่างนี้อยู่ นี่ถึงจะเป็นบุคคลสำคัญของประเทศชาติ ! “

หยางโปโบกมือ ” คุณชมเกินไปแล้ว ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ “

 

พ่อเย่หัวเราะ พยักหน้าเบาๆ ” เสี่ยวโปเห็นว่าครอบครัวซุนเป็นยังไง ? “

หยางโปมองพ่อเย่ ในใจคาดเดาได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่แน่ใจนัก ครู่ใหญ่ เขาถึงตอบว่า ” ใจสกปรก ! “

พ่อเย่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าทันที แต่ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ กลับพูดว่า ” ฉันช่างเป็นตาแก่เลอะเลือนเสียจริงๆ บอกหยกๆ ว่าจะให้นายมาประเมินของ เดี๋ยวฉันจะไปเอาอักษรพู่กันชิ้นนั้นมานะ ! “

พูดจบ พ่อเย่เหวยหลินก็หมุนกายเดินเข้าไปด้านใน เย่เหวยหลินยกน้ำชาเข้ามา

หยางโปมองเย่เหวยหลิน ในใจกระจ่างชัด บางทีการประเมินของที่ว่าคงเป็นเพียงการปิดหูปิดตาเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงคงเป็นคำพูดเมื่อสักครู่นี้มากกว่า

 

แต่พ่อของเย่เหวยหลินคิดจะใช้เขาหยั่งเชิงท่าทีของตระกูลชุยรึเปล่า ? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ที่บอกไปอย่างนั้นเมื่อกี้นี้ ก็นับเป็นการดึงตระกูลเย่ให้ไปเป็นพันธมิตรกับตระกูลซุนแล้ว !

เย่เหวยหลินมองหยางโปพลางยิ้มบางๆ ” ไม่ต้องเกร็ง เขาไม่กินนายหรอก “

หยางโปส่ายหน้า ” จะไม่เกร็งได้ยังไงกัน ? “

เพิ่งสิ้นเสียงพูด ก็เห็นพ่อเย่เดินเข้ามา

พ่อเย่น่าจะได้ยินคำพูดของหยางโป แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงเก็บของบนโต๊ะ แล้วเอาภาพวางเอาไว้ด้านบนก่อนจะคลี่ออก ถึงหันมาพูดกับหยางโปว่า ” นายมาดูก่อน ! “

พูดจบ พ่อเย่ก็หันกายไปนั่งที่ด้านหนึ่ง ลงมือลิ้มรสชา ด้านหยางโปก็ดูอักษรพู่กันอย่างถี่ถ้วน

 

หยางโปจ้องมองอักษรพู่กันตรงหน้า ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน ตอนนี้ เขาไม่สามารถถามอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอนว่า ” ภาพนี้ได้มาจากที่ไหน ? “

ถ้าอักษรพู่กันม้วนนี้เป็นของที่คนอื่นให้มา จะไม่ยิ่งกระดากเหรอ ?

หยางโปดูคำขึ้นต้นลงท้ายก่อนแวบหนึ่ง เห็นด้านบนเป็น ” คุณเหอจิ้ง ” ในใจก็ตระหนกเป็นอย่างยิ่ง

คุณเหอจิ้งเป็นชื่อของหลินปู เป็นนักกวีและนักอักษรผู้มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขามีกลอนบทหนึ่งที่คนรุ่นหลังรู้จักกันดี ” เงาลางเอนไหวสายน้ำใสเขิน กลิ่นอวลในความมืดจันทราประดับตะวันรอน ” !

ผลงานอักษรของหลินปูมีเพียงสามชิ้น ถ้าชิ้นนี้เป็นของจริง งั้นนี่ก็นับเป็นชิ้นที่สี่แล้ว !