บทที่ 147 สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน (ต้น)
ในโลกแห่งชิงฉาง ประกอบด้วยสามอาณาจักร อันได้แก่แผ่นดินชิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์บนแผ่นดินใหญ่ และแผ่นดินแห่งฉางหลาน
โดยในแผ่นดินชิง อาณาจักรภูผาเมฆาถือว่ามีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่สุด และมีแคว้นน้อยใหญ่นับ ร้อยแคว้น ที่สำคัญในแคว้นน้อยใหญ่เหล่านี้ยังมีตระกูลชนชั้นสูงเก่าแก่นับพันปีและกองกำลังลึกลับมากอำนาจอีกมากมาย !
แม้ว่าสถานศึกษาฉางมู่จะมิได้มีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ดั่งภูเขาสูงเช่นนั้น ทว่ากองกำลังทั้งหลายก็มิได้ ประมาทต่อฉางมู่แต่อย่างใด
ด้วยว่าสถานศึกษาฉางมู่มีกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดินชิง !
แม้แต่ในอาณาจักรภูผาเมฆาก็มีสถานศึกษาฉางมู่ แต่นี่ยังมิใช่ความน่ากลัวที่แท้จริง ! ว่ากันว่าสำนัก ใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ต่างหาก จึงเป็นที่รวมของทักษะ ยุทธ์มากมายมหาศาล !!
ในอาณาเขตของแผ่นดินชิง สถานศึกษาฉางมู่แต่ละแห่งต่างมีความเป็นเอกเทศ เปรียบเสมือนแว่น แคว้นที่มีความเป็นเป็นอิสระของตนเอง โดยแต่ละแห่งจะรับคำสั่งตรงจากสถานศึกษาฉางมู่สำนักใหญ่ในดิน แดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่เท่านั้น ทว่าหากก็มิได้หมายความว่าทุกแห่งจะไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน
สถานศึกษาฉางมู่ในแผ่นดินชิงอาจแข่งขันกันเอง แต่พวกเขาก็ให้ความร่วมมือต่อกันด้วย
เรียกรวมพล !
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งข้อที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความร่วมมือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับสถานศึกษาฉางมู่แห่งใดก็ตาม ‘การเรียกรวมพล’ จะสามารถขอความช่วยเหลือจากสาขาแห่งอื่นให้มาช่วยได้ !
แน่นอนว่าความช่วยเหลือมิได้ให้เปล่า ล้วนต้องมีค่าตอบแทนด้วยกันทั้งนั้น !
ค่าตอบแทนที่ให้ภายในสถานศึกษาฉางมู่มิใช่ใหญ่โต ทว่ามากมายมหาศาลต่างหาก !
คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีวิชาใดก็ได้ คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้านกายาพลวัต คัมภีร์ยุทธ์ชั้นยอดขั้นปฐพีด้านอาคมเวทย์ และศิลาจิตวิญญาณห้าแสนชิ้น ด้วยมูลค่าของสิ่งล้ำค่าเหล่านี้ ย่อมสามารถดึงดูดผู้คน ให้สามารถสังหารได้แม้แต่ผู้กล้าแกร่งขั้นพลังผสานเทพ นับประสาอะไรกับขั้นพลังหลอมรวมลมปราณและ ทะยานสวรรค์ไม่กี่คน
รางวัลในครั้งนี้นับว่าดึงดูดใจยิ่ง ทำให้คนกล้าจำนวนมากหน้าหลายตาอยากลองเสี่ยงดูสักตั้ง !
โดยฉับพลันนั้น นกพิราบสื่อสารฝูงใหญ่จากสถานศึกษาฉางมู่ก็ได้โบยบินสู่ท้องฟ้า และบินตรงเข้าสู่ ทิศทางจุดมุ่งหมายของพวกมันทันที
ภาพที่ปรากฏสร้างความตื่นตาตื่นใจ
ณ เมืองหลวง
สถานศึกษาฉางมู่ไม่อาจปกปิดเหตุการณ์ของเยี่ยฉวนที่กระทำต่อสถานศึกษาฉางมู่ได้ ดังนั้นในเวลา ไม่นานทุกคนในเมืองหลวงจึงได้รับรู้ความจริงระหว่างเยี่ยฉวนและฉางมู่
ตกตะลึง !
บรรยากาศของเมืองหลวงเวลานี้คือตกตะลึง !
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่สถานศึกษาฉางหลานอยู่นอกสายตาของผู้คน ไม่สิ อันที่จริงต้องบอกว่าทุกคนต่างหลงลืมว่ามีสถานศึกษาฉางหลานไปเสียสิ้น อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้สถานศึกษาฉางหลานกลับกล้าออกมาเผชิญหน้ากับสถานศึกษาฉางมู่โดยตรง !
อีกทั้งยังเป็นสถานศึกษาฉางหลานที่เป็นฝ่ายมีชัยกลับมาเสียด้วย !
สิ่งที่น่าประหวั่นที่สุดคือเยี่ยฉวนสามารถสังหารเฟินเจี๋ย หนึ่งในสุดยอดศิษย์แห่งยอดคนแห่งสถาน ศึกษาฉางมู่ มิหนำซ้ำเยี่ยฉวนยังสับร่างของศิษย์ฉางมู่อีกหลายคนนำมาเรียงเป็นคำ
‘สถานศึกษาฉางมู่’
ในตอนนี้เขาได้สร้างความอับอายอย่างร้ายแรงให้บังเกิดแก่สถานศึกษาฉางมู่ขึ้นแล้ว !
เยี่ยฉวน !
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชื่อของเยี่ยฉวนแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งเมืองหลวง ซึ่งครานี้นับว่าแตกต่างจากครั้ง ก่อนนัก ด้วยคราวนี้เขาเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์ทำให้คนทั่วไปบ้างสนใจใคร่รู้และมีไม่น้อยที่ชื่นยกย่องใน ตัวเขา !
หลายคนมักเทิดทูนผู้ฝึกกระบี่ !
โดยทั่วไปภายหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงต่อสถานศึกษาฉางหลานก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง !
…
เมื่ออาจารย์ใหญ่จี้ และพวกเยี่ยฉวนกลับมาถึงสถานศึกษาฉางหลาน สิ่งที่เยี่ยฉวนมองเห็นว่ากำลังยืนอยู่ที่หน้าหอโถงแห่งฉางหลานคือเยี่ยหลิง !
ส่วนทางด้านเด็กหญิงเอง ทันทีที่นางเห็นหน้าของผู้ที่เพิ่งเข้ามา นางก็พลันโผเข้าหาอ้อมแขนของพี่ชายทันที เยี่ยหลิงกอดเยี่ยฉวนจนแน่นราวกับกลัวว่าเขาจะหายไปอีก หากครานี้มิได้มีน้ำตาแห่งความยินดี นาง เพียงกอดเขาและมองด้วยแววตาแปลกประหลาด
ส่วนเยี่ยฉวนก็เอาแต่มองหน้าน้อง สายตาเหี้ยมเกรียมของเขากลับอ่อนโยนลง ชายหนุ่มใช้มือค่อยลูบศีรษะเล็ก ๆ “บอกแล้วอย่างไรว่าพี่จะกลับมา !”
จากนั้นผู้เป็นพี่ชายจึงหันไปหาสตรีชุดดำผู้นั่งอยู่บนรถเข็น “ให้ข้าเรียกขานนามของท่านว่าอะไร ?”
สตรีชุดดำทีท่าลังเลเล็กน้อย หากในที่สุดจึงตอบว่า “หลู่เจาเก้อ”
เยี่ยฉวนผงกศีรษะรับทราบ “ขอบคุณขอรับ แม่นางหลู่ !”
หญิงสาวในชุดดำส่ายศีรษะน้อย ๆ “เจ้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น ดังนั้นแคว้นเจียงต้องอยู่ข้างเจ้า ทว่าสถานศึกษาฉางมู่จะไม่หยุดเท่านี้แน่… แต่ก็นั่นแหละ วันนี้สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวลาก่อน !”
จากนั้น ชายชราก็ไสรถเข็นของนางจากไป
แคว้นเจียง !
เยี่ยฉวนมองตามไปเบื้องหลังสตรีในชุดดำ “ข้าจะจดจำไว้ขอรับ !”
หญิงสาวผงกศีรษะ และในไม่ช้าร่างของคนทั้งสองจึงได้ลับไปจากสายตา
ในตอนนนั้นเยี่ยหลิงหันมาพูดกับพี่ชายของนาง “ท่านพี่ ข้าจะไปทำกับข้าวให้ท่านกินนะเจ้าค่ะ !”
“พวกเราเองก็หิวแล้วเหมือนกัน !”
โม่อวิ๋นฉีโผ่ขึ้นมาทางข้างหลังเยี่ยฉวน หน้าตายิ้มแย้มกะลิ้มกะเหลี่ย “หลิงเอ๋อร์ เจ้าช่วยทำกับข้าวเผื่อให้พวกเราด้วยนะ…”
ไป๋เจ๋อรีบพยักเพยิด “ข้าหิวเหมือนกัน !”
เยี่ยหลิงคลี่ยิ้มกว้าง “ข้าจะทำให้ทุกคนกินเจ้าค่ะ”
นางรีบผละออกและวิ่งไปทันที
ทันใดนั้น อาจารย์ใหญ่จี้ดีดนิ้วมือเบา ๆ พลันบังเกิดยาตันเถียนสีทองสี่เม็ดขึ้นเบื้องหน้าเยี่ยฉวนและ พวกอีกสาม “ใช้ยารักษาอาการบาดเจ็บของพวกเจ้าเสียก่อน !”
เยี่ยฉวนเห็นเช่นนั้น เขาพยักหน้ารับทราบก่อนฉวยยาตันเถียนขึ้นมาและรีบรุดกลับไปยังห้องพักของ ตนทันที
แต่โม่อวิ๋นฉีกลับหยิบยาตันเถียนตรงหน้าขึ้นมาพิจารณาอยู่ไปมา และจู่ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “อาจารย์จี้ ยาตันเถียนชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ…”
สายตาวกกลับไปที่อาจารย์ใหญ่จี้ “ข้าว่าท่านคงจะมีฐานะดีไม่ใช่เล่น ! ถ้าท่านมีเงินทองมากมาย น่า จะใช้ให้ความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตบ้างนะขอรับ ?! หรือไม่ก็หาศิษย์หญิงมาสักสองสามคน…”
อาจารย์ใหญ่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาเอ็ด “ไปให้พ้น !”
อีกฝ่ายยิ้มแหย “ท่านช่วยคิดตามที่ข้าแนะนำสักนิด โดยเฉพาะเมื่อตะกี้…” จากนั้นรีบหันกลับ วิ่งจี้ออกไปทันที
ไป๋เจ๋อและจี้อันซื่อตามออกไปเป็นพวกสุดท้าย
ทันใดนั้นเอง เจียงเยว่เทียนพลันปรากฏกายขึ้นไม่ห่างไกลจากอาจารย์ใหญ่จี้
ชายชราเจียงเยว่เทียนทอดสายตามองไปในระยะไกล “ศิษย์ทั้งสามคนที่เจ้ารับเข้ามา นับว่าพวกเขามีฝีมือไม่น้อย โดยเฉพาะคนหนุ่มที่ชื่อเยี่ยฉวน คนผู้นี้ไม่ธรรมดาทีเดียว !”
อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ “โดยปกติราชสำนักเจียงกระเหี้ยนกระหือรืออยากเห็นสถานศึกษาฉางหลานและสถานศึกษาฉางมู่ประลองจนตายกันไปข้างหนึ่ง แต่วันนี้ท่านกลับยื่นมือมาเป็นฑูตสันติ …ดังนั้นจึงย่อมมีเบื้องหลัง !”