บทที่ 148 สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 148 สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางหลาน (ปลาย)

หลังโดนเปิดโปง เจียงเยว่เทียนเพียงยิ้มมุมปาก ปากเอ่ยว่า “จริงอยู่ข้าอยากเห็นท่านและหลี่เสวียนชาง ต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะ… แต่หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ? สถานศึกษาฉางหลานต้องล่มสลายและสถานศึกษาฉางมู่ จะได้รับชัยชนะโดยเด็ดขาด ถึงกระนั้นทุกอย่างจะจบเพียงเท่านี้หรือ ? ไม่ สำนักใหญ่แห่งสถานศึกษาฉางมู่ บนแผ่นดินชิง จะต้องส่งคนมาเพื่อฟื้นฟูฉางมู่ขึ้นที่นี่อีกครั้ง และเมื่อถึงตอนนั้น สถานศึกษาฉางมู่ก็จะมีอำนาจ เหนือที่นี่แต่เพียงสถานเดียว”

อาจารย์ใหญ่จี้พูดอย่างใจเย็น “เข้าใจแล้ว เพื่อควบคุมสถานศึกษาฉางมู่ ท่านจึงประสงค์จะให้ฉาง หลานต่อสู้กับฉางมู่ต่อไป”

คู่สนทนาส่ายศีรษะ “อาจารย์จี้ ข้าขอพูดอย่างเปิดอก เวลานี้ภายในราชสำนักเข้าข้างท่าน แน่นอนเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือพวกท่านอย่างออกหน้าออกตา ทว่าราชสำนักปรารถนาจะให้ความช่วยเหลือ ต่อท่านอย่างลับ ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้น ทั้งยังมีสัมพันธภาพอันดีกับเสี่ยวจิ้ว ดังนั้นราช สำนักจึงจะให้ความสำคัญกับคนผู้นี้อย่างที่สุด”

ฝ่ายอาจารย์ใหญ่ยกโถสุราขึ้นจิบทว่ายังคงนิ่งเฉย

เจียงเยว่เทียนถามยิ้ม ๆ  “อาจารย์จี้ ท่านจะไม่คัดค้านใช่หรือไม่ ?”

อาจารย์ใหญ่จี้ส่านหน้า “ไม่ ข้าไม่ได้จะคัดค้าน เพียงไม่ต้องการใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเขาเท่านั้น”

ครานี้เจียงเยว่เทียนจึงยิ้มออก “แน่นอน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ พวกเราจะคอยคุ้มกันให้เขาอย่างลับ ๆ คนผู้นี้มีคุณค่าแก่น้ำมิตรและมีความสัมพันธอันสำคัญยิ่งทั้งต่อแคว้นบ้านเกิดและครอบครัว นอกจากนั้นเขา ยังเป็นผู้ที่เสี่ยวจิ้วชื่นชมอย่างมาก สำหรับเขา ราชสำนักหาได้มีความมุ่งร้ายแม้สักน้อย เรื่องนี้ข้าขอรับรองด้วยตนเอง !”

อีกฝ่านพยักหน้ารับทราบ “เช่นนั้นก็ตกลง”

จากนั้นจึงยกโถสุราขึ้นจิบก่อนหันหลังเดินจากไป

อีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่เดิม เข้าหันมองโถงหอประชุมแห่งฉางหลานและยิ้มออกมา “ยอดผู้ฝึกกระบี่… สุดยอดแห่งผู้ฝึกกระบี่…”

หลังจากนั้นจึงหันหลังให้และร่างหายวับออกไปจากสถานที่ทันที

ในห้องครัว เยี่ยหลิงจุดไฟในเตาเตรียมหุงหาอาหาร

ทันใดนั้นได้ปรากฏร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งใกล้กับที่นางอยู่ เด็กหญิงนางนั้นสวมเสื้อผ้าฝ้ายตัวหนา ผมยาวถักเป็นเปียห้อยไว้ด้านหลังศีรษะ ใบหน้าสดใสน่าเอ็นดู

สายตาของเยี่ยหลิงมองที่เด็กหญิงผู้เข้ามาใหม่นิ่งเฉยโดยไม่พูดสักคำ

เสียงเบาราวกระซิบดังมาจากเด็กหญิงคนใหม่ “วันนี้ท่านพี่ของเจ้าเกือบตาย !”

เยี่ยหลิงทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าและไม่มีเสียงตอบเช่นเคย

เด็กหญิงอีกคนมองตรงมาที่เยี่ยหลิง “เจ้าทำให้เกิดปัญหาต่อท่านพี่ของเจ้าหลายต่อหลายครั้ง วันนี้ เขาก็เกือบต้องตายเพราะเจ้า ต่อไปศัตรูจะพุ่งเป้ามาที่เจ้าแน่”

ครานี้น้ำตาของเด็กหญิงเยี่ยหลิงไหลพรากลงอาบแก้มทันที น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสายจนเด็กน้อยไม่ สามารถปาดเช็ดออกจนหมดอีกแล้ว

อีกฝ่ายก้าวตรงมาหาเยี่ยหลิง “เจ้าต้องหัดพึ่งพาตนเองและเข้มแข็ง มีเพียงหนทางนี้จึงจะไม่สร้าง ปัญหาให้ท่านพี่ของเจ้า ไม่สิ หนทางเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถปกป้องท่านพี่ของเจ้าได้ในภายหน้า !”

เยี่ยหลิงเงยหน้าขวับขึ้นมองเด็กหญิงตรงหน้าทันที “ท่านพี่ข้าเป็นคนเก่งมาก… ข้าจะปกป้องเขาได้ หรือ ?”

เด็กหญิงคลี่ยิ้ม “เขาเก่งมากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วนับว่ายังห่างไกล ถ้าเจ้าไปกับข้า ข้ารับรอง ว่าในอนาคตเจ้าจะเจิดจรัสจนน่าแปลกใจยิ่งกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์อันหลานซิ่วแห่งแคว้นเจียงเสียอีก !”

ผู้ที่นั่งฟังสะดุ้งตัว พลันถามออกไปว่า “ทำไม ทำไม…”

คราวนี้คนตัวเล็กคลี่ยิ้มกว้าง นางมีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “เพราะว่าในกายเจ้ามีกายาเหมันต์ ที่นับว่าเป็นกายาพิเศษหนึ่งในตำนาน ถ้าเจ้าไปกับข้ายังสำนักเหมันตอุดร  พวกเราจะใช้ความรู้และพลังที่มี ฝึกฝนให้เจ้า และทำให้เจ้ากลายเป็นหนึ่งในรายนามบนทำเนียบยอดคนตามตำนานของโลกชิงฉาง”

เยี่ยหลิงนิ่งงันไปอย่างใช้ความคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเด็กหญิงจึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าพร้อมพูดว่า “ข้ารับปากว่าจะไปกับเจ้า”

ตอนนี้ใบหน้าของเด็กหญิงสดชื่นเบิกบานยิ่งนัก ทว่าเมื่อเยี่ยหลิงพูดว่า “แต่ข้ายังอยากอยู่เป็นเพื่อน ท่านพี่สักพักก่อน…”

เด็กตัวเล็กลังเลนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า “ได้ ข้าจะกลับมาหาเจ้าทีหลัง !”

จากนั้นนางพลันหันกลับและหายวับไป

ณ ที่ว่างหน้าเตาไฟ เยี่ยหลิงยังนั่งกอดเข่ากับพื้น ทว่าสายตาว่างเปล่าจ้องมองเปลวไฟในเตาแววตา เลื่อนลอย

ค่ำคืนนั้น

ภายในหอโถงฉางหลาน ที่ที่ทุกคนมารวมกัน

กินอาหาร !

บนโต๊ะมีจานกับข้าววางอยู่นับสิบอย่าง พวกนี้ทั้งหมดต่างเป็นฝีมือของเยี่ยหลิงและเยี่ยฉวน ในระหว่าง มื้ออาหารเยี่ยหลิงคอยคีบนู่นเติมนี่ลงในชามข้าวของเยี่ยฉวนตลอดเวลา ในขณะเดียวกันทั้งโม่อวิ๋นฉีและคนอื่น ๆต่างก็มองดูอย่างเงียบ ๆ

เด็กหญิงสมกับเป็นน้องสาวร่วมสายโลหิตของเยี่ยฉวยโดยแท้ !

ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าว อาจารย์ใหญ่จี้ที่จิบสุราจากไหได้กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีข่าวไม่สู้ดีจะบอกพวกเจ้าตอนนี้สถานศึกษาฉางมู่เรียกรวมพล ในแผ่นดินชิงนี้ สถานศึกษาฉางมู่มีอยู่ทั้งสิ้น 72 แห่ง ในแคว้นเจียงมีเพียงหนึ่ง ซึ่งตอนนี้พวกเขาได้กระจายข่าวเรียกรวมพลโดยตั้งรางวัลมูลค่ามหาศาล ถ้าพูดให้ฟังง่าย ๆ คือยอด อัจฉริยะและยอดคนของสถานศึกษาฉางมู่ทั้ง 71 แห่งกำลังมุ่งหน้ามาที่แคว้นเจียงแห่งนี้”

หลังจากนั้นเขาเบนสายตาไปทางเยี่ยฉวนและไล่ไปทางคนอื่น “ต่อไปพวกเจ้ามิใช่เผชิญหน้ากับ อัจฉริยะเพียงหนึ่งหรือสอง แต่เป็นกลุ่ม และข้าไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือพวกเจ้าได้อีกต่อไป !”

เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปฉวยถ้วยซุปที่วางเบื้องหน้าขึ้นซด “งั้นพวกเราก็แค่ออกไปตีกับมัน !”

โม่อวิ๋นฉีซึ่งนั่งติดกันพยักหน้าหนักแน่น “พวกเราต้องตีมัน !”

พลันราวกับเขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปทางอาจารย์ใหญ่ถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์จี้ สถานศึกษาฉางมู่มีสาขามากมาย แล้วสถานศึกษาฉางหลานเล่า ? สถานศึกษาฉางหลานไม่มีภูมิหลังบ้างหรือ ?”

เยี่ยฉวนหันมองอาจารย์ใหญ่จี้ ด้วยตนเองเกิดความข้องใจไม่น้อยเช่นกัน

ชายชรานิ่งงันไป เขายกไหสุราขึ้นดื่มอั้กก่อนพูดเบาเป็นกระซิบ “สำนักใหญ่ของสถานศึกษาฉางหลานตั้งอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใจกลางแผ่นดินใหญ่ ที่เดียวกับที่ตั้งของสถานศึกษาฉางมู่ ทั้งสองแห่งนับเป็นสถาน ศึกษายิ่งใหญ่ทัดเทียมกัน อันที่จริงสถานศึกษาฉางหลานมีสาขาอื่นทั้งหมด 108 แห่ง อยู่ในแผ่นดินฉางหลาน…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่อวิ๋นฉีถึงกับทะลึ่งพรวดขึ้นยืน “อาจารย์จี้ ไฉนท่านไม่ทำอะไรเข้าสักอย่างขอรับ ? รีบเรียกรวมพลให้พวกเขามาช่วยเราสิขอรับ !”

ไปเจ๋อพยักหน้าเห็นด้วยมาอีกคน “รวมพลเถิดขอรับ !”

อาจารย์ใหญ่จี้ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้ !”

โม่อวิ๋นฉีสะดุ้งก่อนถามว่า “เหตุใดกันขอรับ ?”

ชายชราตอบเสียงต่ำ “สาขาสถานศึกษาฉางหลานที่นี่อยู่ในภาวะตกต่ำ… พวกเราเป็นสาขาที่อ่อนแอที่สุด… พูดกันตรง ๆ สาขาอื่นต่างดูแคลนสาขาของพวกเรา พวกเขาไม่อยากข้องเกี่ยวอีกทั้งไม่ยอมรับพวกเรา เจ้าเข้าใจหรือยัง ?”

ทุกคนนิ่งงัน “…”