เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “ไม่มีอะไร แค่ได้ยินว่าลวี่หลัวแต่งงานกับอู่อ๋อง ก็เลยเสียใจเท่านั้น”

กู้จิ้งงง “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

เซียวเถี่ยเฟิงตอบ “ไม่มีอะไร เมื่อก่อนลวี่หลัวชอบหนิวปาจิน หนิวปาจินก็ชอบลวี่หลัว”

“หา?”

กู้จิ้งตกใจไม่น้อย ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ลวี่หลัวหน้าตาสะสวยปานเทพธิดา แล้วหนิวปาจินล่ะ? ดำเหมือนถ่าน! สองคนนี้เป็นคู่รักกันอย่างนั้นรึ?

“ใช่”

“หลังจากนั้นล่ะ?” หนิวปาจินกลับไปแต่งงานมีลูกที่เขาเว่ยอวิ๋นไปแล้วไม่ใช่หรือ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านไปหมดแล้ว เขาเอาแต่นอนซึมอยู่ตรงนั้นก็ไม่มีประโยชน์ สมน้ำหน้า! ไม่สนใจเขาแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปดูที่นาของเรา”

“ที่นาของเรา?” ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องที่เธอฟังไม่เข้าใจนะ

“ใช่” ระหว่างที่พูด เขาก็หยิบโฉนดปึกหนึ่งออกมาให้ดู “นี่ไง”

“…มากขนาดนี้เชียว?”

ด้วยเหตุนี้ วันนั้นเซียวเถี่ยเฟิงจึงพากู้จิ้งขี่ม้าออกไปนอกเมือง ระหว่างทางเต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลีสีทองอร่าม เซียวเถี่ยเฟิงกอดหญิงสาวในอ้อมกอดเอาไว้ ด้านหลังมีทหารองครักษ์ท่าทางนอบน้อมตามมาเป็นกลุ่ม

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเห็นเขาต่างก็รีบหลีกทางให้

กลิ่นหอมของข้าวสาลีที่ยังไม่สุกโชยมาตามสายลม กู้จิ้งขดตัวอยู่ในอ้อมอกของเซียวเถี่ยเฟิงอย่างมีความสุข นับวันเธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ เธอแหงนหน้าขึ้นมองปลายคางของเซียวเถี่ยเฟิง “ตอนนี้กำลังจะทำสงครามไม่ใช่หรือ เรามีที่นามากขนาดนี้ ถ้ารบแพ้จะทำยังไง?”

อยู่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเช่นนี้ อะไรก็ไม่แน่นอนทั้งนั้น

เซียวเถี่ยเฟิงยกมือขึ้นหยิกเอวเธอเบาๆ ดูเหมือนว่าตรงเอวของเธอจะมีเนื้อเพิ่มขึ้นนิดหน่อย

“เจ้าจะกังวลไปทำไม มีข้าอยู่ทั้งคน”

“นายคงไม่ได้กำลังจะไปรบหรอกนะ?” เธอได้ยินมาว่าอู่อ๋องกับฮ่องเต้กำลังจะรบกัน

“เดิมก็กำลังจะไป แต่มีเจ้าแล้ว ข้ายังจะไปทำสงครามทำไมอีก”

มีกู้จิ้งอยู่ เขาย่อมไม่คิดจะขายชีวิตให้ใครทั้งนั้น ขายชีวิตแล้วบัลลังก์ก็ไม่ได้เป็นของเขา เขาจะเดือดร้อนไปทำไม เก็บชีวิตไว้อยู่กับกู้จิ้งไปตลอดชีวิตดีกว่า แถมจะว่าไป ถ้าทำสงครามจริงๆ เขาก็ไม่สามารถพาภรรยาไปด้วย แบบนั้นมิต้องแยกจากกันหรอกหรือ?

เขาไม่อยากพรากจากนางแม้แต่ชั่วขณะเดียว

“แต่ทำไมฉันถึงได้ยินมาว่าอู่อ๋องกำลังจะก่อกบฏนะ?”

“เขาจะก่อกบฏ แต่ไม่จำเป็นต้องทำสงครามนี่”

“ที่แท้เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?” ความอดทนของนางปีศาจมีขีดจำกัด ดังนั้นกู้จิ้งจึงอดหยิกเซียวเถี่ยเฟิงไม่ได้

“หลายปีก่อนข้าเคยส่งสายลับแฝงตัวเข้าไปในเมืองเอี้ยนจิง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประชวรหนัก โอรสทั้งหลายไร้ความสามารถ หากฮ่องเต้สวรรคตเมื่อไหร่ องค์ชายทั้งหลายต้องเข่นฆ่ากันเอง คราวนี้อู่อ๋องก็จะได้นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกัน”

ไม่ต้องเสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียวก็ได้แผ่นดินมาไว้ในมือ หลังจากนั้นเขาก็จะได้เอาทรัพย์สินเงินทองที่หามากลับไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรี

“แต่พี่ล่ำ ฉันว่าอู่อ๋องหวาดระแวงนายไม่น้อย ถึงเวลาจะนกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กำจัดนายทิ้งหรือเปล่า?”

ในประวัติศาสตร์มีเรื่องแบบนี้น้อยเสียที่ไหน

“อู่อ๋องดูเหมือนเป็นคนหยาบกร้าน อารมณ์ร้าย แต่จริงๆ แล้วมีจิตใจละเอียดอ่อน ตอนนั้นฮ่องเต้หวาดระแวงเหล่าอ๋อง เป็นเหตุให้เว่ยอ๋องล้มป่วยเสียชีวิต มีเพียงอู่อ๋องผู้นี้เท่านั้นที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ แต่ข้ารู้นิสัยของคนคนนี้ดี ดังนั้นจึงหาทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นเกาทัณฑ์ที่ถูกซ่อนแน่”

ยิ่งไปกว่านั้น เซียวเถี่ยเฟิงไม่ใช่คนที่มีใจทะเยอทะยานอยากครอบครองแผ่นดิน ขอเพียงได้อยู่กับกู้จิ้งไปชั่วชีวิต เขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

“สิ่งที่ข้าต้องการมีเพียงแค่บ้านหลังใหญ่ ที่นาอุดมสมบูรณ์ แพรพรรณเนื้อดี ข้าทาสบริวารเป็นกลุ่ม แล้วก็หูฉลามกับตับห่านเท่านั้น”

สิ่งที่กู้จิ้งต้องการก็คือสิ่งที่เขาต้องการ

คำพูดของเขาช่างหวานเหลือเกิน แต่กู้จิ้งฟังแล้วกลับปวดหัว

ท่อนแรกก็ฟังดูดี เธอชอบมาก แต่ตับห่านกับหูฉลามอะไรนั่น…อย่ามีจะดีกว่า!

เธอไม่อยากกิน ไม่เห็นอร่อยสักนิด!

ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นห่างไปไม่ไกลนัก เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางดึงบังเหียนบังคับม้าให้หยุด พอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นองครักษ์ของจวนอู่อ๋อง

องครักษ์ผู้นั้นพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วคุกเข่าลง “ท่านอ๋องประชวรหนัก เชิญท่านหมอกู้ไปที่จวนขอรับ”

กู้จิ้งรักษาลวี่หลัวหาย จากนั้นก็รักษาโรคฝีบนหลังได้อีก ตอนนี้เธอจึงพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ดังนั้น พออู่อ๋องป่วยหนัก หมอในจวนจนปัญญาจะรักษา เขาจึงสั่งให้ไปเชิญฮูหยินเซียวมา

“ถ้าอย่างนั้น…เรากลับไปกันก่อน?”

“อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ป่วยหนัก?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจ เห็นชัดๆ ว่าเมื่อหลายวันก่อนยังดีอยู่แท้ๆ

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่อยากล่วงเกินอู่อ๋องมากเกินไป ในเมื่ออู่อ๋องบอกว่าตัวเองป่วยหนักย่อมสมควรต้องไปดูอาการเสียหน่อย

“วันหลังเราค่อยออกมาเที่ยวกันใหม่ วันนี้ไปที่จวนอ๋องกันก่อน?”

“ตกลง”

เซียวเถี่ยเฟิงชักม้าย้อนกลับไปตามทางเดิม ไม่นานนักก็ไปถึงจวนอู่อ๋อง ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นหมอหลายคนยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าจนปัญญา ซ้ำยังมีเสียงจามถี่ๆ ดังออกมาจากในห้อง

จาม?

กู้จิ้งอดสงสัยไม่ได้

รอจนเดินตามเซียวเถี่ยเฟิงเข้าไปในห้อง เธอก็เห็นลวี่หลัวกำลังเดินวนไปมารอบๆ ตัวอู่อ๋องด้วยความร้อนใจ สาวใช้หลายคนที่ยืนอยู่ข้างๆ บ้างก็ถือผ้าเช็ดหน้าบ้างก็ถือน้ำร้อนคอยปรนนิบัติ อู่อ๋องใช้ผ้าห่มห่อตัวเอาไว้แน่น โผล่ออกมาแต่ศีรษะ บนหน้าผากมีเหงื่อชุ่มโชก แถมยังจามไม่หยุด

ลวี่หลัวเห็นกู้จิ้งมาถึง แววยินดีก็ปรากฏขึ้นในดวงตา นางรีบเดินมาหา “ในที่สุดท่านหมอกู้ก็มา รีบตรวจดูอาการของท่านอ๋องเร็ว อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้เป็นขึ้นมาอีกนะ!”

กู้จิ้งตรงเข้าไปตรวจชีพจรดู จากนั้นก็ตรวจดูดวงตา ตรวจดูลิ้น ระหว่างนั้นอู่อ๋องยังเอาแต่จามไม่หยุด บางครั้งก็จามออกมาติดๆ กันถึงเจ็ดแปดครั้ง

กู้จิ้งตรวจดูรูจมูกของอู่อ๋อง เห็นเยื่อบุจมูกซีดขาว ในรูจมูกเต็มไปด้วยน้ำมูก เธอก็พอจะคาดเดาสาเหตุได้

กู้จิ้งหันไปถามลวี่หลัว “เมื่อก่อนเคยมีอาการแบบนี้ไหม?”

“ปีที่แล้วเป็นครั้งหนึ่ง ช่วงเวลานี้เหมือนกัน!”

“ต่อมาหายดีได้ยังไง?”

“กินยาไปมากมายแต่ก็ไม่เห็นจะทุเลา แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า จู่ๆ ก็หายเอง”

กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าอู่อ๋องป่วยเป็นโรคอะไร

ง่ายมาก ไม่ได้เป็นหวัดไม่ได้เป็นไข้ แต่เป็นอาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

อาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็คือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาการเยื่อบุจมูกอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อนี้มีสาเหตุจากเซลล์ภูมิคุ้มกันกับไซโตไคน์ เป็นโรคที่เกิดจากหลายปัจจัยซึ่งมีสาเหตุจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีนกับสภาพแวดล้อม

โดยทั่วไปแล้ว โรคจมูกอักเสบประเภทนี้จะแสดงอาการในช่วงเช้าและกลางคืนเมื่อได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ หากมีอาการขึ้นมาเมื่อใดก็จะจามติดๆ กัน วันละหลายรอบ

กู้จิ้งคิดไม่ถึงเลยว่า ที่แท้ในสมัยโบราณที่มีอาการบริสุทธิ์ไร้มลพิษเช่นนี้ก็มีคนเป็นโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ด้วย

“ท่านหมอกู้ รักษาได้ไหม?” ลวี่หลัวร้อนใจมาก ดวงตาของนางมองกู้จิ้งด้วยความหวัง

“ได้ ง่ายมาก แต่ก็ยากมากเช่นกัน” อาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ได้แต่บรรเทาอาการเท่านั้น

“หมาย…หมายความว่ายังไง?” ลวี่หลัวไม่เข้าใจ

“ท่านหมอกู้ ท่านหมอกู้… ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!” อู่อ๋องคิดจะขอให้กู้จิ้งช่วยทำอะไรบางอย่างให้เขาดีขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบก็จามติดๆ กันอีกหลายครั้ง

กู้จิ้งอธิบาย “นี่คืออาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นโรคตามฤดูกาล ทุกปีในช่วงเวลานี้อาการจะกำเริบขึ้นได้ง่ายๆ แค่ทนๆ ไปเดี๋ยวก็หายเอง โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด แต่มีวิธีหนึ่งพอจะช่วยบรรเทาได้”

“ถ้าอย่างนั้นต้องทำยังไง? ท่านหมอกู้ ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” ท่านอ๋องเช่นเขากลับจามไม่หยุดจนน้ำมูกไหลย้อย ต้องให้สาวใช้ช่วยกันเช็ดให้ ดูสะบักสะบอมไม่น้อย

กู้จิ้งหันไปพูดกับเซียวเถี่ยเฟิงด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน “นายให้ใครสักคนไปหยิบน้ำเกลือที่ฉันทำไว้มาซิ”

เธอกลั่นน้ำเกลือไว้มากมาย ในกระเป๋าหนังสีดำก็มีไม่น้อย แต่อยู่ต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เธอย่อมไม่อยากให้ใครเห็นเธอหยิบของออกมาจากกระเป๋า ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดความสงสัยได้

เซียวเถี่ยเฟิงย่อมเข้าใจความหมายของเธอ เขาจึงพยักหน้ารับทันที “ได้”

ไม่นานนัก องครักษ์ของเซียวเถี่ยเฟิงก็หยิบขวดสีขาวเล็กๆ ใบหนึ่งมาตามคำสั่งของกู้จิ้ง สิ่งที่อยู่ในขวดใบนั้นคือน้ำเกลือบริสุทธิ์ที่กู้จิ้งกลั่นขึ้น ส่วนผสมของมันคล้ายกับน้ำเกลือในยุคปัจจุบันมาก

สำหรับคนที่มีอาการเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ นอกจากต้องใช้ยาช่วยระงับอาการในช่วงที่มีอาการรุนแรงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคือใช้น้ำเกลือล้างทำความสะอาดจมูกบ่อยๆ

วิธีทำความสะอาดจมูกมีหลายวิธี แต่ไม่ว่าวิธีไหนก็ต้องใช้น้ำเกลือทั้งนั้น

กู้จิ้งได้น้ำเกลือมาแล้วก็บอกให้อู่อ๋องนอนลง จากนั้นเธอก็หยดน้ำเกลือลงไปในรูจมูกของเขาข้างละหลายหยด

ทุกคนพากันขยับเข้ามามุงดูด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะลวี่หลัว นางคิดว่าอย่างน้อยกู้จิ้งก็ต้องสั่งยา คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะแค่หยดน้ำในขวดสีขาวใบนี้ใส่รูจมูกของท่านอ๋อง