ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 36 ฮ่องเต้แคว้นเฉิงขอแต่งงาน (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

แสงอาทิตย์ทะลวงผ่านชั้นเมฆ สาดส่องเข้ามาในตำหนักฉางเซิง ต้นไทรแคระที่แตกกิ่งก้านสาขาอุดมสมบูรณ์ต้นหนึ่งในห้อง ครั้นถูกแสงฤดูใบไม้ผลิสาดกระทบ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความมีชีวิตชีวาทันที

ซูหลีนั่งอยู่บนม้านั่งสลักลายดอกไม้ นัยน์ตาสงบนิ่งดั่งสายน้ำจับจ้องมองเงาตนเองในกระจก ดวงหน้าสวยสดงดงาม รอยยิ้มสดใสดั่งวสันตฤดู โม่เซียงที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้าวังมาเมื่อคืนกำลังถือหวีหยกลายเมฆาสางผมให้นางอย่างละเอียดอ่อนใส่ใจ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยนั่งอยู่ด้านหนึ่ง ชันคางทำท่าครุ่นคิด พิจารณานางอย่างละเอียด แล้วแย้มยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “วันนี้ฉางเล่อดูสดใสเป็นพิเศษ จะต้องมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นแน่ๆ”

ซูหลียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะมีเรื่องน่ายินดีใดได้เล่า ยามนี้เรื่องที่น่ายินดีที่สุด ก็คือเสด็จพี่กับฮ่องเต้แคว้นเฉิงร่วมมือกัน เช่นนี้ข้าก็เบาใจไปได้เรื่องหนึ่งแล้ว”

โม่เซียงมองซูหลีผ่านกระจก แล้วยิ้มอย่างเบิกบาน “ได้ยินว่าวันนี้ฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะเสด็จมาร่วมงานเลี้ยงในวัง ไม่แน่อาจพูดเรื่องหมั้นหมายต่อหน้าธารกำนัล เช่นนั้นองค์หญิงก็มีเรื่องน่ายินดีแล้วมิใช่หรือเพคะ…”

ซูหลีถมึงตาจ้องนางเล็กน้อย แสร้งทำหน้าบึ้งแล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้นี่! ร้องจะตามข้าเข้าวังมาให้ได้ เพื่อมาล้อเลียนข้าหรืออย่างไร?”

โม่เซียงเบะปาก แสร้งพูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “บ่าวเพียงแค่ชอบปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ องค์หญิงเท่านั้นเอง! บ่าวภักดีถึงเพียงนี้ องค์หญิงกลับไม่เห็นค่า? ท่านหญิงช่วยให้ความเป็นธรรมกับบ่าวด้วยสิเจ้าคะ!”

นายบ่าวทั้งสองสนิทสนมกันถึงเพียงนี้ เหมือนพี่สาวกับน้องสาวที่หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยอดกล่าวชื่นชมจากใจไม่ได้ “ฉางเล่อช่างรู้จักสั่งสอนคนนัก แม้แต่เด็กรับใช้ข้างกายก็ยังน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ มิน่าเล่าฝ่าบาทกับฮองเฮาถึงทรงรักเจ้าถึงขนาดนี้…”

ซูหลียังไม่ทันเปิดปาก ‘จี้ฉิง’ สาวรับใช้คนสนิทของฮองเฮาก็เข้ามาถวายบังคม

ท่านน้าจี้ฉิงที่อายุใกล้ห้าสิบปีเป็นคนน่ารักและสดใส นางเดินเข้ามาถวายบังคม แล้วกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ถวายบังคมองค์หญิง และท่านหญิงเพคะ หลายวันก่อนโรงทอผ้าส่งของบรรณาการมาให้ ฮองเฮาสั่งให้ตัดเย็บเป็นอาภรณ์ แล้วบอกให้บ่าวนำมาถวายองค์หญิง องค์หญิงทรงทอดพระเนตรดูว่าชอบหรือไม่เพคะ…”

ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยลุกขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จี้ฉิงหันไปโบกมือข้างนอก นางกำนัลสิบกว่านางเดินเรียงแถวกันเข้ามาอย่างเงียบๆ ในมือประคองถาดสีดำ บนถาดมีอาภรณ์ถูกพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ สีสันสวยงามหรูหรา อีกทั้งยังมันเงาวาววับ ดูแวบแรกก็รู้ว่าไม่ธรรมดา

สายตาของซูหลีจับจ้องไปยังเสื้อสำหรับฤดูร้อนสีเขียวอ่อนตัวหนึ่ง ดวงตานางพลันเป็นประกาย นางก้าวเข้าไปหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมา เนื้อผ้าให้สัมผัสเรียบลื่นนุ่มนวล ครั้นสะบัดเบาๆ เสื้อก็กางออก สีสันงดงามพิสุทธิ์ ดุจภูเขาเขียวถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางไอหมอกยามรุ่งอรุณ ให้ความรู้สึกนุ่มนวลสง่างามอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของศิลปะรางๆ

โม่เซียงเบิกตากว้างด้วยความตะลึง “ว้าว! เสื้อตัวนี้ทำจากอะไรกัน เหตุใดจึงงามถึงเพียงนี้เล่าเพคะ!”

สายตาของซูหลีอ่อนโยน นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “นี่ก็คือ ‘เยียนหลัว’!” นางชูเสื้อสีเขียวอ่อนในมือขึ้นทาบกับตัวตนเอง แล้วส่องกระจก ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่นางสวมเสื้อ ‘เยียนหลัว’ ของพระสนมกุ้ยเฟยพลันผุดขึ้นมาในสมอง แววตาที่ตะลึงในความงามของตงฟางเจ๋อ ทำให้หัวใจของนางพลันบังเกิดความรู้สึกอ่อนหวานขึ้นมา เหตุการณ์นั้นผ่านมานานแล้ว หากวันนี้นางสวมเสื้อเยียนหลัวตัวนี้ไปร่วมงานเลี้ยง เขาจะต้องดีใจมากแน่ๆ

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยปิดปากยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าปีนี้ ‘เยียนหลัว’ มีน้อยมาก มีเพียงหกผืนเท่านั้น แต่กลับถูกส่งมาที่นี่ทั้งหมด ดูท่าฝ่าบาทกับฮองเฮาคงอยากมอบสมบัติล้ำค่าทุกอย่างในโลกใบนี้ให้ฉางเล่อทั้งหมดจริงๆ!”

นับตั้งแต่ยืนยันความเป็นพ่อลูกกัน ไม่เพียงฮ่องเต้ที่ปฏิบัติต่อนางเช่นไข่มุกล้ำค่า แม้แต่ฮองเฮาก็รักและเอ็นดูนางมาก ซูหลีกล่าวด้วยความรู้สึกตื้นตัน “เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ดีกับฉางเล่อเหลือเกิน วันหลังฉางเล่อจะต้องไปถวายพระพรด้วยตนเองแน่นอน รบกวนท่านน้าจี้ฉิงวางของให้เรียบร้อยก่อน กลับตำหนักแล้วขอบพระทัยเสด็จแม่แทนข้าด้วย”

จี้ฉิงรับคำด้วยรอยยิ้ม แล้วสั่งเหล่านางกำนัลให้วางถาดลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค้อมกายเดินออกไป

เครื่องราชบรรณาการที่หายากเหล่านี้ ล้วนเป็นของที่นางเคยโปรดปรานเมื่อสิบกว่าปีก่อน นิ้วมือเรียวบางไล้ผ่านเสื้อเยียนหลัวเบาๆ สายตามองวนเวียนอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่เสื้อคลุมไปจนถึงกระโปรงยาว มีทั้งหมดหกตัว แต่ละตัวล้วนประณีตงดงาม นอกจากเสื้อหกตัวที่ทำจากเยียนหลัว ยังมีชุดกระโปรงผ้าไหมหลากหลายรูปแบบ ล้วนเป็นเสื้อผ้าชั้นยอด

นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับที่ทำจากหยกและมุกอีกสองถาด แต่ละชิ้นล้วนเป็นสุดยอดเครื่องประดับ งดงามและหรูหรา ปิ่นปักผมหยกลายก้อนเมฆชิ้นหนึ่งเป็นสีมรกตใส ขนาดเล็กกะทัดรัด มีไข่มุกเป็นพู่ห้อยอยู่ด้านล่าง ดูงดงามโดดเด่นเป็นพิเศษ

โม่เซียงอุทานด้วยความตกตะลึง “ปิ่นปักผมชิ้นนี้งามยิ่งนัก! เหมาะกับมวยผมขององค์หญิงในวันนี้ที่สุดแล้วเพคะ”

ซูหลีพยักหน้าอมยิ้ม โม่เซียงรับปิ่นไปปักลงกลางเรือนผมนางเบาๆ ตามคาด ปิ่นปักผมขับเน้นให้ดวงหน้าของนางงดงามยิ่งกว่าเดิม

โม่เซียงกล่าวด้วยความดีใจ “วันนี้องค์หญิงเพียงไปร่วมงานเลี้ยง ฮองเฮาก็ทรงส่งอาภรณ์และเครื่องประดับผมมาให้มากมายถึงเพียงนี้ หากองค์หญิงทรงอภิเษกสมรส เกรงว่าฝ่าบาทกับฮองเฮาคงจะส่งของมาให้จนเต็มตำหนักฉางเซิงเป็นแน่เพคะ…”

อภิเษกสมรส…ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มของตงฟางเจ๋อพลันผุดขึ้นมาในสมองทันที นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ไม่นานก็รีบกระแอมเบาๆ แสร้งทำหน้างอ แล้วกล่าวว่า “เจ้าชอบพูดถึงเรื่องแต่งงานถึงเพียงนี้ มิสู้ข้าดูตัวให้เจ้า แล้วให้เจ้าแต่งออกไปเร็วหน่อย จะได้มีสามีสมใจดีหรือไม่?”

โม่เซียงหน้าแดงผ่าว กระทืบเท้าแล้วร้องโวยวาย “องค์หญิงเอาอีกแล้วนะเพคะ!”

นางหมุนกายวิ่งออกไปทันที สองสาวมองดูแผ่นหลังของโม่เซียงที่วิ่งออกไปด้วยความอาย ก็อดหัวเราะไม่ได้

นางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูเองก็หัวเราะตามไปด้วย นับตั้งแต่องค์หญิงฉางเล่อองค์นี้มาอยู่ที่นี่ บรรยากาศในตำหนักฉางเซิงก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครที่ไม่ชอบนางเลยสักคน

เสียงหัวเราะค่อยๆ เบาลง จู่ๆ ซูหลีก็ถอนหายใจ แล้วเอ่ยเสียงเบา “เด็กคนนี้ติดตามข้ามาหลายปี ซื่อสัตย์ภักดี และปกป้องข้าเสมอมา เพื่อข้า นางลำบากมาไม่น้อย…ข้ากลับมีความคิดอยากหาครอบครัวดีๆ ให้นางจริงๆ”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบกล่าว “ในเมื่อฉางเล่อมีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็จะช่วยเจ้าด้วย”

ซูหลีเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “เช่นนั้นฉางเล่อก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยดึงมือซูหลีมาจับไว้ แล้วกล่าวว่า “ข้ากับฉางเล่อแม้รู้จักกันได้ไม่นาน แต่ข้ามักรู้สึกราวกับเราเป็นพี่น้องกัน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้มีอะไรให้ต้องขอบคุณกัน” นางหยิบอาภรณ์เยียนหลัวสีเขียวอ่อนยื่นให้ซูหลี ยิ้มแล้วบอกว่า “เสื้อตัวนี้สีสันสวยงามและเรียบหรู เหมาะกับเจ้าเป็นพิเศษ รีบไปลองเร็วเข้า”

ซูหลีลอบถอนหายใจ นางถูกใจเสื้อตัวนี้ตั้งแต่แรกเห็น ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกลับรู้ใจนางถึงเพียงนี้ นางแย้มยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อวิ๋นฮุ่ยตาดีนัก” นางกวาดตามองก็เห็นเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อนอีกตัวหนึ่ง พลันยิ้มแล้วกล่าวว่า “เสื้อตัวนั้นสีสันงามละมุน เหมาะกับอวิ๋นฮุ่ย เจ้าเองก็ไปลองด้วย!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยส่ายหน้าเบาๆ นางเอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “น้ำใจของฉางเล่อ ข้าขอรับไว้ด้วยใจ ถึงแม้ ‘เยียนหลัว’ จะเป็นของดี แต่ข้ากลับไม่ได้ชมชอบนัก”

ซูหลีชะงักงันเล็กน้อย ไม่นานก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “สายตาของอวิ๋นฮุ่ยไม่เหมือนใคร จะต้องมีความชอบที่ไม่เหมือนใครแน่นอน เจ้าชอบตัวใด?”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเม้มปาก นางยิ้มแล้วเดินไปยังถาดอีกใบ แล้วกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจ “ฉางเล่ออยากรู้จริงหรือ?”

ซูหลีเห็นสายตาของนางวนเวียนอยู่บนอาภรณ์ผ้าไหมสีเรียบง่ายตัวหนึ่ง ชุดกระโปรงตัวนั้นมีสีใกล้เคียงกับตัวที่เลือกก่อนนั้น แต่กลับไม่ได้ทำจาก ‘เยียนหลัว’ นางพลันกระจ่าง “ความชอบของอวิ๋นฮุ่ย ฉางเล่อเข้าใจแล้ว” นางหยิบชุดกระโปรงผ้าไหมสีพื้นตัวนั้นมากางออก แล้วทาบลงบนตัวอวิ๋นฮุ่ย “อืม ไม่เลว ตัวนี้เหมาะกับเจ้ากว่า”

ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม อวิ๋นฮุ่ยรับอาภรณ์ผ้าไหมไป ยิ้มแล้วกล่าวว่า “องค์หญิงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด มิเช่นนั้นหากไปสาย บุรุษในดวงใจท่านจะร้อนใจเอาได้นะเพคะ”

สองสาวเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง พวกนางช่วยกันเลือกเครื่องประดับผมที่เหมาะสมให้อีกฝ่าย เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานดังออกมาเป็นระยะ

นางกำนัลเดินเข้ามารายงานว่า องค์รัชทายาทหลางฉ่างกลับมาแล้ว ตงฟางเจ๋อฮ่องเต้แคว้นเฉิงเองก็เสด็จเข้ามาทางประตูหวาอันแล้ว

ซูหลีได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ รีบดึงมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยแล้วเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าตรงไปยังศาลาอวิ๋นไหลทันที

————————————-