ภาคแคว้นติ้ง บทที่ 37 ฮ่องเต้แคว้นเฉิงขอแต่งงาน (2)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

ตลอดทาง สองสาวพูดคุยหยอกล้อ ราวกับเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานหลายปี

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองการแต่งองค์ทรงเครื่องของซูหลี แล้วกล่าวอย่างเย้าแหย่ว่า “วันนี้ฉางเล่อแต่งกายงดงามหรูหรา ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเห็นแล้วจะต้องตะลึงนึกว่าเป็นเทพธิดาแน่นอน”

 

ใบหน้าของซูหลีแดงผ่าวเล็กน้อย ปากกลับเอ่ยหยอกเย้า “เจ้าอย่ามาล้อข้า อวิ๋นฮุ่ยแม้เกิดในวัง แต่กลับมีความรู้กว้างไกลไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเพศเลย ไม่รู้ใครจะเป็นผู้มีวาสนา สามารถสู่ขอเจ้าไปเป็นภรรยาได้”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยิ้มแต่กลับไม่ตอบคำ

 

จู่ๆ ซูหลีก็ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจ้องตานาง จากนั้นก็ถามหยั่งเชิง “เสด็จพี่เป็นเช่นไร?”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยสะดุ้ง มองหน้านางอย่างตกใจ เห็นนางแย้มยิ้ม สีหน้ารู้แจ้ง เดาว่าคงมองออกนานแล้ว นางลอบถอนหายใจ แล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “องค์รัชทายาทเป็นว่าที่ประมุขแห่งแคว้น เป็นโอรสสวรรค์ที่อยู่เหนือผู้คน ข้าเลื่อมใสในตัวพระองค์มาก แต่…สวามีที่ข้าต้องการ ต้องรักเดียวใจเดียว ส่งเสริมซึ่งกันและกัน มีความคิดและจิตใจที่ตรงกัน อยู่ครองคู่กันไปจนแก่เฒ่า มิเช่นนั้น ข้ายอมไม่แต่งงานไปตลอดชีวิต”

 

ซูหลีมองหน้านางด้วยความตะลึงงัน มิน่าเล่านางถึงได้รู้สึกถูกชะตากับอวิ๋นฮุ่ยตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ที่แท้ไม่เพียงมีนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ แม้แต่ในเรื่องความรักก็หนักแน่นไม่ต่างกันด้วย! นางอดถอนหายใจไม่ได้ “สิ่งมีค่ามักหายาก ชายที่มีรักเดียวหายากยิ่งกว่า ข้านึกว่ามีข้าเพียงคนเดียวที่ยึดมั่นในความคิดเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นฮุ่ยก็คิดเหมือนกัน”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเองก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “สตรีเราถูกกดขี่ข่มเหงจนเคยชิน มองว่าการที่บุรุษมีภรรยาหลายคน ได้ใหม่ลืมเก่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่กลับไม่รู้ว่าบนโลกนี้ก็ยังมีคนที่รักเดียวใจเดียว และยินยอมที่จะจับมือเคียงข้างไปกับคนคนเดียวไปจนแก่เฒ่า”

 

ซูหลีพยักหน้า ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยมองไปยังทิศที่ตั้งของจวนแม่ทัพ ความภาคภูมิใจและระลึกถึงเอ่อล้นในดวงตา นางกล่าวด้วยเสียงปวดใจ “ตอนท่านพ่อยังอยู่ก็เป็นคนเช่นนี้ ท่านแม่ของข้าตายเพราะข้าคลอดยาก ท่านพ่อเจ็บปวดและสิ้นหวัง หลังจากนั้นไม่รู้ว่าปฏิเสธสตรีสูงศักดิ์ไปมากน้อยเท่าใด…กระทั่งต่อมาตายในสนามรบ เขาก็ไม่เคยสู่ขอใครอีกแม้แต่คนเดียว!”

 

ซูหลีได้ยินก็รู้สึกใจสลาย บิดามารดาของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยจากโลกนี้ไปไว อยู่ในวังแม้นางมีฐานะสูงศักดิ์ และเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้กับฮองเฮา แต่กลับไม่มีความสุขเท่าได้อยู่กับพ่อแม่อย่างแท้จริง และนางก็รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียครอบครัวเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะผ่านไปนานอีกกี่ปีก็ไม่อาจปล่อยวางได้

 

ยามนี้ทั้งสองเดินมาจนถึงด้านนอกศาลาอวิ๋นไหลแล้ว ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยยังเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย ซูหลีชะงักเท้า หมุนกายหันไปกุมมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แล้วเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “แม่ทัพซั่งกวนรักมั่นถึงเพียงนี้ ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก อวิ๋นฮุ่ยเองก็อย่าเศร้านักเลย ภายหน้าหากเจ้าได้พบคนที่ชื่นชมเจ้า และพร้อมจะทะนุถนอมเจ้าไปทั้งชีวิต วิญญาณของแม่ทัพซั่งกวนและฮูหยินที่อยู่ในปรโลกจะต้องดีใจแน่นอน!”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยพยักหน้า นางกุมมือซูหลีตอบ นางเคยคิดว่าในโลกนี้จะไม่มีผู้ใดเข้าใจความคาดหวังในเรื่องความรักของนางแล้ว แม้แต่ฮองเฮาที่รักนางที่สุดก็ยังหัวเราะนางแล้วบอกว่านางเพ้อฝัน แต่ซูหลีกลับคิดเหมือนนาง เพียงเสียดายที่รู้จักกันช้าไป

 

ซูหลีหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้าเป็นเพื่อนรู้ใจ อยากได้เจ้ามาเป็นพี่สะใภ้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ได้คิดเหมือนกัน…” นางพลันบังเกิดความคิด จู่ๆ ก็ยิ้มแล้วบอกว่า “แต่ก็ไม่ใช่จะไม่มีทางออกเสมอไป ข้ายังมีพี่ชายอีกคนอยู่ที่จวนอัครเสนาบดีแห่งแคว้นเฉิง…”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยขมวดคิ้วตำหนิเสียงเบา “ฉางเล่อเอาอีกแล้วนะ! หรือบุรุษใต้ฟ้านี้มีเพียงพี่ชายของเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรกับอวิ๋นฮุ่ย?”

 

ซูหลีปิดปากหัวเราะเสียงเบา ยามนี้อีกด้านหนึ่งของศาลาอวิ๋นไหล มีคนสองคนกำลังเดินมา ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเงยหน้ามอง ก็อดยิ้มไม่ได้ “ข้าจะได้พบกับคนผู้นั้นที่เจ้าพูดถึงหรือไม่นั้นยังไม่รู้ แต่คนผู้นั้นของเจ้า อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว”

 

นางพยักพเยิดไปที่ข้างหลังซูหลี ซูหลีหันกลับไป ห่างออกไปไม่ไกล หลางฉ่างและตงฟางเจ๋อกำลังเดินมาทางนี้ เงาร่างหนึ่งขาวหนึ่งดำดูโดดเด่นไม่ธรรมดา หลางฉ่างสวมอาภรณ์สีขาวรัดเกล้าหยก สง่างามสูงส่ง ตงฟางเจ๋อสวมอาภรณ์สีดำรัดเกล้าสีทอง หล่อเหลาโดดเด่น

 

ซูหลีพลันแย้มยิ้ม นางจูงมือซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินเข้าไปถวายบังคมพร้อมกัน

 

ตงฟางเจ๋อมองเห็นนางจากที่ไกลๆ ใบหน้าหล่อเหลาพลันมีประกายอ่อนโยนพาดผ่าน ฝีเท้าเร่งความเร็วอย่างไม่รู้ตัว ซูหลีกับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยค้อมกายอย่างนอบน้อม หลางฉ่างยื่นมือประคองอากาศเล็กน้อย “ที่นี่ไม่มีคนนอก เหตุใดจึงต้องมากพิธีเช่นนี้?”

 

ซูหลีมองตงฟางเจ๋อ แย้มยิ้มให้เขาเล็กน้อย

 

วันนี้นางแต่งกายงดงามตระการตา นัยน์ตาสว่างสดใสคล้ายมีแววเสน่หาอยู่สามส่วน หัวใจของตงฟางเจ๋อสั่นไหว สายตาพลันแปรเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง ปีนั้นเขาเอาชุดกระโปรงยาว ‘เยียนหลัว’ ที่มารดาเขาเคยใส่ยามยังมีชีวิตอยู่ให้นางสวม ความงามในยามนั้นยังไม่สู้วันนี้ สตรีตั้งใจแต่งหน้าเพื่อคนที่รัก ซูหลีบรรจงแต่งองค์ทรงเครื่องถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่านางใส่ใจเขามากกว่าเดิม แล้วจะไม่ให้เขาปลื้มได้เช่นไร ภายนอกสีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม ทว่านิ้วมือยาวใต้แขนเสื้อกลับแอบกุมมือนางเงียบๆ

 

ซูหลีรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถมึงตาจ้องเขาอย่างตำหนิแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบดึงมือกลับไป ไม่รอให้ตงฟางเจ๋อทำอะไรอีก นางดึงซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเข้ามา ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอแนะนำให้รู้จัก ท่านนี้ก็คือท่านหญิงซั่งกวน”

 

ตงฟางเจ๋อจึงเพิ่งสังเกตเห็นซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตา “เป็นเจ้า!”

 

หลางฉ่างมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย “พวกท่านรู้จักกันหรือ?”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยก้าวเข้าไปถวายบังคม “มีวาสนาได้พบกันในงานชุมนุมไป่จี๋ครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นฮ่องเต้แคว้นเฉิงที่เสด็จมา อวิ๋นฮุ่ยเสียมารยาทแล้ว”

 

ตงฟางเจ๋อพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านหญิงไม่จำเป็นต้องมากพิธี รีบลุกขึ้นเถิด วันนั้นที่งานชุมนุมไป่จี๋ ท่านหญิงกล่าววาจาลึกซึ้งและตรงไปตรงมา เจ๋อเลื่อมใสยิ่งนัก”

 

ซูหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “อวิ๋นฮุ่ยเป็นถึงสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงแห่งแคว้นติ้ง ในราชสำนักมีเพียงไม่กี่คนที่เทียบเคียงนางได้ นางกล่าววาจาอย่างตรงไปตรงมากับท่าน ถือเป็นโชคดีของท่านแล้ว”

 

หลางฉ่างกล่าวอย่างเห็นด้วย “ฉางเล่อพูดถูกแล้ว อวิ๋นฮุ่ยอ่านหนังสือท่องกวีตั้งแต่ยังเล็ก ฉลาดปราดเปรื่องเกินคน หากเกิดเป็นชาย จะต้องกลายเป็นเสาหลักของราชสำนักได้แน่”

 

ซูหลีเอ่ยพลางแย้มยิ้ม “เสด็จพี่พูดถูกแล้วเพคะ ในเมื่อเสด็จพี่ชื่นชมอวิ๋นฮุ่ยถึงเพียงนี้ และเห็นว่านางเป็นบุคคลมากความสามารถที่เป็นเสาหลักได้ เหตุใดไม่ทำลายกฎเกณฑ์ดั้งเดิม แล้วให้นางเข้าไปทำงานรับใช้ชาติบ้านเมืองในราชสำนักในฐานะผู้หญิง มิใช่เป็นเรื่องดีงามหรอกหรือเพคะ?”

 

ทุกคนตกตะลึงกับวาจาของนาง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจที่สุด นับแต่โบราณบุรุษทำงานข้าราชการ สตรีอยู่เรือน ไม่เคยได้ยินว่าสตรีก็สามารถเข้าราชสำนักเพื่อร่วมว่าราชการได้ด้วย

 

หลางฉ่างมองซูหลีด้วยความตกตะลึง จากนั้นหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย นิ่งเงียบใคร่ครวญ แล้วก็ยิ้มอย่างอับจนหนทาง “ฉางเล่อพูดจาชวนประหลาดใจดังคาด แต่พี่กลับหาเหตุผลมาค้านไม่ได้! ตลอดมาข้าเลื่อมใสที่อวิ๋นฮุ่ยปราดเปรื่องและเพียบพร้อม มีความรู้กว้างไกลไม่แพ้บุรุษเพศ แต่กลับไม่เคยมอบโอกาสแสดงฝีมือให้นางเลยสักครั้ง!” เอ่ยจบก็หันไปทางซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ประสานมือแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างน่าละอายยิ่งนัก!”

 

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยรีบค้อมกายตอบ “องค์รัชทายาท อวิ๋นฮุ่ยมิบังอาจเพคะ”

 

หลางฉ่างแย้มยิ้ม เอื้อมมือออกไปหมายประคองนาง ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเหลือบเห็นฮั่วเสี่ยวหมานเดินออกมาจากด้านในศาลา ก็รีบก้าวถอย แล้วหันไปขานเรียก “เสี่ยวหมาน”

 

ฮั่วเสี่ยวหมานได้ยินเสียงขานเรียกของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ

 

หลางฉ่างหันไปมองซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย รอยยิ้มเศร้าสร้อยผุดขึ้นที่มุมปากเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น

 

ครั้นเห็นว่าหลางฉ่างก็อยู่ที่นี่ด้วย ฮั่วเสี่ยวหมานก็ขานเรียกด้วยความเบิกบาน “พี่ชายรัชทายาท! เหตุใดท่านจึงเพิ่งมา หมานเอ๋อร์รอท่านอยู่ตั้งนาน!”

 

หลางฉ่างไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ฮั่วเสี่ยวหมานหันมาถวายบังคมซูหลี “องค์หญิง พี่สาวอวิ๋นฮุ่ย!” นางไม่รู้จักตงฟางเจ๋อ จึงมองพิจารณาเขาด้วยความฉงนฉงาย แล้วถามอย่างคนปากไว “เขาเป็นผู้ใด? มาร่วมงานเลี้ยงเช่นกันหรือ?”

 

——————————-