หลางฉ่างขมวดคิ้ว กระแอมเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เสี่ยวหมานห้ามเสียมารยาท! รีบถวายบังคมฮ่องเต้แคว้นเฉิงเร็วเข้า”
ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจ รีบหันไปถวายบังคมตงฟางเจ๋อ ตงฟางเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณหนูฮั่วไม่ต้องมากพิธี”
ฮั่วเสี่ยวหมานลุกขึ้น เห็นอาภรณ์บนกายซูหลี ก็กล่าวด้วยความตะลึงในความงาม “นี่ก็คือ ‘เยียนหลัว’ ที่ผลิตใหม่ในปีนี้หรือ?! ได้ยินว่ามีเพียงหกผืน…ฮองเฮาทรงดีกับองค์หญิงยิ่งนัก!”
ในอดีตหาก ‘เยียนหลัว’ ถูกส่งเข้าวัง ฮองเฮาจะมอบให้นางหนึ่งหรือสองผืนด้วย ปีนี้กลับไม่ได้รับสักผืน ฮั่วเสี่ยวหมานรู้สึกอิจฉาซูหลีเล็กน้อย แต่ก่อนนางรู้สึกว่าฝ่าบาทและฮองเฮาดีกับนางมาก นึกไม่ถึงว่าพอองค์หญิงฉางเล่อมา กลับเป็นที่รักและโปรดปรานอย่างไม่มีใครเทียบได้
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “หากเสี่ยวหมานชอบ ไว้ไปตำหนักข้าแล้วเลือกมาสักตัว”
นัยน์ตาของฮั่วเสี่ยวหมานเป็นประกาย รีบกุมมือนางด้วยความดีใจ แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “จริงหรือเพคะ?”
ซูหลีพยักหน้าอมยิ้ม
ฮั่วเสี่ยวหมานเบิกบานใจยิ่ง แต่จู่ๆ ก็พลันชะงักงัน คล้ายเพิ่งนึกอะไรได้ นางหันไปมองหลางฉ่างอย่างกระวนกระวาย ครั้นเห็นหลางฉ่างมีสีหน้าราบเรียบ ไม่พูดอะไร หัวใจพลันจมดิ่ง นางค่อยๆ ปล่อยมือซูหลี แล้วฝืนยิ้ม กล่าวว่า “ขอบพระทัยองค์หญิงมากเพคะ แต่….ไม่เป็นไรดีกว่าเพคะ!”
ซูหลีเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใดเล่า?”
ใบหน้าฮั่วเสี่ยวหมานแดงผ่าว นางฝืนยิ้มแล้วตอบว่า “องค์หญิงใส่แล้ว…งามกว่าหม่อมฉันเพคะ!”
ซูหลีนึกสนุก เห็นสีหน้านางกระวนกระวาย ก็อดหันไปพิจารณาสีหน้าหลางฉ่างไม่ได้ ในใจกระจ่างขึ้นหลายส่วน จึงไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก ฮั่วเสี่ยวหมานผู้นี้นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่บางครั้งก็น่ารักมาก ทุกอย่างที่นางทำ คล้ายเกี่ยวข้องกับเสด็จพี่อยู่เสมอ น่าเสียดายที่เสด็จพี่เหมือนจะต้องใจอวิ๋นฮุ่ยมากกว่า แต่อวิ๋นฮุ่ย…กลับไม่ได้คิดจะอยู่ในวังหลวงแห่งนี้
หลางฉ่างหันไปทางห้องโถงชั้นหนึ่งของศาลาอวิ๋นไหล แล้วก็หันกลับมากล่าวกับทุกคน “นี่ก็สายมากแล้ว สหายเซียงคงรออยู่ข้างในแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถิด”
ทุกคนเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน ฮั่วถิงชวนและเซียงซืออวี่กำลังดื่มชาอยู่ในห้องโถง ทั้งสองพูดคุยกันบ้างเป็นครั้งคราว คนหนึ่งขมวดคิ้วแน่น คนหนึ่งใจลอย
ครั้นซูหลีกับคนอื่นๆ เข้ามาข้างใน ฮั่วถิงชวนก็รีบลุกขึ้นคารวะ เซียงซืออวี่กลับตะลึงตาค้าง สายตาของเขาจับจ้องไปที่ซูหลี ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าเหม่อลอย แม้แต่หลางฉ่างเรียกเขาก็ยังไม่ได้ยิน
ตงฟางเจ๋อไม่ค่อยพอใจนัก จ้องหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา
ซูหลีเดินเข้ามาขานเรียก “คุณชายเซียง!”
เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาราวกับข้ามผ่านช่วงเวลาอันทุกข์ทรมาน กลับไปยังวันเวลาที่ชอบที่สุด…ได้ยินเสียงขานเรียกของซูหลี เซียงซืออวี่ก็พลันได้สติ ตระหนักได้ว่าตนเองเสียกิริยา สายตาของเขาไหวระริกเล็กน้อย ความเจ็บปวดและความคะนึงหาสับสนปนเปอยู่ในสายตา ชัดเจนจนยากจะปกปิด เขารีบก้มหน้าคารวะ แล้วกล่าวว่า “องค์หญิงทรงฉลองพระองค์ชุดนี้ ทำให้ผู้น้อยเซียงนึกถึงสหายเก่าคนหนึ่งในอดีต จึงทำให้เสียมารยาท โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ซูหลียังไม่ทันเอ่ยปาก ตงฟางเจ๋อก็ยิ้มหยันแล้วกล่าวเสียดสี “การแต่งกายของชาวเกาะตงหมิงแตกต่างจากแคว้นบนผืนดินอย่างสิ้นเชิง คุณชายเห็นชุดนี้แล้วนึกถึงสหายเก่า เดาว่าแต่ก่อนคงขึ้นฝั่งบ่อยๆ ไม่ทราบว่าสหายเก่าของคุณชายเซียงเป็นสตรีน่าทึ่งปานใด ถึงได้ทำให้ท่านตราตรึงถึงเพียงนี้”
สายตาของเซียงซืออวี่ขรึมลง ไม่ได้ตอบคำถาม สายตาที่มองตงฟางเจ๋อมีแววคมปลาบพาดผ่านรางๆ
ยามนี้เอง เกี้ยวของฮ่องเต้แคว้นติ้งกับฮองเฮาถูกคนงานในวังหามมาจนถึงศาลาอวิ๋นไหล ทุกคนรีบออกไปรับเสด็จ ตงฟางเจ๋อยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคน จ้องมองเงาร่างที่ดูชราและอ่อนแอในเกี้ยวพระที่นั่งอันหรูหรา ประมุขแห่งแคว้นติ้งอันรุ่งเรืองและมั่งคั่ง!
เกี้ยวพระที่นั่งลงจอด ฮ่องเต้แคว้นติ้งค่อยๆ ลุกขึ้น ซูหลีรีบเดินเข้าไปประคองเขา “เสด็จพ่อระวังเพคะ”
สายตานิ่งขรึมของฮ่องเต้แคว้นติ้งแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน หลังจากลงจากเกี้ยว ก็เห็นซูหลีสวมชุดกระโปรงที่ทำจากผ้า ‘เยียนหลัว’ ประดับเรือนผมด้วยปิ่นปักผมที่มีเฉพาะในแคว้นติ้ง ก็ให้รู้สึกราวกับนางเติบโตมากับเขาตั้งแต่ยังเล็ก ฮ่องเต้แคว้นติ้งกุมมือซูหลีแน่น สายตารักใคร่หวงแหน ยิ้มอย่างปลื้มใจพลางกล่าวว่า “ฉางเล่อของพ่อ งดงามไม่มีใครเทียบได้ดังคาด”
ฮองเฮาเองก็ลงจากเกี้ยวโดยมีอวิ๋นฮุ่ยคอยประคองด้วยเช่นกัน ซูหลีหันไปถวายบังคมฮองเฮา ฮองเฮากุมมือนาง สายตาแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม มองพิจารณาอย่างเอ็นดู แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ผ้า ‘เยียนหลัว’ เหมาะสมกับเจ้าดังคาด ฉางเล่องามล่มเมืองถึงเพียงนี้ ไม่รู้ภายหน้าผู้ใดจะมีบุญได้เป็นราชบุตรเขยของแคว้นติ้งเรา!”
ซูหลีกล่าวเสียงเบา “เสด็จแม่!” สายตากลับอ่อนโยนเต็มไปด้วยแววเสน่หา ชำเลืองมองไปทางตงฟางเจ๋อ
หลางฉ่างแนะนำ “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ ท่านนี้ก็คือฮ่องเต้แคว้นเฉิงพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อก้าวเข้ามาคารวะ “ฝ่าบาท ฮองเฮา”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งหันไปมองตงฟางเจ๋อ สายตาพลันสะดุดไปเล็กน้อย ประมุขแห่งแคว้นอันดับหนึ่งในยามนี้ กลับเยาว์วัยหล่อเหลา ราศีเจิดจรัส สมคำร่ำลือดังคาด ครั้นนึกได้ว่าเป็นเพราะคนผู้นี้ ฉางเล่อของเขาจึงต้องกระโดดแม่น้ำหลานชาง สายตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหลายส่วน
เห็นตงฟางเจ๋อค้อมกายอย่างที่ผู้น้อยควรจะทำ ฮ่องเต้แคว้นติ้งกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นถึงประมุขแห่งแคว้น อีกทั้งยังเป็นแขกจากแดนไกล ข้าไม่อาจรับการคารวะเช่นนี้จากท่านได้”
ตงฟางเจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติ “ท่านกับข้าแม้เป็นประมุขแห่งแคว้นเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้แคว้นติ้งก็เป็นบิดาของซูซู จึงถือเป็นผู้อาวุโสของเจ๋อ มารยาทนี้ ท่านสมควรได้รับ”
เพื่อรับตัวซูหลีกลับแคว้นโดยเร็ว เขายอมลดฐานะ และผ่านเรื่องยากลำบากด้วยใจ ซูหลีมีหรือจะดูไม่ออก ครั้นเห็นใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งขรึมลงเล็กน้อย เดาว่าคงยังปล่อยวางเรื่องที่นางกระโดดแม่น้ำในอดีตไม่ได้ นางดึงแขนเสื้อฮ่องเต้แคว้นติ้งเบาๆ แล้วขานเรียกเสียงเบา “เสด็จพ่อเพคะ!”
ฮ่องเต้แคว้นติ้งหันมามองใบหน้าอ้อนวอนของธิดาอันเป็นที่รัก ก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเดินทางมาไกล สมควรได้รับการต้อนรับอย่างดี องค์รัชทายาท เชิญฮ่องเต้แคว้นเฉิงเข้าไปนั่งเถิด”
ซูหลีคลายใจลงเล็กน้อย รอยยิ้มพาดผ่านดวงตา ฮ่องเต้แคว้นติ้งตบหลังมือนางเบาๆ ยิ้มอย่างรักใคร่และเอ็นดู แต่กลับไม่อาจปกปิดความเป็นห่วงและความจนใจในสายตา
หลางฉ่างกล่าวเชื้อเชิญ “ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเชิญเถิด!”
ตงฟางเจ๋อกลับถอยหลังหนึ่งก้าว “ฮ่องเต้แคว้นติ้งเชิญก่อนเถิด!”
เขาถ่อมตนถึงเพียงนี้ แม้แต่หลางฉ่างเองก็ยังประหลาดใจ ซูหลีอดยิ้มอย่างชื่นชมไม่ได้ ไม่พูดมากความอีก รีบประคองฮ่องเต้แคว้นติ้งเข้าไปในห้องโถง จากนั้นทุกคนก็เดินตามเข้ามานั่งประจำที่
ฮ่องเต้แคว้นติ้งกับฮองเฮาเดินมานั่งตำแหน่งประธาน ซูหลีหมายจะถอยหลังไปนั่งที่ตนเอง ฮ่องเต้แคว้นติ้งกลับดึงมือนาง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฉางเล่อมานั่งข้างข้า เด็กๆ นำเก้าอี้มาเพิ่ม องค์หญิงจะนั่งกับข้า!”
ทุกคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ซูหลีเองก็ตะลึงงันเช่นกัน หมายจะพูดอะไรบางอย่าง ฮั่วถิงชวนกลับขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นก่อนว่า “ฝ่าบาททรงรักและเอ็นดูองค์หญิง กระหม่อมเข้าใจ แต่หากจะให้องค์หญิงนั่งตำแหน่งสูงกว่าองค์รัชทายาท เป็นเรื่องไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ”
หลางฉ่างกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ข้าเชิญฮ่องเต้แคว้นเฉิงและคุณชายเซียงมาร่วมงาน หนึ่งเพื่อต้อนรับการมาเยือนของฮ่องเต้แคว้นเฉิง และฉลองเนื่องในโอกาสที่แคว้นติ้งและแคว้นเฉิงร่วมมือกัน สองเพื่อเป็นการขอบคุณคุณชายเซียงที่ช่วยชีวิตข้าและฉางเล่อไว้ เสด็จพ่อเชิญฉางผิงโหวมาร่วมงานด้วย เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่าแคว้นติ้งเราให้ความสำคัญกับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่านขนาดไหน ฉางผิงโหวเพียงทำหน้าที่ของตนเองให้ดี นี่จึงจะเป็นเรื่องที่สมควรที่สุด!”
สายตาของหลางฉ่างเฉยชา เอ่ยวาจาไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ฮั่วถิงชวนหน้าดำหน้าแดง หมายจะโต้แย้ง ฮองเฮากลับยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฉางผิงโหวคิดมากไปแล้ว ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงส่วนตัว เหตุใดต้องเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบ? ฉางเล่อเร่ร่อนอยู่นอกวังตั้งแต่เกิด ยามนี้เพิ่งกลับมาอยู่ข้างกายฝ่าบาท จะได้รับความรักจากฝ่าบาทเป็นพิเศษก็เป็นเรื่องธรรมดา ฉางผิงโหวก็เป็นบิดาที่เอ็นดูธิดามาก คิดว่าคงเข้าใจฝ่าบาทเป็นอย่างดี”
ฮั่วถิงชวนหันไปมองฮั่วเสี่ยวหมานที่แอบเดินมายืนข้างหลังหลางฉ่างเงียบๆ แล้วถอนหายใจอย่างจนใจ ในที่สุดก็ยอมนั่งลง
เซียงซืออวี่กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงรักใคร่องค์หญิงถึงเพียงนี้ องค์รัชทายาทกับองค์หญิงมีสายสัมพันธ์พี่น้องอันลึกซึ้ง ฮองเฮากับฝ่าบาททรงครองรักสมัครสมาน ครอบครัวราชวงศ์ก็มีความรักที่อบอุ่นเช่นนี้อยู่ด้วย ช่างน่าอิจฉายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ!”
สายตาของเขาหม่นหมอง สีหน้าดูเจ็บปวดรางๆ ตงฟางเจ๋อกระดกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณชายเซียงซาบซึ้งถึงเพียงนี้ หรือเคยพบเห็นราชวงศ์ที่เย็นชาต่อกัน?”
————————————-