ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 312 กระแทกเจ้าหัวร้างข้างแตก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อุโมงค์ดำอันบ้าระห่ำกลางท้องฟ้านั่น ไม่เพียงเชื่อมไปยังนพยมโลกอันน่าหวาดผวาเท่านั้น มิติที่บิดเบี้ยวยังก่อตัวเป็นพลังทำลายล้างมหาศาล

จอมยุทธ์ที่ถูกม้วนเข้าไปในนั้น มีร่างของหลายคนขณะเข้าใกล้อุโมงค์ดำ ก็ถูกมิติที่แยกออกฉีกร่างกระจุย!

ผู้อาวุโสเก่าแก่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พานป๋อไท่ที่เจ็บสาหัสแล้ว ส่งเสียงตะคอกเดือดดาลสะท้านฟ้าออกมา “เยี่ยนจ้าวเกอ! เยี่ยนตี๋!”

ท่ามกลางเสียงแผดก้องเดือดดาล ร่างกายครึ่งท่อนของเขาถูกอุโมงค์ดำกลืนมิด ทว่ามิติบังเกิดความบิดเบี้ยวซ้อนกันเป็นจีบ

ร่างกายพานป๋อไท่บาดเจ็บไร้กำลังต่อต้าน เรือนกายถูกพลังมิติน่าพรั่นใจสะบั้นเอวโดยพลัน!

มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมพานป๋อไท่ผู้ซึ่งรุ่นอาวุโสเดียวกันกับพวกหวงกวงเลี่ยและหยวนเจิ้งเฟิง ท่องยุทธจักรนานแรมปี ร่วงโรยอยู่ในมิติโดยพลัน!

ผู่จ้าวจวินผู้ซึ่งเป็นผู้นำเจ็ดสุริยันรุ่นนี้ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ หลินเทียนเฟิงแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ ยังมีผู้อาวุโสเก่าแก่ท่านหนึ่งของตำหนักอัสนีสวรรค์ ก็ถูกม้วนเข้าสู้ภายในอุโมงค์ดำไปพร้อมกัน

มหาค่ายกลสีแดงหม่นน่าหวาดหวั่นกลางท้องฟ้า กับอุโมงค์ดำนั่นในชั่วขณะนี้ ยึดจิตดูดวิญญาณ ก่อการสังหารหมู่ศัตรูที่รุกรานกว่างเฉิง ส่งไปฝังศพหมดสิ้น

ในอุโมงค์ดำ แสงสีทองจุดหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ ดิ้นรนไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ มาตรสุริยันวัดสวรรค์นั่นเอง

กระนั้นบัดนี้มาตรสุริยันวัดสวรรค์เสียการควบคุมจากเจ้าของไป แม้พลังจะแกร่ง ทว่ากลับก็ค่อยๆ ถูกม้วนไปโดยสมบูรณ์ในที่สุดเช่นกัน ไม่เห็นร่องรอยอีก!

หวงกวงเลี่ยดิ้นรนหลุดพ้นมาจากการปกคลุมของแสงโชติช่วงมหาค่ายกลสีแดงหม่น เขาเหินบินออกไปไกลลิบ ก่อนจะหันศีรษะกลับทอดมองไปยังอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตน ที่ขณะนี้โดนอุโมงค์ดำกลืนกินหมดสิ้นในที่สุด

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนในขณะนี้ ปราณแล่นปราดสู่ยอดศีรษะ จนแทบอยากกระอักโลหิต

มาตรสุริยันวัดสวรรค์ ของล้ำค่าของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เขามีส่งทอดมานานหลายปี เป็นสัญลักษณ์ของสำนักเสมอมา และก็เป็นที่พึ่งสำคัญที่ประจักษ์ทั่วหล้าของสำนักเช่นกัน

ในยามที่ภายในสำนักไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ หรือเฉกเช่นยามที่ก่อนหน้าหวงกวงเลี่ยเขาจะเข้าฌาน ก็เป็นมาตรสุริยันวัดสวรรค์ประคองสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ไว้ไม่ให้ล่มสลาย ผูกมัดชื่อเสียงอันเลืองลือไม่ให้เสื่อมลง และสู้รบปรบมือกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

แม้สำนักจะอ่อนแอลงชั่วขณะ แต่ก็ยังมีรากฐานพอที่จะไม่ให้คนอื่นกล้ารุกราน

เฉกเช่นชุดคลุมนภาของเขากว่างเฉิง และขวานจามสวรรค์ของเขาไร้พรมแดน

ซึ่งสาเหตุที่หลายปีมานี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ยึดอันดับหนึ่งในบรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกแปดพิภพอย่างมั่นคง ก็เป็นเพราะมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์หวงกวงเลี่ย กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาตรสุริยันวัดสวรรค์ดำรงอยู่ด้วยกัน เป็นหนึ่งลำพังในโลกแปดพิภพก่อนหน้านี้ สามารถล้ำเหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นได้เต็มตัวสมปรารถนา

หวงกวงเลี่ยกักตนเข้าฌานอย่างขื่นขมแรมปี ก่อนหน้าสงครามถังตะวันถูกเขากว่างเฉิงบุกตอบโต้อัคคีพิภพ ล้วนอดกลั้นอย่างหนักไม่ได้ออกฌาน

เมื่อครานี้ทะลวงด่านกั้นออกมา บำเพ็ญเพียรเป็นไปได้ด้วยดี ระดับพลังฝึกปรือรุดหน้าขึ้นอีกขั้นได้สำเร็จ อำนาจชื่อเสียงลือลั่นอย่างแท้จริง ทำให้ทั่วทั้งโลกแปดพิภพต้องเหลือบตามอง

แม้แต่ตำหนักอัสนีสวรรค์พันธมิตรแต่เดิม ล้วนเริ่มรู้สึกไหวหวั่น

ครั้นหวงกวงเลี่ยเริ่มบุกรุกเขากว่างเฉิง สาเหตุที่เขาไม่ได้ใช้มาตรสุริยันวัดสวรรค์ ประการหนึ่งเป็นเพราะคาดการณ์เวลาออกฌานของหยวนเจิ้งเฟิงผิดไป อีกทั้งยังมีความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม

อีกประการหนึ่ง นั้นเพื่อสยบตำหนักอัสนีสวรรค์และเขาไร้พรมแดน

หวงกวงเลี่ยพกมาตรสุริยันวัดสวรรค์ขึ้นเหนือยังนภาพิภพมาด้วยครานี้ เสมือนตะวันลอยเวหาจริงๆ พลังแผ่กระจายหมื่นลี้ประดุจพยัคฆ์ ราวกับจะขจัดใต้หล้าก็ไม่ปาน

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ไรเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในโลกแปดพิภพปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพลังความสามารถหรืออิทธิพลชื่อเสียง ล้วนพุ่งสูงขึ้นอยู่ตรงนี้

สำนักเขากว่างเฉิงที่เป้าหมายอันดับหนึ่งยังเป็นการที่เจ้าสำนักกักตนเข้าฌาน ขณะเดียวกันก็เพิ่งประสบหายนะ

สงครามเดือดยังคงไม่ได้เริ่มต้น ผลสุดท้ายก็คล้ายว่ากำหนดไว้แล้ว

จวบจนต่อมาหยวนเจิ้งเฟิงประสบผลสำเร็จทะลวงด่านขวางกั้นออกมา เผยพลังความสามารถอันน่าตื่นตะลึงให้เห็นมากขึ้น หวงกวงเลี่ยเองก็ความมั่นใจเต็มเปี่ยม

อย่างมากเพียงแค่เสียใจอยู่บ้าง ที่ความได้เปรียบของฝ่ายตนไม่เด่นชัดขนาดนั้นอีกต่อไป

ทว่าแม้จะไม่อาจยึดสำนักเขากว่างเฉิงได้ ตนเองกับเหล่าฝูงชนใต้บัญชาสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถถอยกลับได้เต็มตัว ดำเนินการกดดันอยู่รอบนอก บีบบังคับพวกหยวนเจิ้งเฟิงให้ไม่กล้าออกจากประตูสำนักเขากว่างเฉิง ไม่กล้าออกห่างจากมหาค่ายกลนภา

ทำเช่นนี้แล้ว เกาะอื่นทั้งสี่ของนภาพิภพยกเว้นเกาะนภากลาง รวมทั้งดินแดนของวายุพิภพ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ล้วนสามารถเก็บเข้าถุงกระเป๋า ควบตะบึงไปได้

หากแต่หวงกวงเลี่ยไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึง ว่าท้องฟ้าจะปรากฏค่ายกลมฤตยูอันน่าตื่นตะลึง

หากไม่ใช่เขารับมือได้ทันท่วงที และเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด แม้แต่ตัวเขาเองอาจล้วนโดนอุโมงค์ดำนั่นดูดเอาไว้

ตอนนี้แม้ตนเองจะหลีกพ้นแล้ว ทว่ายอดฝีมือสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่มาเยียบเขากว่างเฉิงในครานี้ ดับสิ้นทั้งกองทัพ

ซ้ำยังเสียมาตรสุริยันวัดสวรรค์อันล้ำค่าถึงที่สุดของสำนักไป!

ชั่วขณะนี้ หวงกวงเลี่ยถึงขั้นรู้สึกว่าเขาไม่รู้จะอธิบายกับปฐมาจารย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แต่ละยุคในอดีตอย่างไรดี

ในอีกความหมายหนึ่งคือ หวงกวงเลี่ย กับหยวนเทียนที่ก่อนหน้านี้มาเหยียบประตูสำนักเขากว่างเฉิง ทำผิดพลาดเหมือนกัน ถึงขั้นก่อเกิดความพ่ายแพ้สูญสิ้น

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ในฐานะผู้ที่ระดับสุดยอดที่สุดในโลกแปดพิภพยุคปัจจุบัน และล้วนท่องยุทธจักรมาอย่างโชกโชน ก่อนหน้าที่จะปฏิบัติการ ต่างก็จะเหลือกลเม็ดไว้บ้าง ป้องกันเกิดเหตุไม่คาดฝันฉับพลัน

กระนั้นเหตุสุดวิสัยที่พวกเขาเผชิญ เหนือความคาดคิดอย่างแท้จริง ยากคาดการณ์ล่วงหน้า

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงล้วนเกิดโศกนาฏกรรม

หวงกวงเลี่ยถึงแม้จะปล่อยมาตรสุริยันวัดสวรรค์ทิ้งไป ส่วนตนเองพยายามสลัดให้พ้น ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงกลับหาได้ปล่อยเขาไปไม่

โจมตีกระบวนท่าฝ่ามือนภากว่างเฉิงท่าหนึ่งมาดังอื้ออึง หวงกวงเลี่ยยังไม่ทันได้ตั้งมั่น ทำได้เพียงพยายามต้านทาน

กระนั้นหลังจากหยวนเจิ้งเฟิงโจมตีด้วยฝ่ามือ ก็ต่อด้วยดาบหนึ่งทันที!

ด้านหลังฝ่ามือนภากว่างเฉิง ตามติดด้วยดาบนภาไร้จำกัด

หวงกวงเลี่ยร้องตะโกนเดือด โซเซถอยไม่เป็นกระบวน หนีออกไกลลิบ ไม่หยุดอยู่กับที่อีก

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือนออกฌานโดยสมบูรณ์ ปรารถนาการต่อสู้แรกทำลายล้างใต้หล้า ย่ำเท้าลงเขากว่างเฉิงแพ้พ่ายหัวร้างข้างแตก

หยวนเจิ้งเฟิงไม่ได้เร่งไล่ตามไป สืบเท้าบนโลก เส้นสายตามองยังอีกทิศทางหนึ่ง “พวกท่านทั้งสองว่าอย่างไร?”

ที่นั่นมีสองลมปราณที่แก่กล้าอย่างยิ่งดำรงอยู่ ระหว่างทั้งสองฝ่ายเดิมกำลังระแวดระวังหยั่งเชิง ทว่าบัดนี้กลับเบนความสนใจไปอยู่บนอุโมงค์ดำอันน่าพรั่นพรึงบนท้องฟ้าเหนือเขากว่างเฉิงนั่น

ตามที่หลังจากฝังศพฝูงชนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์แล้ว ในที่สุดอุโมงค์ดำน่าพรั่นพรึงนั่น ก็เริ่มเลือนหายไปอย่างเชื่องช้า

“หยวนเจิ้งเฟิง…” เสียงทุ้มต่ำดุจสายฟ้ากระหน่ำเสียงหนึ่งทอดส่งมา “เขากว่างเฉิง อุบายนี้ช่างเล่นได้งดงามจริงๆ!”

หยวนเจิ้งเฟิงเพ่งมองทิศทางที่เสียงทอดส่งมาอย่างเงียบๆ “เฉินลี่ ตำหนักอัสนีสวรรค์เจ้าคิดมาเอาเปรียบเขากว่างเฉิงข้า ก็ควรลงสนามต่อสู้อย่างคาดไว้ด้วยว่าอาจปราชัย”

พลังปราณของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าสีเขียวสั่นคลอน สะเทือนฟ้าดินไปทั้งสี่ทิศ ในนั้นมีเพลิงโทสะที่ระงับไว้ไม่อยู่ “เหอะ อุโมงค์ดำนั่น เป็นทางสัญจรเขตแดนที่ย้อนกลับ ในนั้นเชื่อมไปยังนพยมโลกกระมัง?”

“เขากว่างเฉิงเจ้ามีความเกี่ยวข้องภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลกจริงๆ ด้วย! หอคลื่นโหมเองก็รับพวกเจ้าไม่ได้ ผู้อาวุโสโม่ ปราชญ์ภาพวาดเองก็จะไม่นั่งดูเฉยๆ อีกแน่!”

“หยวนเจิ้งเฟิงเจ้าสำเร็จขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว สามารถต้านทานคนทั่วหล้าได้หรือ?”

เฉินลี่เอ่ยเสียงทุ้ม “ฉู่เหยี่ยน เขาไร้พรมแดนเจ้าว่าอย่างไร?”

ฉู่เหยียน ‘เหยี่ยวบรรพตเหนือ’ เจ้าสำนักเขาไร้พรมแดนรุ่นปัจจุบัน ผู้ควบคุมขวานจามสวรรค์นิ่งเงียบไม่พูด พลังปราณเปี่ยมพลังของขวานจามสวรรค์สั่นไหวเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้เผยเจตนาอันเป็นปฏิปักษ์ต่อเขากว่างเฉิงแต่อย่างใด เพียงแค่หวาดกลัวประตูย้อนกลับยังนพยมโลกที่ปรากฏบนท้องฟ้าเมื่อครู่เท่านั้น

หยวนเจิ้งเฟิงหัวร่อเหอะๆ พลางกล่าว “เฉินลี่ เจ้าคลุกคลีกับตาเฒ่าหวงนานแล้ว ยังติดนิสัยแย่ๆ ที่ชอบเที่ยวชี้นิ้วตัดสินคนอื่นของเขามาด้วย”

เฉินลี่เอื้อนเอ่ยด้วยความเยือกเย็น “การโคจรของมหาค่ายกลคุ้มกันเขาของเขากว่างเฉิงเจ้า เปิดออกเป็นเส้นทางไปยังนพยมโลกอย่างคาดไม่ถึง นี่ไม่อาจเล่นลิ้นได้”

บนยอดเขาพายุสะท้าน เยี่ยนจ้าวเกอช้อนสายตาขึ้นทอดมองฟากฟ้า ยลมหาค่ายกลนภาบนปลายยอดเขาตนที่เปลี่ยนจากสีแดงหม่นเป็นสีขาวใหม่อีกหน พลางรำพันอย่างเชื่องช้าว่า “ประมุขตำหนักเฉินเข้าใจผิดแล้ว ในส่วนที่เหลือจากการทำลายล้างภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต เพื่อที่จะขัดขวางไม่ให้นพยมโลกมาเยือน สำนักข้าพยายามเต็มกำลัง สุดท้ายอาศัยมหาค่ายกลคุ้มกันเขาของสำนักจึงจะสามารถผนึกประตูมาเยือนของนพยมโลกไว้”

“เพียงแต่ทำเช่นนี้แล้ว ทำให้มหาค่ายกลคุ้มกันเขาของสำนักข้ารับภาระหนักอย่างยิ่ง ถ้าหากยังได้รับการโจมตีจากศัตรูนอกอีกล่ะก็ เช่นนั้นย่อมยากเลี่ยงรับภาระหนักเกินจะทนไหว ก่อเกิดความเปลี่ยนแปลงเมื่อสักครู่ ผลเช่นนี้พวกข้าเองก็แปลกใจยิ่งเช่นกัน เคราะห์ดี ทางสัญจรนั้นย้อนกลับ”

“สำนักข้าเสียสละอย่างมากจริงๆ ด้วยอันตรายที่สำนักแบกรับไว้แทนโลกแปดพิภพเป็นมหันตภัยอันใหญ่หลวง”

“เพื่อแปดพิภพ เพื่อโลกมนุษย์ เป็นหน้าที่อันพึงปฏิบัติที่สำนักกว่างเฉิงข้าไม่อาจบอกปัดได้ และก็ไม่คาดหวังการตอบแทนคุณอะไร เพียงแต่หวังว่าทุกท่านจะคิดตรงกัน สามารถเห็นใจได้สักหน่อย”

“อย่างน้อย ก็อย่ามาแตะต้องมหาค่ายกลนภาของสำนักข้า หาไม่แล้วผู้ใดก็ไม่อาจรับประกันได้ว่ายังจะบังเกิดเรื่องอะไรอีก”

“และก็ถือว่าทุกคนร่วมมือร่วมใจ ต่อต้านหายนะนพยมโลกร่วมกัน”

……………