ภาค 4 กวาดล้างหมื่นลี้ บทที่ 311 ค่ายกลมฤตยูของเยี่ยนจ้าวเกอ!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ปลายยอดเขาพายุสะท้าน ลายเส้นแต่ละสายร้อยเข้าด้วยกัน ดูไปแล้วธรรมดาไม่แปลกใหม่ เหมือนกับเด็กใช้ไม้พลองขีดๆ เขียนๆ ไก่เขี่ยไปบนพื้นอย่างไรอย่างนั้น

ทว่าชั่วขณะก่อนหน้ายังไม่เห็นลวดลายส่วนที่แปลกเฉพาะตัวแม้แต่น้อย ชั่วขณะถัดมา บนลวดลายอันธรรมดา ก็ทอแสงขมุกขมัวขึ้น ตามการย่ำเท้าของเยี่ยนจ้าวเกอ

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าช้าๆ แล้วปล่อยออกอย่างช้าๆ เช่นกัน จากนั้นถึงค่อยยกฝ่ามือของตนขึ้น

เขาพลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น แล้วจึงฟาดฝ่ามือหนึ่งไปที่กลางลวดลายค่ายกลบนปลายยอดเขาพายุสะท้าน

ค่ายกลเปล่งประกายแสงวาวโรจน์ โคจรขึ้นมาอย่างฉับไว

ระหว่างกลุ่มยอดเขาของเขากว่างเฉิง พลันมีกระแสปราณพิศวงหลากสายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

กระแสปราณทั้งหมดแบ่งออกเป็นเก้าสาย ภายในกระแสปราณทุกสาย ล้วนมีลำแสงสีแดงสดส่องสว่างวาบวับ แปลกประหลาดไม่อาจคาดเดา

หยวนเจิ้งเฟิงที่กำลังประมือกับหวงกวงเลี่ย บัดนี้แววตาของเขาไหววูบ ในลูกตาดำทั้งสองดวงล้วนปรากฏลวดลายค่ายกลของมหาค่ายกลนภาขึ้น

จากนั้น ลวดลายค่ายกลในลูกตาดำซ้ายเขาก็ค่อยๆ กระจายหายไป

ด้านหลังแผ่นหลังของเขามียันต์ประทับสายหนึ่งส่องแสงสว่างระยับ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสเหอทิ้งเอาไว้บนร่างเขา ในตอนที่เพิ่งออกฌานก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกับที่ผู้อาวุโสเหอทิ้งยันต์ประทับไว้อีก ก็ส่งกระแสจิตอธิบายสถานการณ์ด้วยความเร็วสูงสุด

ขณะนี้หยวนเจิ้งเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว ขับเคลื่อนพลังชุดคลุมนภา ต่อต้านหวงกวงเลี่ยเต็มกำลัง

หวงกวงเลี่ยรู้สึกเพียงว่าแรงกดดันที่หยวนเจิ้งเฟิงส่งให้ตนเองพลันลดน้อยลง

จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ตะวันเยือน ผู้แก่ชราไปกับการร่อนเร่กลับไม่ได้รู้สึกดีอกดีใจด้วยเหตุนี้แต่อย่างใด หยวนเจิ้งเฟิงเสื่อมทรุดเป็นม้าตีนปลายหรือไม่ เขากระจ่างชัดอย่างยิ่งยวด

หยวนเจิ้งเฟิงเหมือนเช่นเขา ล้วนออกฌานโดยสมบูรณ์ สภาพร่างกายกำลังถึงช่วงขีดสูงสุด ไม่มีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย

พลังอ่อนกำลังลง เพียงเพราะพลังมหาค่ายกลนภา ไม่เสริมหนุนบนร่างของหยวนเจิ้งเฟิงทั้งหมดอีกต่อไป

กระนั้นแล้ว พลังอีกส่วนหนึ่งของมหาค่ายกลนภา ตอนนี้ไปอยู่ที่ใดแล้ว?

บนยอดเขาพายุสะท้าน ลูกตาดำซ้ายของเยี่ยนจ้าวเกอพลันมีแสงสีขาวเปล่งประกาย ในแสงขาวมีแสงทองสามจุดสว่างวาบผ่านไป ชั่วขณะถัดมา ลวดลายค่ายกลของมหาค่ายกลนภาก็ปรากฏอยู่ในลูกตาดำซ้ายเยี่ยนจ้าวเกอ

เขากดฝ่ามือขวาไปบนพื้นดิน มือซ้ายกลับเหยียดออกไปบนท้องฟ้า

ลวดลายค่ายกลที่ปรากฏมหาค่ายกลนภากลางอากาศ ผสานเข้ากับกระแสปราณสีแดงอันพิศวงแต่ละสายที่พุ่งขึ้นจากกลุ่มเขากว่างเฉิงขึ้นสู่ฟากฟ้า ตามที่เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือ

ลวดลายมหาค่ายกลนภาที่เดิมทีส่องสว่างลำแสงสีขาว ค่อยๆ ถูกย้อมทับด้วยสีแดงพิลึกชั้นหนึ่งในชั่วขณะนี้

ในเวลาเดียวกัน เบื้องล่างยอดเขาอรรณพหลังเขา ในหุบเขาผนึกเวหา

ที่แห่งนี้ตระหง่านขึ้นด้วยเจดีย์สูงองค์หนึ่ง

รูปร่างลักษณะของเจดีย์สูง เฉกเช่นเจดีย์สูงองค์นั้น ศูนย์กลางมหาค่ายกลแดนมารก่อนหน้านี้ที่ชักนำนพยมโลกมาเยือน

เพียงแต่เจดีย์สูงองค์นี้กลับไม่ใช่สีทองแต่อย่างใด บนพื้นผิวไม่มีลวดลายค่ายกลสีดำราวกับสายโซ่พันอยู่รอบเช่นกัน อีกทั้งยอดเจดีย์ไม่มีประตูแสงสีแดงอันแปลกประหลาด

ทั่วทั้งเจดีย์สูง แผ่กระจายลำแสงสีแดงหม่นออกมา

เพียงแต่ลำแสงเหล่านี้ หลังจากผ่านการจัดการด้วยวิธีพิเศษของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ก็ไม่แผ่กระจายออกมาแต่อย่างใด ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาผนึกเวหาอันมืดมน

เจดีย์สูงสีแดงหม่นนี้ ก็เหมือนเช่นลวดลายค่ายกลก่อนหน้านี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอสลักบนยอดเขาพายุสะท้าน และไม่มีพลังปราณใดๆ พรั่งพรูออกมาเช่นกัน

บนเจดีย์สูงสีแดง เงาร่างคนผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ ซึ่งก็คือฟางจุ่น

เขารอคอยอย่างเงียบๆ ตลอดเวลา รอจังหวะบุกโจมตี แม้ว่าในตอนที่อันตรายที่สุดที่ศัตรูบุกเขาเมื่อครู่ ก็ยังคงไร้การเคลื่อนไหวใดๆ เช่นกัน

เวลานี้รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขากว่างเฉิงและมหาค่ายกลนภา ภายในดวงตาทั้งสองของฟางจุ่นก็มีแสงโชติช่วงทอประกาย

ฟางจุ่นเพียงเคลื่อนไหวเรียบง่ายอย่างหนึ่ง นั่นก็คือผุดลุกออกจากเจดีย์สูงสีแดงหม่นองค์นั้น

เจดีย์สูงแดงหม่นที่ก่อนหน้านี้เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ขณะนี้พลันเปล่งแสง ตามที่ฟางจุ่นผุดลุกขึ้นออกไป

กระแสปราณแดงหม่นอันน่าพิศวงทั้งเก้าสายระหว่างกลุ่มเขากว่างเฉิง พลางล่องลอยขึ้นฟ้า ผสานเข้ากับลวดลายมหาค่ายกลนภากลางอากาศ พลางซ่อนเร้นสู่เบื้องล่าง พลางรวมกันอยู่ภายในหุบเขาผนึกเวหาพร้อมๆ กัน

สายโซ่หนาใหญ่ทั้งเก้าสายพุ่งออกไปในอากาศโดยไม่มีที่ยึดเหนี่ยว พันไปบนเจดีย์สูง พร้อมกับแสงแวววาวสีแดงหม่น

เจดีย์สูงสีแดงสั่นสะเทือนดังอื้ออึง ขนาดของมันไม่ได้เพิ่มขึ้น กลับเริ่มค่อยๆ หดเล็กลงด้วยซ้ำ

บนยอดเขาพายุสะท้าน เยี่ยนจ้าวเกอรับผิดชอบสถานการณ์ทั้งหมดเพียงผู้เดียว แหงนหน้าขึ้นทอดมองยังท้องฟ้า

บริเวณนั้น ลวดลายมหาค่ายกล เปลี่ยนเป็นสีแดงทั่วทั้งหมดโดยสมบูรณ์

เยี่ยนจ้าวเกอกำหมัดซ้าย ต่อยออกไปด้านหน้า

รอยประทับยันต์หนึ่งบนหลังมือซ้ายพลันส่องแสงขึ้น นั่นมีต้นตอมาจากรอยประทับมารที่ผนึกประตูนพยมโลกเกาะทรายเอาไว้

ลวดลายมหาค่ายกลนภากลางท้องฟ้าสั่นไหวดังอื้ออึง จากนั้นหล่นลงมาด้วยลำแสงสายหนึ่ง ครอบเยี่ยนจ้าวเกอไว้

ลวดลายค่ายกลยื่นขยายออกไปรอบนอกสายแล้วสายเล่า โดยมีเยี่ยนจ้าวเกอเป็นศูนย์กลาง อักขระยันต์รวมกลุ่มโอบล้อมตัวแล้วตัวเล่า

ลวดลายมหาค่ายกลนภาที่หดเล็กอีกค่าย ปรากฏอยู่ปลายยอดเขาพายุสะท้าน

ค่ายกลสองค่ายหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ก่อตัวเป็นห่วงแสงขนาดมหึมาสองสาย โอบล้อมยอดเขาไว้

วงแหวนแสงสองสาย วงหนึ่งภายในวงหนึ่งภายนอก วงหนึ่งตามเข็ม วงหนึ่งทวนเข็ม หมุนวนในเวลาเดียวกัน

ขณะเดียวกันนั้น กลุ่มเขากว่างเฉิงก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปพร้อมกัน

เจดีย์สูงสีแดงภายในหุบเขากว่างเฉิงหดเล็กอย่างเร็วรี่ ทว่ามหาค่ายกลนภากลางอากาศกลับโคจรถึงขีดสุดในชั่วขณะนี้

ในตอนที่เจดีย์สูงสีแดงสลายไปหมดสิ้น ศูนย์กลางมหาค่ายกลนภาสีแดงหม่น ปรากฏจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งขึ้น

จุดดำนี้โตขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง สุดท้ายกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับอุโมงค์มืด!

ราวกับมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ยังไม่รู้จุดมุ่งหมายและไร้ขอบเขตสิ้นสุด ทว่ากลับมีพลังปราณเขย่าขวัญส่งทอดออกมาจากในนั้น

โดยรอบเขากว่างเฉิง พวกผู่จ้าวจจวินและหลินเทียนเฟิง ล้วนมองดูภาพฉากนี้อย่างตระหนกตกใจ

พวกเขารู้สึกว่าไม่ปกติโดยพลัน อยากถอยออกไป กลับไม่ทันกาลเสียแล้ว

มหาค่ายกลนภาสีแดงหม่นพังทลายลง ส่งเสียงดังกึกก้อง กลายเป็นแสงแดงอันแปลกพิลึกไปทั่วท้องฟ้า ปกคลุมรุกตีเหล่าศัตรูของเขากว่างเฉิง

คนหนึ่งต่อคนหนึ่ง เริ่มตั้งแต่พวกผู่จ้าวจวินและหลินเทียนเฟิง จากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง จอมยุทธ์ทั้งหมดของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มายังที่แห่งนี้ ทั้งมวลล้วนถูกแสงสีแดงครอบคลุมไว้ จากนั้นร่างกายก็ลอยไปทางอุโมงค์นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ!

ผู่จ้าวจวินร้องตะโกนด้วยความร้อนรน ฝ่ามือทอแสงโชติช่วงไร้ที่สิ้นสุด แท่นบูชาฟ้าค่ายกลยันต์ตั้งขึ้น ตะวันแปดดวงปรากฏ สำแดงเคล็ดวิชาลับแสงสว่างไสวสาดส่อง ขาวโพลนทั่วหล้า

หลินเทียนเฟิงแค่นเสียงโกรธเกรี้ยว ทั่วสรรพางค์กายเปล่งแสงสายฟ้าวาบวับ แท่นบูชาฟ้าค่ายกลยันต์สายฟ้าม่วงแกมน้ำเงินควบแน่นตั้งตระหง่าน สำแดงดาบราชันอัสนีเก้าทบ สุดยอดวิชาของตำหนักอัสนีสวรรค์ สายฟ้าเต็มไปทั่วนภาฟาดทลายตามอำเภอใจ

พานป๋อไท่ที่ถูกเยี่ยนตี๋อัดจนเจ็บสาหัส ยามนี้ก็กระเสือกกระสนขับเคลื่อนพลังตนเองเช่นกัน ต้องการต้านทานการฉุดลากของค่ายกลอันแปลกประหลาดตรงหน้า

มหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมตำหนักอัสนีสวรรค์ที่ประมือกับผู้อาวุโสเหอคนนั้นออกแรงทั้งหมด ตั้งจิตคุ้มครองวิถีวรยุทธ์ขึ้น สะเทือนฟ้าสะท้านดินเช่นกัน

พวกเยี่ยนตี๋ ผู้อาวุโสเหอ และยอดฝีมือเขากว่างเฉิงคนอื่นๆ อยู่ภายในแสงสีแดง กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ยามนี้เปิดฉากรุกโจมตี สังหารศัตรูราบคาบทีละคนๆ

เดิมทีพวกผู่จ้าวจวินและหลินเทียนเฟิงก็กำลังพยายามต้านทานแสงแดงสุดกำลัง เวลานี้ถูกรุกตีซ้ำอีก ฉับพลันนั้นหมดแรงต่อต้าน ถูกลากเข้าสู่อุโมงค์ดำราวกับสายฟ้าแลบ

ครั้นสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันน่าพรั่นใจในนั้น ฝูงชนล้วนโห่ร้องประหลาดใจ “…นพยมโลก?!”

แสงสีแดงนั่น ยังกระโจนไปทางหวงกวงเลี่ยที่อยู่กลางอากาศ!

หวงกวงเลี่ยแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง ต้องการโจมตีแสงแดงให้ถอยกลับไป ทว่าหยวนเจิ้งเฟิงโจมตีมาด้วยฝ่ามือ ครั้นหวงกวงเลี่ยเบนความสนใจ ฉับพลันนั้นก็ถูกแสงแดงฉุดเอาไว้!

คิดอยากดิ้นให้หลุดพ้น ข้างๆ กลับมีหยวนเจิ้งเฟิงบุกโจมตีราวกับเคลื่อนภูเขาถมทะเลสกัดไว้ ทำให้เขาหมดทางจดจ่อตอบโต้การแปรผันของมหาค่ายกลนภาที่เยี่ยนจ้าวเกอขับเคลื่อนโดยสิ้นเชิง

ขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ ขณะนี้หวงกวงเลี่ยก็ทำได้เพียงถูกดูดไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

ชั่วประเดี๋ยวเดียว อุโมงค์ดำก็ประชิดใกล้!

ในดวงตาทั้งสองดวงของหวงกวงเลี่ยฉายเพลิงโทสะท่วมท้นวาบ

สัมผัสถึงพลังปราณน่าพรั่นพรึงภายในอุโมงค์นั่น เขากัดฟัดกรอด มองมาตรสุริยันวัดสวรรค์ในมือแวบหนึ่ง

ท่ามกลางเสียงคำรามคลั่งสะท้านฟ้า หวงกวงเลี่ยปล่อยมาตรสุริยันวัดสวรรค์ของตนลง!

ขณะที่แสงทองทอประกายบ้าคลั่ง แสงวาวโรจน์สีแดงที่คลุมครอบหวงกวงเลี่ยเอาไว้ และหยวนเจิ้งเฟิงที่รุกดาหน้าเข้ามา ล้วนโดนสั่นไหวจนร่นถอย

หวงกวงเลี่ยแปลงกายเป็นแสงทอง ชั่วพริบตาเดียวออกไปไกลลิบ

นัยน์ตาของเขาทั้งสองแดงก่ำ ครั้นเหลียวกลับมอง ก็แลเห็นมาตรสุริยันวัดสวรรค์ ของล้ำค่าป้องกันสำนักอันตกทอดจากบรรพบุรุษสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าที่สุดที่มีเพียงหยิบมือในโลกแปดพิภพ ขณะที่มันสะเทือนเลื่อนลั่น ก็ยังคงถูกดูดเข้าไปในอุโมงค์ดำนั่น ถูกส่งไปยังนพยมโลกในตำนาน!

เหนือท้องฟ้าเขากว่างเฉิง การโคจรของมหาค่ายกลแดงหม่นอันพิลึกพิลั่น เวลานี้คล้ายกับแปรเปลี่ยนเป็นโรงฆ่าสัตว์ที่คาวเลือด

อุโมงค์ดำกลางท้องฟ้า ราวกับเครื่องบดเนื้อ ราวกับโม่หิน ราวกับสัตว์ยักษ์กลืนฟ้าอ้าปากกว้าง

ผู่จ้าวจวืน พานป๋อไท่ หลินเทียนเฟิง…

จอมยุทธ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์ ถูกส่งไปฝังร่างในนี้คนแล้วคนเล่า!

……………