DC บทที่ 238: ปิดชื่อลงคะแนน

 

บรรดาผู้อาวุโสนิกายใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงต่อมาในการครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ

 

ถ้าพวกเขายังยอมให้ซูหยางดำเนินธุรกิจเล็กๆนี้อีกต่อไป เช่นนั้นเหล่าศิษย์ชายก็จะร้องเรียนเรื่องคู่ของเขาไม่สนใจพวกเขา

 

แต่ถ้าพวกเขาหยุดซูหยางจากการให้บริการนวด ก็จะกลายเป็นเหล่าศิษย์หญิงก็จะหันมาร้องเรียนพวกเขาแทน

 

ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดก็ตามที่พวกเขาตัดสินใจเลือก นั่นก็ไม่สามารถที่จะสร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองด้านได้มีแต่จะสร้างความโกรธให้กับอีกฝ่าย

 

“มีความคิดดีๆบ้างไหม” ผู้อาวุโสนิกายถามหาความคิดดีๆหลังจากนั้น

 

“ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย ทำไมเราไม่เลือกสักข้างล่ะ อีกฝ่ายย่อมเยือกเย็นลงเมื่อเวลาผ่านไป”

 

“นั่นก็ถูก แต่ข้างไหนที่เราควรเลือก”

 

“ทำไมเรามิใช้วิธีปิดชื่อลงคะแนนล่ะ เราสามารถทั้งหยุดซูหยางและสร้างความโกรธแค้นให้กับศิษย์หญิง หรือเลิกสนใจสถานการณ์และสร้างความโกรธแค้นให้กับศิษย์ชายได้เช่นกัน”

 

ผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างสบสายตากันและตกลงกับการปิดชื่อลงคะแนน

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น ยามเมื่อการลงคะแนนเสร็จสิ้น ผู้อาวุโสนิกายที่อาวุโสที่สุดก็นับผลการลงคะแนน

 

“พวกเราเก้าคนเลือกที่จะมิสนใจกับสถานการณ์ ขณะที่อีกสิบต้องการให้ซูหยางหยุดธุรกิจของเขา”

 

เมื่อผู้อาวุโสนิกายห้าคนที่ลงคะแนนสนับสนุนธุรกิจของซูหยางรู้ผล ใบหน้าของพวกเธอก็แสดงความเสียใจ เมื่อพวกเธอก็จะไม่ได้รับประสบการณ์การนวดของซูหยางอีกต่อไป

 

“แม้ว่านี่จะเป็นการปิดชื่อ ข้าก็ขอบอกไว้ว่าข้าลงคะแนนฝ่ายตรงข้ามกับซูหยาง” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายพลันกล่าวขึ้น “มันเป็นสิ่งที่ทำให้ศิษย์หญิงโกรธแค้นก็จริง แต่ถ้าหากว่าศิษย์ชายขาดคู่ฝึกที่จะฝึกร่วมด้วยเพราะว่าซูหยาง นั่นย่อมมีผลกระทบอย่างมากต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกเขามีหนทางที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่งเพียงวิธีเดียวนั่นก็คือผ่านการร่วมฝึกคู่”

 

ผู้อาวุโสนิกายอธิบาย แสดงเหตุผลที่เขาลงคะแนนฝ่ายตรงข้ามกับซูหยาง

 

และหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายเช่นนั้น ผู้ที่สนับสนุนซูหยางก็เริ่มคิดใหม่อีกครั้ง

 

หากว่าศิษย์ชายกว่าครึ่งของเขตศิษย์นอกไม่ได้ฝึกฝีมือ พลังฝึกปรือของนิกายโดยรวมก็จะลดลงไป ซึ่งจะเป็นการคุกคามถึงความปลอดภัยของพวกเขา

 

“แต่ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…ใครจะรู้ว่าพวกเธอจะทำอะไรบ้าคลั่งบ้างถ้าพวกเราขัดขวางพวกเธอมิให้ได้รับความสุข และนี่เป็นสิ่งที่มาจากผู้หญิง…”

 

“ถ้าผู้อาวุโสนิกายส่วนใหญ่สนับสนุน ก็จะมิมีอะไรเกิดขึ้นและทุกสิ่งก็จักกลับมาเป็นปกติก่อนที่เราจะรู้เสียอีก และถึงแม้ว่าพวกเธอจะเกเร พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหามากเกินไปให้กับผู้อาวุโสนิกาย”

 

สถานที่นั้นพลันเงียบลงหลังจากนั้น

 

ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสสูงวัยก็กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้ตัดสินเช่นนี้ แม้ว่ามันอาจจะน่าเสียใจที่สิ่งต่างๆมาถึงขั้นนี้และเขาก็มิได้ทำอะไรผิดตามทำนองคลองธรรม เราก็จำเป็นต้องให้ซูหยางหยุดธุรกิจของเขา ในเมื่อนั่นจักสร้างความขัดแย้งและโกรธเคืองระหว่างศิษย์เป็นจำนวนมาก”

 

หลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะ ผู้อาวุโสนิกายที่สูงวัยก็กล่าวต่อว่า “ถ้าว่าไปแล้ว ใครจักเป็นคนที่ไปพูดกับซูหยางเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกเรา”

 

ผู้อาวุโสนิกายในที่นั้นพากันสบสายตากันอีกครั้ง แต่ทุกคนล้วนมีท่าทางสับสนงงงัน

 

แม้ว่ากว่ากึ่งหนึ่งของพวกเขาได้ลงคะแนนตรงข้ามซูหยาง แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขากล้าเป็นคนไปหยุดธุรกิจของซูหยางอย่างเป็นรูปธรรม ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะปรากฏตัวให้เห็นว่าเป็นคนปิดร้านซูหยาง เพราะแน่นอนว่าศิษย์หญิงย่อมกลุ้มรุมคนคนนั้นหลังจากนั้น

 

เมื่อเวลาผ่านไปหลายนาทีโดยไม่มีใครต้องการเป็นหน่วยกล้าตายสำหรับงานนี้ หนึ่งในหมู่พวกเขาก็ยกมือขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีใครต้องการเป็นอาสาสมัครแม้ว่าจะมีความกระตือรือล้นตกลงที่จะปิดธุรกิจของซูหยางกันก่อนหน้านี้ ข้าก็จักทำเรื่องนี้เอง”

 

ผู้อาวุโสนิกายภายในห้องต่างพากันหันไปมองชายคนที่เพิ่งพูด

 

“ท่านมั่นใจเรื่องนี้รึ ผู้อาวุโสซุน”

 

คนที่อาสาไม่ได้เป็นใครไปนอกจากผู้อาวุโสซุน ปูของซุนจิงจิง

 

“ต้องมีคนที่ทำเรื่องนี้ ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้เคยพูดกับเขามาสองสามครั้งก่อนหน้านี้ ดังนั้นข้าถือเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับงานนี้”

 

“ต้องขอโทษที่สร้างปัญหาให้ท่าน ผู้อาวุโสซุน”

 

ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าและออกไปจากที่นั่นในเวลาไม่นานหลังจากนั้น

 

ยามเมื่อผู้อาวุโสซุนจากไปแล้ว ผู้อาวุโสนิกายที่เหลืออยู่ก็เริ่มแสดงความประหลาดใจ

 

“ใครจักคิดว่าคนอย่างผู้อาวุโสซุนจักเป็นผู้อาสาทำงานเช่นนี้…”

 

“ใช่แล้ว เขาเป็นคนสุดท้ายที่นี่ที่ข้าคาดว่าจะเป็นคนไป”

 

ในขณะที่ผู้อาวุโสนิกายที่เหลือยังคงอยู่ในในห้องประชุม ผู้อาวุโสซุนก็ตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยาง

 

อย่างไรก็ตามโดยไม่น่าประหลาดใจ สถานที่นั้นคราคร่ำไปด้วยศิษย์หญิง

 

นับเป็นเวลาสองสามวันตั้งแต่ซูหยางเริ่มธุรกิจของเขาอีกครั้ง และทั่วทั้งเขตศิษย์นอกล้วนได้ยินเรื่องนี้แล้วในตอนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งศิษย์นอกหญิงส่วนใหญ่ล้วนได้ยินซึ่งนั่นนับเป็นหลักร้อย

 

พอจะกล่าวได้ว่า แม้ว่าจะเกิดการปิดกั้นในพื้นที่นั้น แต่ยามเมื่อผู้อาวุโสซุนปรากฏตัวและบรรดาศิษย์สังเกตเห็นเขา พวกเขาล้วนเปิดทางให้กับเขาขณะที่คำนับไปด้วยในขณะที่เขาผ่านไป

 

และเพราะว่าพวกเธอเปิดทางให้เขา ผู้อาวุโสซุนจึงไปถึงทางเข้าบ้านซูหยางอย่างง่ายดาย

 

อย่างไรก็ตามในขณะที่ผู้อาวุโสซุนสามารถเข้าไปถึงบ้านได้ตามปรารถนา แต่ประตูห้องของซูหยางยังคงปิดอยู่ และในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะทำให้เกิดเหตุที่นั่น ผู้อาวุโสซุนตัดสินใจรอด้านนอกจนกระทั่งซูหยางออกมาด้านนอกด้วยตนเอง

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูห้องของซูหยางก็เปิดออก และศิษย์หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมาด้วยท่าทางการเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคง เหมือนกับว่าขาของเธอหมดแรง

 

ผู้อาวุโสซุนมองดูเธอจากไปพร้อมเลิกคิ้ว และยามที่เขาได้กลิ่นของปราณหยินมาจากร่างของศิษย์หญิง เขาก็ถอนใจ “เจ้าเด็กชั่วซูหยางนี่…เมื่อมาคิดว่าเขายังมีแรงที่จะฝึกคู่ทั้งที่มีคนมากมายปานนี้…”

 

ผู้อาวุโสซุนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาซูหยางในใจหลังจากที่เห็นฉากนี้ เพราะว่าเขาไม่ได้เป็นที่นิยมปานนี้ยามเมื่อเขาอยู่ในวันเวลาที่รุ่งโรจน์ช่วงเป็นศิษย์หลัก อย่าได้พูดถึงว่าเพียงเป็นศิษย์ในดังเช่นซูหยาง

 

“หืม ผู้อาวุโสซุนรึ” ซูหยางปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่ศิษย์นั้นจากไปแล้ว และเขาก็พูดด้วยท่าทางสบายๆว่า “ข้ายินดีที่ท่านมาที่นี่ แต่ท่านไม่รู้รึว่าข้าเพียงรับหญิงเข้าไปในห้องเท่านั้น”

 

“ว่ากระไร– เจ้าบ้า ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอื่นตะหาก” ผู้อาวุโสซุนตะโกนใส่เขาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด

 

“อย่างนั้นรึ” ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “เข้าไปพูดข้างในกันเถอะ”