บทที่ 196 คุณลาออกเถอะ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เสี่ยวหยัง นายมาได้ยังไง?”

เมื่อเห็นเฉินหยังผลักประตูเข้ามา เฉินหวั่นชิงก็รู้สึกตกตะลึงมาก

แต่ว่า ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานจากธนาคารทั้งสามก็เดินตามเข้ามาด้วย!

ซึ่งภาพนี้ก็ทำให้เฉินหวั่นชิงใจหายเช่นกัน

ภายใต้การบริหารของเธอ ราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินเพิ่มขึ้นมากกว่าสามเท่า ซึ่งมันก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความเป็นเลิศของเธอได้

แต่การปรากฏตัวของเฉินหยังและเจ้าหนี้รายใหญ่ทั้งสามนี้ รวมถึงการนัดประชุมคณะกรรมการด่วนที่เธอเพิ่งรู้ มันจึงทำให้เธออดสงสัยไม่ได้เลยว่านี่เป็นแผนการบีบบังคับเธอแน่!

เมื่อความคิดเชิงลบนี้ผุดขึ้น มันจึงทำให้เฉินหวั่นชิงรู้สึกไม่สบายใจมาก และเธอไม่นึกเลยว่าเฉินหยังจะไม่เห็นแก่ความเป็นญาติของเธอเลยแม้แต่น้อย!

ต่อให้รุ่นอาวุโสมีความขัดแย้งกัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับรุ่นลูกหลาน? อีกอย่าง เธอดีกับเขาขนาดนี้ แต่ทำไมเขาถึงทำกับเธอเช่นนี้ได้?

ซึ่งในความเป็นจริง นี่เป็นแผนที่เจิ้นเซ่าเฉินแนะนำให้กับเฉินหยัง หนึ่งคือการขโมยข้อมูลชีวเภสัชภัณฑ์และข้อมูลของยาเพิ่มพลัง สองคือการบีบบังคับให้เฉินหวั่นชิงต้องลาออก

แต่ เมื่อนึกถึงการยึดอำนาจความเป็นผู้นำของบริษัทแซ่เฉิน แล้วเฉินหยังจะรอช้าได้อย่างไร?

ต่อให้ข้อมูลจะไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่มันก็ไม่ได้อยู่ในมือของเฉินหวั่นชิงไม่ใช่หรือ?

และแน่นอน เพื่อความมั่นใจ เขายังเชิญผู้บริหารทั้งสามของธนาคารมาเป็นพยานด้วย

แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่การที่พวกเขานั่งอยู่ในห้องประชุมด้วย มันก็เพียงพอที่จะสร้างแรงกดดันอันมหาศาลให้กับเฉินหวั่นชิงแล้ว!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินหยังก็เหลือบมองเฉินหวั่นชิงอย่างดูถูก แต่เขาไม่ได้ตอบสนองต่อเธอ ได้แต่หันไปทักทายเหล่าคณะกรรมการบริษัทด้วยความภาคภูมิใจ

“คุณอาคุณน้าทุกๆ ท่านครับ ต้องขออภัยจริงๆ ที่ผมมาสายนะครับ พอดีรถติดหน่อยครับ”

นอกจากน้าเหมยกับจี้หงยี่ที่พยักหน้าตอบอย่างเย็นชา ผู้ถือหุ้นอีกสามคนก็ตอบอย่างกระตือรือร้นและด้วยรอยยิ้ม

หลังจากจัดที่นั่งให้กับประธานจากธนาคารทั้งสามแล้ว เฉินหยังถึงจะมองไปที่เฉินหวั่นชิงที่ยังคงยืนอยู่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

“พี่สาวครับ ผมว่าพี่หาที่นั่งก่อนจะดีกว่า! ไม่อย่างนั้นผมกลัวพี่จะยืนไม่ไหวแล้วเป็นลมไปนะครับ”

เมื่อเฉินหวั่นชิงที่ได้ยินคำนี้ หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้น แต่เธอทำได้เพียงนั่งลงอย่างไม่มั่นใจ

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกท่านมากันครบแล้ว งั้นเรามาเริ่มกันเถอะครับ!”

เฉินหยังยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับกับคณะกรรมการทุกคน “ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาที่นี่นะครับ……”

“มีอะไรก็รีบพูดเถอะ ผมต้องรีบไปขึ้นเครื่อง ไม่ได้ว่างขนาดนั้น!”

เห็นได้ชัดว่าจี้หงยี่ไม่ชอบเฉินหยัง และน้ำเสียงของเขาก็ฟังไม่เป็นมิตรอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าประเด็นเลยนะครับ!”

เฉินหยังไม่ได้โกรธ แต่เปิดกระเป๋าเอกสารที่นำมาด้วยแล้วหยิบรูปถ่ายออกมารูปหนึ่ง “เขาคนนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีนะครับ?”

คนในรูปนี้ไม่ใช่ใครคนอื่น แต่คือเย่เทียน!

“ใช่แล้วครับ! ผู้ชายคนนี้ก็คือพี่เขยของผม เขาคือสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของพี่สาวผมครับ!”

“คุณกำลังจะสื่อถึงอะไร?”

น้าเหมยขมวดคิ้วขึ้น “ถึงแม้เรื่องการแต่งงานของหวั่นชิงจะไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ แต่พวกเราก็รู้ดี แล้วสามีของหวั่นชิงเกี่ยวอะไรกับการนัดประชุมด่วนในครั้งนี้?”

“น้าเหมย ถ้ารวมไปถึงสิ่งนี้ล่ะครับ?”

เฉินหยังหยิบหนังสือพิมพ์หลายฉบับออกจากกระเป๋าเอกสารของเขาอีกครั้ง จากนั้นชี้ไปที่พาดหัวข่าวแล้วบอกกับทุกคนว่า “ท่านคณะกรรมการทุกท่านครับ ดูนี่สิครับ นี่คือหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์เมื่อเช้านี้ ทุกท่านดูพาดหัวข่าวนี้คืออะไรครับ!”

ทุกคนในห้องประชุมหันมองไปอย่างเร่งรีบ ทันใดนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงอุทานออกมา เพราะเห็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์หลายฉบับนั้นมีรูปถ่ายของเฉินหวั่นชิงกับเย่เทียน และตัวหนังสือพาดหัวข่าวนั้นก็ยิ่งทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง!

“ผู้บริหารหญิงของบริษัทแซ่เฉินแต่งงานอย่างลับๆ กับสามีผู้ที่ชอบเที่ยวผู้หญิงกลางคืน!”

“นักธุรกิจสาวแนวหน้าได้จดทะเบียนสมรสกับสามีป้ายแดงผู้มีฉายาว่าเป็นนักเลงหัวไม้!”

ฟร้อนตัวหนาในพาดหัวเหล่านี้เปรียบเสมือนใบมีดอันแหลมคมที่แทงทะลุหัวใจของทุกคน

หลายๆ คนรีบหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านคร่าวๆ และรู้สึกโกรธในใจมาก

สื่อเหล่านี้ดูหมิ่นและมุ่งร้ายต่อเฉินหวั่นชิงมาก ซึ่งวิเคราะห์จากชื่อเรื่องก็จะเข้าใจได้ไม่ยากว่าพวกเขากำลังทำให้บริษัทแซ่เฉินเสื่อมเสียชื่อเสียง

ผู้อาวุโสทุกคนในห้องประชุม แค่คิดด้วยนิ้วเท้าก็รู้ว่าข่าวเหล่านี้มันจะสร้างความวุ่นวายให้กับบริษัทแซ่เฉินอย่างแน่นอน

ที่เห็นชัดที่สุดคือ หลังตลาดหุ้นเปิด ราคาหุ้นของบริษัทแซ่เฉินก็จะร่วงลงอย่างแน่นอน ไม่แน่อาจจะดิ่งลงจนสูญเสียอย่างมหาศาลก็ได้!

“กลั่นแกล้งเกินไปแล้ว!”

หลังจากอ่านพาดหัวข่าวเสร็จ จี้หงยี่ก็โกรธจนฟาดหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะประชุมและพูดด้วยความโกรธ “เป็นเรื่องส่วนตัวแท้ๆ แต่กลับโยงมาที่บริษัทได้ไง? สื่อมวลชนพวกนี้ส่อเสียดจริงๆ ปล่อยข่าวมั่วซั่วที่สุด!”

เฉินหวั่นชิงที่อ่านหนังสือพิมพ์จบก็โกรธมากเช่นกัน เธอเพิ่งเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเย่เทียนไปแล้วบ้าง แต่ใครจะรู้ว่าเย่เทียนจะทำผิดซ้ำซากอีก!

แต่ถ้าเย่เทียนอยู่ด้วย เขาคงระเบิดอารมณ์ไปแล้ว

เพราะในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ อย่าว่าแต่ไปเที่ยวซ่องเลย แม้แต่สาวๆ ที่เดินผ่านเขายังไม่มองด้วยซ้ำ

แน่นอนว่ารูปถ่ายเหล่านี้เป็นภาพถ่ายเก่าที่เก็บไว้ตั้งแต่เจิ้นเซ่าเฉินวางแผนจะเล่นงานเย่เทียนก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาเพิ่งหยิบออกมาใช้ก็เท่านั้น!

เกาหยุนเสียงทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “หวั่นชิง อาขอถามหน่อย นี่เธอได้สามีแบบไหนกันเนี่ย? ใช่ย่อยจริงๆ!”

“นั่นสิ ดูสิว่าในหนังสือพิมพ์เขาเขียนถึงเธอยังไง? แล้วเขาทำลายชื่อเสียงของบริษัทแซ่เฉินยังไง?”

เถาเจิ้งหยันพูดด้วยความโกรธ “รอให้ตลาดหุ้นเปิดก่อน คอยดูนะว่าราคาหุ้นของเราจะร่วงลงสักแค่ไหน?”

เฉินหวั่นชิงถึงกับพูดไม่ออก ไม่ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเธอกับเย่เทียนจะเป็นอย่างไร แต่ต่อหน้าสาธารณชนแล้ว เธอกับเขาก็คือคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนั้น ทุกการกระทำของเย่เทียน มันจะส่งผลต่อเธอและบริษัทแซ่เฉินอย่างแน่นอน

ในเวลานี้ แม้สีหน้าของเฉินหวั่นชิงยังคงนิ่งสงบ แต่ในใจเธอวุ่นวายจนหาที่เปรียบไม่ได้

ไม่ต้องสงสัยการเคลื่อนไหวของเฉินหยังเลย เพราะเขาได้วางแผนทุกอย่างมาก่อนแล้ว เพื่อที่จะเอาชนะเธอ และตอนนี้ เขาก็ทำสำเร็จแล้ว

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินหวั่นชิงรู้สึกหมดหนทาง ในใจเธออยากต่อต้านมาก

แต่ด้วยสิ่งที่เย่เทียนทำนั้น เธอไม่มีโอกาสที่จะปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฉินหวั่นชิงอดหันหน้ามองไปที่เฉินหยังไม่ได้และพูดอย่างอนาถใจว่า “เสี่ยวหยัง ฉันไม่รู้เลยนะว่านายจะใจดำขนาดนี้”

“พี่สาวครับ พี่อย่าเข้าใจผมผิดนะ”

เฉินหยังส่ายหัวเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมแค่มีเพื่อนร่วมชั้นที่ทำงานอยู่ในบริษัทหนังสือพิมพ์นะ เมื่อคืนเขาเพิ่งรู้ข่าวนี้ตอนตีสอง แต่เสียดายที่หนังสือพิมพ์ถูกสั่งพิมพ์ไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้”

สีหน้าของเขาดูย่ามใจมาก แต่ปากมีแต่ถ้อยคำอันไพเราะ ซึ่งมันทำให้เฉินหวั่นชิงรู้สึกหมั่นไส้และอดไม่ได้ที่จะเข้าไปตบหน้าเขาแรงๆ สักครั้ง

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษใคร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราควรปรึกษากันว่าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร มันถึงจะสร้างผลกระทบต่อบริษัทได้น้อยที่สุด”

น้าเหมยขมวดคิ้วอย่างลึกซึ้งและพยายามทำให้ดีที่สุดอย่างมีสติ

“อาเหมยพูดถูก เรื่องนี้ส่งผลต่อราคาหุ้นของเราอย่างแน่นอน ฉะนั้น เราควรคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ก่อนที่ตลาดหุ้นมันจะเปิด” จี้หงยี่พยักหน้าเห็นด้วย

“จะยากอะไรล่ะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดที่ตัวของหวั่นชิง งั้นก็ให้มันจบที่หวั่นชิงเลยก็แล้วกัน”

จางเจี้ยนถังแสยะยิ้มขึ้น “ฟังนะหวั่นชิง เธอลาออกไปเถอะ!”