บทที่ 195 การบีบบังคับของเฉินหยัง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินหวั่นชิงไปที่บริษัทแซ่เฉินอย่างเร่งรีบ และใบหน้าอันบอบบางของเธอก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ส่วนกู้กวนชีผู้ช่วยของเธอก็ได้มารออยู่ที่หน้าประตูบริษัทตั้งนานแล้ว

เมื่อเห็นเฉินหวั่นชิงปรากฏตัว กู้กวนชีก็รีบเข้าไปทักทายและพูดอย่างกังวลว่า “ประธานเฉินคะ หนูได้รับโทรศัพท์จากคณะกรรมการบริษัทตั้งแต่เช้าเลย บอกว่าจะมีการจัดการประชุมด่วนในเวลาแปดโมงเช้านี้ ให้หนูเข้ามาเตรียมห้องประชุมก่อนค่ะ”

“พวกเขาพูดถึงเรื่องการประชุมไหม?” เฉินหวั่นชิงถามด้วยความกังวล

“เปล่าค่ะ”

กู้กวนชีส่ายหัว “หนูพยายามถามแล้ว แต่พวกเขาไม่พูดอะไรเลย”

“ปะ เราขึ้นไปดูกันก่อน” เฉินหวั่นชิงพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบเดินขึ้นชั้นบน

แม้ว่าเฉินชังไห่จะเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแซ่เฉิน แต่หลังจากที่บริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้ว มันจึงจำเป็นต้องมีผู้ถือหุ้นด้วย และจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หลายรายจัดตั้งคณะกรรมการของบริษัทขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิ์เสียงในการพูดนั้นยังคงเป็นของเฉินหวั่นชิง ส่วนสมาชิกของคณะกรรมการจะปรากฏตัวเฉพาะเมื่อบริษัทต้องทำการตัดสินใจครั้งสำคัญเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ถ้าไม่มีกรณีพิเศษใดๆ พวกเขาจะไม่เข้ามาในบริษัท

และการนัดประชุมของคณะกรรมการในครั้งนี้มันกะทันหันมาก อีกอย่างยังเป็นความลับอีกด้วย ดังนั้นจึงทำให้เฉินหวั่นชิงรู้สึกไม่สบายใจไปด้วย

สิบนาทีต่อมา เฉินหวั่นชิงปรากฏตัวอยู่ในห้องประชุมที่กู้กวนชีจัดเตรียมไว้ และในตอนนี้ก็มีคณะกรรมการหลายๆ คนรออยู่แล้ว

“คุณลุงจาง คุณอาเกา คุณอาเถา คุณอาจี้ น้าเหมย”

เมื่อมองไปรอบๆ เฉินหวั่นชิงก็ทักทายพวกเขาอย่างสุภาพ

แม้เธอจะเป็นดั่งเทพธิดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ถือหุ้นเหล่านี้ เธอก็ไม่กล้าวางตัวสูงส่งเลย

ถ้าพูดถึงในแง่การงาน แม้ว่าผู้ถือหุ้นทั้งห้าตระกูลนี้จะเทียบกับตระกูลเฉินไม่ได้ แต่พวกเขาก็ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเจียงหนันแห่งนี้ ฉะนั้น ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน มันก็จะเล่นงานตระกูลเฉินได้ไม่ยากเลย

สำหรับเรื่องส่วนตัว ทั้งห้าคนนี้ต่างก็เป็นผู้อาวุโสสำหรับเธอ และเธอผู้ซึ่งมีสัมมาคารวะในตัวอยู่แล้ว จึงไม่แปลกที่วางตัวเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่เชื่อฟังเฉินชังไห่เพื่อมาแต่งงานกับเย่เทียนหรอก

ถึงแม้เธอจะเล่นเล่ห์เหลี่ยมบ้าง เพื่อไม่อยากใกล้ชิดสนิทสนมกับเย่เทียน แต่สำหรับทางกฎหมายแล้ว เธอกับเย่เทียนก็ถือเป็นสามีภรรยาที่จดทะเบียนกันเรียบร้อย

“หวั่นชิง ไม่เจอกันตั้งนาน เธอดูโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเลยนะ”

น้าเหมยซึ่งเป็นผู้หญิงคนเดียวในห้าคนนั้นยิ้มพูดขึ้น “บริษัทที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย”

“ขอบคุณน้าเหมยค่ะ น้าเหมยชมเกินไปแล้ว”

เฉินหวั่นชิงพูดอย่างสุภาพ “ถ้าไม่ใช่เพราะการสนับสนุนจากทุกๆ ท่าน บริษัทคงเดินมาถึงวันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ หนูต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบพระคุณคุณน้าคุณอาทั้งหลายค่ะ!”

ในขณะพูด เธอยังโค้งคำนับพวกเขาด้วยความอ่อนน้อม

“หวั่นชิง เธอไม่ต้องถ่อมตัวขนาดนั้นก็ได้”

ชายวัยกลางคนหัวล้านที่นั่งอยู่ข้างน้าเหมยพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ความสามารถของเธอ พวกเราทุกคนก็เห็นๆ กันอยู่ และการที่เรามอบหมายบริษัทให้เธอเป็นผู้ดูแล เราคงหาคนที่ไว้ใจกว่าเธอไม่ได้อีกแล้ว”

เขาคนนี้คือผู้ประกอบการด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงหวย ก่อนหน้านี้เขาเริ่มก่อร่างสร้างตัวนตลาดหุ้น ต่อมาเขาผันตัวมาเป็นนักลงทุน ซึ่งเขาเป็นคนที่มองคนเฉียบขาดมาก ดังนั้นจึงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในด้านการลงทุนเป็นอย่างมาก

และการที่ได้รับความชื่นชมจากเขานั้น มันก็คือการยอมรับในตัวของเฉินหวั่นชิง และนี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของเฉินหวั่นชิงได้

“คุณอาจี้ ท่านชมหนูเกินไปแล้วค่ะ” เฉินหวั่นชิงยังคงโค้งคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณและด้วยท่าทีที่อ่อนน้อม

แต่ว่า คณะกรรมการอีกสามคนไม่ได้มองเฉินหวั่นชิงในแง่ดีอย่างที่คิด

จากนั้นชายอ้วนพุงใหญ่ที่นั่งอยู่ทางซ้ายสุดก็แสยะยิ้มขึ้นและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “จะว่าไป หลังจากที่หวั่นชิงแต่งงาน ข่าวเชิงลบของบริษัทแซ่เฉินของเราก็มีมาอย่างไม่หยุด และสองเดือนที่ผ่านมานี้ ราคาหุ้นของเราก็ร่วงลงเรื่อย ๆ นี่มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยนะ”

เขาคนนี้ชื่อเกาหยุนเสียง เป็นพี่ชายของเกาหย่าหยุนผู้ซึ่งเป็นแม่ของเฉินหยัง จะว่าไปเขาก็ถือเป็นญาติคนสนิทของตระกูลเฉินอีกด้วย

แต่ว่า เฉินหวั่นชิงรู้ดีว่าคุณอารองของเธอคนนี้ไม่พอใจตั้งแต่ที่ท่านปู่เฉินยกบริษัทให้กับพ่อของเธอแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นหลังจากที่เธอเป็นผู้รับช่วงต่อ

นอกจากนี้ เกาหยุนเสียงเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เขาจึงอยากให้เฉินหวั่นชิงลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเฉินหยังจะได้เป็นผู้บริหารต่อ

“เหล่าเกาพูดถูกนะ หวั่นชิงยังดูเด็กเกินไปจริงๆ”

ชายวัยหกสิบที่นั่งอยู่ข้างเกาหยุนเสียงพยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดด้วยน้ำเสียงของผู้อาวุโสว่า “เธอเป็นถึงผู้บริหารของบริษัทแซ่เฉิน ทุกคำพูดทุกการกระทำของเธอเป็นที่จับตามองของผู้คนอยู่เสมอ ฉะนั้น ควรให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของตัวเองให้มากกว่านี้นะ”

“บริษัทแซ่เฉินของเราในตอนนี้ก็อยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคงอยู่แล้ว ดังนั้นหากเราทำอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ใครจะรู้ว่านักข่าวจะไปเขียนข่าวอย่างไรว่าไหม?”

เขาคนนี้ชื่อจางเจี้ยนถัง เป็นผู้อาวุโสที่สุดในคณะกรรมการของบริษัท และเขายังเป็นพ่อของจางฟู่ฉี คนที่ถูกขับไล่ออกไปจากบริษัทแซ่เฉินด้วยแผนของเย่เทียนอย่างน่าสงสาร!

หลังจากที่ลูกชายต้องอับอายขายหน้า คนเป็นพ่อต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน และถ้าหากไม่ใช่เพราะกลัวตระกูลฉิน เขาคงเล่นงานเย่เทียนตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

แน่นอน เขาก็รู้ดีถึงความสัมพันธ์ของเย่เทียนกับเฉินหวั่นชิง ด้วยความเคียดแค้นนี้ เขาจะมีทัศนคติที่ดีต่อเฉินหวั่นชิงได้อย่างไร?

“ท่านจางพูดมีเหตุผลดีนะ”

ชายมีหนวดที่อยู่ข้างจางเจี้ยนถังลูบเคราของเขาแล้วพูดอย่างลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ถูก “นักข่าวสมัยนี้ ขอแค่ได้เขียนข่าว พวกเขาไม่สนหรอกว่าความจริงจะเป็นอย่างไร”

“หวั่นชิงเอ๋ย! ดูเหมือนว่าการจัดการด้านสื่อภายนอกของเธอต้องปรับปรุงหน่อยนะ!”

แน่นอนว่าเขาคือสมาชิกคณะกรรมการคนสุดท้ายของบริษัทแซ่เฉิน ชื่อว่าเถาเจิ้งหยัน!

หลังจากเขาพูดจบ เฉินหวั่นชิงที่เงียบมาตลอดก็พูดขึ้น “ขอบพระคุณคุณน้าคุณอาทั้งหลายที่เตือนหนูนะคะ ต่อไปหวั่นชิงจะพัฒนาเรื่องการจัดการของสื่อภายนอกให้ดีกว่านี้ค่ะ”

แม้จะเป็นคำขอบคุณ แต่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาของเธอ มันจึงทำให้ทุกคนไม่สามารถรู้สึกถึงความจริงใจได้

ในขณะนี้ ประตูห้องประชุมถูกผลักออกจากด้านนอก และเฉินหยังก็เดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง

ก่อนหน้านี้เย่เทียนไม่ได้เล่นเขาถึงตาย ดังนั้น หลังจากพักฟื้นมาหลายวัน ในที่สุดเขาก็หายดี

เฉินหวั่นชิงเต็มไปด้วยความสงสัย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายคนนี้ถึงปรากฏตัวในช่วงเวลาแบบนี้ได้

แต่ว่า ก่อนที่เธอจะพูดอย่างสงสัย ชายสามคนในชุดสูทรองเท้าหนังก็เดินตามหลังเฉินหยังมา

และการปรากฏตัวของสามคนนี้ ทำให้เฉินหวั่นชิงที่พยายามสงบสติอารมณ์มาตลอดก็ต้องตื่นตระหนกขึ้น

พวกเขาสามคนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นประธานกู่จากธนาคารเจียงหวย ประธานรองจู้จากธนาคารHXB ในสาขาเจียงหนัน และประธานหลอจากธนาคาร ICBC ในสาขาเจียงหนัน!

ประเด็นหลักคือบริษัทแซ่เฉินมีปัญหาเงินกู้กับทั้งสามธนาคารนี้!

เนื่องจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นชีวเภสัชภัณฑ์หรือยาเพิ่มพลัง บริษัทจึงต้องการการสนับสนุนทางการเงินมาก ดังนั้นเฉินหวั่นชิงจึงกู้เงินกับทั้งสามธนาคารนี้ไปจำนวนกว่า 30 ล้านหยวน

เมื่อเห็นแววตาได้ใจของเฉินหยังที่มองเข้ามา เฉินหวั่นชิงก็นึกถึงจุดจบที่เลวร้ายของเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกใจหายมาก

ในสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ได้มีเพียงคณะกรรมการของบริษัท แต่ยังมีเจ้าหนี้ใหญ่ของเธออีกด้วย นี่เฉินหยังตั้งใจจะฆ่าเธอใช่ไหม?

เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร? เธอเป็นพี่สาวของเขานะ!

ต่อให้รุ่นอาวุโสมีความขัดแย้งต่อกัน แต่เธอก็ดีต่อเขามาเสมอ แล้วเขาจะทรยศเธอแบบนี้ได้อย่างไร?!