บทที่ 164 จำเป็นต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

เชอร์รีนตกใจกับภาพนี้จนเหงื่อไหลพรั่งพรูทั่วตัว รีบอุ้มซารางมาจากออกัส“บอกอาหญิงสิค่ะว่าหนูเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“ไม่เจ็บค่ะ” ซารางไม่ได้ร้องไห้ แค่ตกใจเท่านั้น เธอคล้องคอเชอร์รีนอย่างเห็นเป็นที่พึ่ง

ออกัสเอาเส้นผมพวกนั้นเข้ากระเป๋ากางเกงโดยที่ไม่มีใครรู้ สีหน้าของเขาไม่มีใครหยั่งถึง มันลึกล้ำราวกับเป็นน้ำวนอย่างไรอย่างนั้น

เลอแปงก็ตกใจจนฝ่ามือรุ่มร้อน เขาเริ่มหยอกล้อซารางเพื่อให้เธออารมณ์ดี ความตกใจของเธอเมื่อครู่จึงหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ออกัสลุกขึ้นกล่าวอำลากับเลอแปง จากนั้นก็กวาดสายตามองเชอร์รีนกับซาราง แล้วเดินออกไป

เชอร์รีนเห็นเขาไปแล้วก็รู้สึกโล่งอก ทว่าความกังวลในใจยังไม่ดับสูญ

ถ้อยคำของเขาบ่งชี้ว่ากำลังสนใจชาติกำเนิดของซาราง อาจจะรู้สถานะของซารางแล้วก็เป็นได้ เธอจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้!

เธอให้ออกัสแย่งซารางไปไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด!

หลังเดินช้อปถึงตอนเย็น ความผูกพันของเลอแปงกับซารางก็พัฒนาไปอีกขั้น ตอนที่ส่งลงไปชั้นล่าง ซารางกับเลอแปงจึงจะจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์

“ผมไม่บอกคนอื่นหรอกครับว่าคุณกับซารางไปที่เมืองทะเลหทัย แต่ผมมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ ซึ่งก็คือให้ผมไปเยี่ยมซารางที่เมืองทะเลหทัย คุณไม่ต้องห้ามผมครับ”

เชอร์รีนก็ไม่ได้กล่าวห้าม แค่พยักหน้าหงึกๆ “ค่ะ”

เธอตัดสินใจไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าจะไปจากที่นี่ ยืดเวลาไม่ได้เด็ดขาด ประโยคสุดท้ายของออกัสทำให้เธอรู้สึกตกอยู่ในวิกฤต

เลอแปงชำเลืองเห็นรอยกัดที่จางลงบนคอของเธอโดยบังเอิญ จึงขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าหล่อก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นมา ……

เชอร์รีนไม่สังเกตว่าแววตาเขาเปลี่ยนไป ยังคงจมกับความคิดของตัวเอง กำลังคิดหาหนทางของตัวเองอยู่

“โอเคครับ ขึ้นไปชั้นบนเถอะครับ ซารางก็ง่วงแล้ว” เลอแปงละสายตาไปมองใบหน้าเล็กรูปไข่อมชมพูของซาราง เล่นมาทั้งวัน เธอคงเหนื่อยน่าดู ตอนนี้ดวงตาก็เริ่มทะเลาะตบตีกันแล้ว

“ซาราง บอกลาคุณอาเร็วค่ะ” เมื่อดึงความคิดตัวเองกลับมา เชอร์รีนก็มองคนตัวเล็กในอ้อมแขน

ได้ยินดังนั้น ดวงตาที่ใกล้ปิดของซารางเบิกกว้างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหอมแก้มเลอแปงหลายๆครั้ง พร้อมกับกล่าวเสียงทุ้มนุ่มว่า “ลาก่อนค่ะคุณอาสุดหล่อ!”

หลังจากเลอแปงขับรถหายไปจากสายตา เชอร์รีนจึงจะอุ้มซารางขึ้นไปชั้นบน

เที่ยวมาทั้งวัน ตอนที่เธออาบน้ำให้เจ้าตัวน้อยนั้น อีกฝ่ายถึงกับนั่งไม่มั่นคง คล้ายกับคนเมาไม่มีผิด โยกไปเอนมาอยู่อย่างนั้น

เชอร์รีนทั้งสงสารทั้งรู้สึกตลก เธอรีบเร่งมือทำความสะอาดโดยเร็ว จากนั้นก็อุ้มลูกสาววางบนเตียง

“ปังปังปัง” เสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นเสียงของกนกอรก็ตามมาติดๆ“เชอร์รีน นอนหรือยังลูก?”

เสียงที่ลอยเข้ามาทำให้ซารางขมวดคิ้ว เมื่อเชอร์รีนเห็นเข้าก็รีบก้มตัวตบหลังให้ลูกสาวเบาๆ หลังจากหลับสนิทแล้ว เธอจึงจะเดินออกไปเสียงเบา

กนกอรนั่งรอบนโซฟาเป็นเวลานานแล้ว เชอร์รีนเดินเข้าไปนั่งข้างๆอีกฝ่าย“มีอะไรคะคุณแม่?”

“แม่ได้ยินพี่สะใภ้หนูบอกว่า วันนี้เห็นลงข่าวว่าผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว ใช่ไหม?”

เชอร์รีนรู้ดีแก่ใจว่าผู้ชายคนนั้นหมายถึงใคร อีกอย่าง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร เธอจึงพยักหน้าหงึกๆ

“ปกติลูกไม่ได้รีบกลับเมืองทะเลหทัยเร็วอย่างนี้ สาเหตุเป็นเพราะเขากลับมาใช่ไหมลูก ลูกเลยรีบกลับเมืองทะเลหทัย?”

เชอร์รีนมักบอกความในใจของตนให้กนกอรรับรู้เสมอ ตอนนี้ก็พูดความจริงทั้งหมดเช่นกัน“ใช่ค่ะ”

“หวกหนูหย่าสี่ปีแล้ว ทำไมยังต้องหลบหน้าเขาอีก?” ตอนแรกกนกอรก็ไม่เข้าใจ จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรได้ พูดได้ตรงประเด็นว่า“เป็นเพราะซารางเหรอ?”

“ค่ะ” เชอร์รีนพยักหน้า พร้อมกับดื่มน้ำอุ่นในมือทีละคำ

เป็นอย่างนี้จริงๆ!

กนกอรยกมือแตะหน้าผากเธอ พลางรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ลูกสาวไม่ค่อยได้ดั่งใจเล็กน้อย

“หนูนี่จริงๆเลย ถ้าเป็นเพราะซารางก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเป็นอย่างนี้เลย ตอนนั้นหนูอยากได้ลูกเลยเลือกที่จะแต่งงานกับเขา และเป็นสิ่งที่เขารับปากหนูไว้แล้วด้วย ตอนนี้พวกหนูหย่ากันแล้วซารางก็ตกเป็นของหนูโดยชอบธรรมอยู่แล้ว”

ปกติลูกสาวของเธอออกจากฉยลาด ทำไมตอนเผชิญหน้ากับเรื่องตัวเองถึงได้เลอะเลือนปานนี้นะ?

เธอเอามือนวดระหว่างคิ้วให้เชอร์รีน จากนั้นก็ได้ยินเชอร์รีนกล่าวว่า“คุณแม่ค่ะ ถ้าเรื่องนี้ง่ายอย่างนั้นก็ดีสิค่ะ”

“แล้วหนูบอกแม่สิว่าทำไมถึงไม่ง่าย?”

“อย่างที่คุณแม่พูดแหล่ะค่ะ ตอนนั้นพวกเราแต่งงานกับเพราะลูก เป็นการผูกพันธะต่อกัน แต่ตอนนั้นแค่ตกลงกันด้วยวาจา ไม่ได้อัดเสียงหรือร่างเป็นลายลักษณ์อักษรเลยค่ะ แต่การแต่งงานเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง ถ้าเขาคิดจะแย่งลูก หนูไม่มีหลักฐานอะไรไปขึ้นศาลกับเขาเลยค่ะ!”

ได้ยินดังนั้นกนกอรก็นิ่งเงียบ เชอร์รีนพูดก็มีเหตุผล

“ใช่สิ ตอนพวกหนูหย่ากัน ไม่ได้เขียนสัญญาตกลงกันว่าใครมีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสาวหรอกเหรอ?”

“สิทธิ์เป็นของหนูค่ะ” เชอร์รีนตอบ

“อย่างนี้ก็สิ้นเรื่อง ยังต้องกังวลอะไรอีก? เมื่อหนูมีสิทธิ์เลี้ยงดูลูก เขาจะทำอะไรได้?”

“คุณแม่ค่ะ ช่วงนี้หนูศึกษาข้อมูลสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกแล้วพบว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ”

กนกอรไม่เข้าใจ เลิกคิ้ว“เป็นยังไง?”

“คือว่า หากฝ่ายชายเป็นฝ่ายเลี้ยงดูแล้วจะมีผลดีด้านการเจริญเติบโตกว่า ฝ่ายชายก็สามารถยื่นฟ้องร้องกับศาลได้ค่ะ” เชอร์รีนดื่มน้ำอุ่นหนึ่งคำ “ด้วยฐานะของตระกูลสิริไพบูรณ์ในเมือง S คุณแม่คิดว่าศาลจะตัดสินให้ใครเลี้ยงดูค่ะ?”

“ตระกูลสิริไพบูรณ์มีอำนาจค้ำฟ้าในเมืองSจริงๆ แต่เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้นนี่ คุณตีตนก่อนไข้ทำไมกัน?แม่รู้สึกว่าหนูนับวันก็ยิ่งคิดมากแล้วนะ!”

เชอร์รีนส่ายหัว พลางยิ้มอย่างขมฝาด“คุณแม่ค่ะ ไม่ใช่หนูคิดมากหรอกค่ะ แต่โลกมันเป็นอย่างนี้จริงๆค่ะ”

กนกอรถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนจะตบไหล่เธอ

“เชอร์รีนเอ่ย ฟังแม่นะลูก บ้านพวกเราไม่มีเงินไม่มีอำนาจ แต่เพื่อซารางแล้ว แม่กับพ่อหนูจะพยายามสุดความสามารถเลย อีกอย่างก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว เขาไม่ถามหาซารางเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่มาเยี่ยมซารางสักครั้ง แค่ดูจากเรื่องพวกนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว ดังนั้น พวกเรามีสิทธิ์ชนะสูง อย่าคิดมากเลยนะลูก”

“คุณแม่ค่ะ สี่ปีมานี้ เขาไม่ถามหาซารางและไม่เคยมาพบหน้ามาก่อน ไม่เคยทำหน้าที่คนเป็นลูกเลย

อีกอย่างตอนนั้นเขาเป็นคนละทิ้งอำนาจเลี้ยงดูลูกเอง ฉันสามารถเชิดหน้าชูตาเมื่อเจอหน้าเขาได้ค่ะ แต่หนูก็ไม่รู้ทำไมถึงคิดในแง่ลบขนาดนั้นก็ไม่รู้ค่ะ และยังใจเสาะและคิดมากด้วย?”

ขอแค่เจอหน้าออกัส เธอก็อยากซ่อนซารางไว้ด้วยสัญชาตญาณ ไม่อาจควบคุมอารมณ์นี้ได้เลย