เธอสามารถยืดอกบอกเขาชัดถ้อยชัดคำว่า ซารางเป็นของเธอ ตอนนั้นเขาสลัดโอกาสนี้ทิ้งแล้วก็อย่าคิดมาแย่งลูกไปเลย ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงทำแบบนี้ไม่ได้?
มันไม่ใช่นิสัยของเธอ นิสัยของเธอไม่ใช่แบบนี้!
“อันนี้ปกติมาก เพราะหนูรักซารางจากใจจริง อีกอย่างซารางเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของหนูแล้ว คุณไม่อยากให้มีการเปลี่ยน คิดแต่เพียงว่า
ถ้าขาดลูกสาวไปแล้วหนูจะอยู่ยังไง ดังนั้น หนูไม่ยอมให้ใครแย่งลูกสาวไปจากหนู เวลาผ่านไปนานเข้า หนูก็จะสะท้อนสิ่งนี้ ดังนั้น เมื่อเขาปรากฏตัว หนูเลยไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา เอาแต่จะซ่อนซาราง ไม่อยากให้เขารู้ ซ่อนได้แล้ว หนูถึงจะวางใจ……”
กนกอรทอดถอนใจก่อนจะกล่าวว่า“อันนี้คือหัวใจคนเป็นแม่ แม่เข้าใจลูกดี ลูกรักและใส่ใจซาราง มาก ดังนั้นจึงทำให้ตัวเองจมปลักกับสิ่งนี้อย่างไม่ค่อยมีสติ”
เชอร์รีนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกคลายปมในใจทีละนิด คล้ายกับเด็กที่หลงทางมานาน ตอนนี้ได้หาทางออกเจอแล้ว
“ดังนั้นเผชิญหน้าอย่างปกติเถอะ ไม่ต้องกลัวและไม่ได้คิดมาก อีกอย่างยังมีแม่กับพ่อนะ ใช่ไหม?”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่” เชอร์รีนก้มตัวกอดกนกอร
“พอแล้ว ไปนอนเถอะ เดี๋ยวลูกไม่อยู่แล้วซารางจะตื่น”
“ค่ะ หนูไปนอนก่อนค่ะ คุณแม่ก็รีบเข้านอนเถอะค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
เชอร์รีนนอนบนเตียงคิดวนถึงคำพูดของกนกอร เชอร์รีนรู้ว่าคุณแม่พูดมีเหตุผล
คุณแม่พูดความรู้สึกช่วงนี้ของเธอออกมา บอกว่าเธอกำลังหลบหนีและหวาดกลัวอยู่
อันที่จริง กระดาษไม่อาจห่อเพลิงไฟได้เลย ต้องมีวันรู้สักวันแน่ เธอทำอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
ถ้าอยากให้ซารางอยู่กับเธอ เธอก็ต้องเผชิญหน้า ไม่ใช่เป็นเหมือนสองสามวันนี้
เมื่อคิดตก ความกดดันก็มลายหายไป เชอร์รีนกอดซารางแล้วเข้าสู่นิทรา
……
อีกที่หนึ่ง
ณ ห้องทำงานของสิริไพบูรณ์กรุ๊ป
ออกัสพับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้นเล็กน้อย เส้นผมปรกอยู่ตรงหน้าผาก ท่าทางผ่อนคลาย ขี้คร้านและหล่อเหลายิ่ง นิ้วมือยาวกำลังพลิกอ่านเอกสารด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ชวนให้คนยากแท้หยั่งถึง
เสียงเคาะประตูแว่วเข้ามา เขาหลุบตาลง ปากเอ่ยคำเงียบง่ายว่า“เข้ามา!”
“ท่านประธานครับ” เลขาเตโชเดินเข้ามา
มือใหญ่ของออกัสล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะนำเส้นผมออกมาหลายเส้น ซึ่งเส้นผมมีผ้าเช็ดมือราคาสูงห่อไว้ จากนั้นก็ยื่นให้ผู้ช่วยเตโช
ผู้ช่วยเตโชรับมาด้วยความแปลกใจ เขาเตรียมจะพูด ทว่ากลับเห็นประธานของตนดึงเส้นผมของตัวเองมาให้เขาด้วย ต่อด้วยสั่งการด้วยถ้อยคำกะทัดรัดได้ใจความ“ไปตรวจดีเอ็นเอ”
ดี……ดีเอ็นเอ……
ผู้ช่วยเตโชงุนงงอยู่นาน ท่านประธานมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เมื่อนึกถึงใบหน้าใสซื่องดงามและมักยิ้มอย่างใจเย็นของคุณครูเชอร์รีน เขาก็เข้าใจขึ้นมา
ยังไม่ทันเดินออกนอกห้องทำงาน เสียงทุ้มต่ำของออกัสเอ่ยขึ้นอีกว่า“ด่วนที่สุด”
“ครับท่านประธาน”
ดวงตาและริมฝีปากของเขายกขึ้น แสงประกายแพรวพรายพลันแวบผ่าน……
เช้าวันรุ่งขึ้น
เชอร์รีนรอให้ซารางตื่นเองโดยไม่ต้องปลุก จากนั้นก็กินข้าวเช้า แล้วพาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ซึ่งระหว่างนั้นก็มีการนั่งชิงช้าและให้อาหารเป็ด
แค่ชั่วค่ำคืนเดียว ความรีบร้อนและความวิตกกังวลก็คล้ายกับจางหายหมดสิ้น……
กนกอรรู้สึกปลื้มใจยิ้ง เชอร์รีนกล่าวว่าเกรงใจว่า“ช่วงนี้ทำให้คุณแม่เป็นห่วงแล้ว วันหลังหนูจะไม่เป็นแบบนี้อีกค่ะ หนูจะจัดการเรื่องของตัวเองเองค่ะ”
“ดีมาก ถ้าหนูจัดการเองไม่ได้ก็บอกแม่กับพ่อนะ พวกเราอยู่ข้างหนูเสมอ……”
“ค่ะ……”
ตอนบ่ายสาม เชอร์รีนพาซารางไปสถานีรถไฟ เวลานี้หาซื้อตั๋วรถใต้ดินไม่ได้แล้ว
เธอถามซารางว่าจะนั่งเครื่องบินหรือนั่งรถไฟ
สาวน้อยกัดนิ้วคิดอยู่นาน ก่อนจะตอบว่านั่งรถไฟ เพราะสาวน้อยไม่เคยนั่งรถไฟมาก่อน ไม่รู้ว่ารถไฟเป็นอะไร
เธอยิ้มอย่างตามใจลูกสาว เธอเลยซื้อตั๋วสองใบ แต่เป็นรถตู้นอน ต้องใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมง เธอกลัวซารางนั่งไม่ไหวจริงๆ…
เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยพึ่งนั่งรถไฟครั้งแรก จึงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ หลังนั่งรถไฟก็นั่งริมหน้าต่าง สองขากระดุกกระดิกไม่หยุดหย่อน
เชอร์รีนกลัวลูกสาวหิวจึงต้มม่าม่าให้กินหนึ่งถ้วย
ซารางเป็นเด็กดีและรู้ความมาก หยิบตะเกียบด้านข้างมาแล้วยื่นให้เชอร์รีน เสียงนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “หม่ามี๊ก็กินด้วยสิค่ะ หนูกินไม่หมดค่ะ”
“เป็นเด็กดีมากเลยค่ะ” เชอร์รีนยื่นมือผ่านเส้นผมลูก จากนั้นก็นั่งตำแหน่งตรงข้าม
สองแม่ลูกหัวชนกัน พากันก้มหน้ากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยเดียวกัน ซารางใช้หน้าผากชันเธอขึ้นราวกับเป็นวัวน้อย ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วย
“เด็กจอมซน” เธอทิ่งจมูกเล็กอันน่ารักของลูกสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู
อันที่จริงนั่งรถไฟก็มีข้อดีไม่น้อย หากนั่งรถใต้ดิน ด้วยความเร็วของรถจึงทำให้มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างไม่ออก มันแค่แวบผ่านๆไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น
ส่วนการนั่งรถไฟนั้นสามารถชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างอย่างเต็มที่
บางครั้งรถไฟจะผ่านป่าไม้ที่มีใบไม้เขียวขจี และเมื่อมีลมพัดผ่านใบไม้ก็จะพลิ้วไหวไปตามแรงลม บางที่ก็จะเห็นสวนผลไม้ที่มีผลเต็มต้นไปหมด
ซารางเกาะอยู่ตรงหน้าต่างอย่างอยากรู้อยากเห็น ก้นเล็กจะยกขึ้นเล็กน้อย เพื่อมองวิวด้านนอกให้เด่นชัด ซึ่งเห็นแล้วก็ไม่คิดจะละสายตากันเลย“หม่ามี๊ค่ะ วันหลังพวกเรานั่งแต่รถไฟนะคะ?”
“ได้ค่ะ วันหลังหม่ามี๊จะพาหนูนั่งรถไฟอีกค่ะ” เชอร์รีนคลี่ยิ้ม สายตาก็อยู่นอกหน้าต่างด้วย ทุ่งนาอันกว้างขวาง ทำให้อารมณ์เบิกบานขึ้นไม่น้อย
ที่นั่งตรงนี้ยังมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับซารางอีกสองคน คนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชาย ส่วนอีกคนเป็นเด็กผู้หญิง
ผ่านไปสักพัก เด็กทั้งสามคนก็เล่นด้วยกัน วิ่งวนไปมาอยู่ระหว่างห้องอย่างสนุกสนาน
เมื่อวานขึ้นรถไฟตอนห้าโมงเย็นกว่าๆ ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงเมืองทะเลหทัยสิบสองชั่วโมง หากกำหนดการเดิมคือต้องถึงตอนตีห้ากว่า ทว่าเป็นเพราะรถไฟล่าช้าเล็กน้อย พวกเธอถึงไปถึงเมืองทะเลหทัยตอนหกโมง
หกโมงเช้าในฤดูร้อนเป็นเวลาที่พอเหมาะพอควร พระอาทิตย์ยังไม่ได้ขึ้นสู่ฟากฟ้า อากาศสดชื่นมา แถมยังรู้สึกเย็นนิดๆร่วมด้วย ทำให้คนรู้สึกสบายตัวมาก
“ซาราง จะไปอนุบาลวันนี้หรือว่าไปพรุ่งนี้คะ?”
นั่งรถไฟมาทั้งคืน ถึงตอนกลางคืนจะได้นอนแล้ว ทว่าซารางอายุยังน้อย เชอร์รีนกลัวว่าลูกสาวจะง่วงนอน
ซารางกลับกระปรี้กระเปร่า ยืดจมูกน้อยๆขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า“ไปวันนี้ค่ะ คุณครูบอกว่า หนีเรียนคือเด็กไม่ดี หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ จะได้ดอกไม้สีแดงเยอะๆเลยค่ะ”
“ค่ะ ซารางเก่งมากค่ะ” ยิ้มเบาๆ เชอร์รีนพาซารางไปกินข้าวเช้า จากนั้นก็ส่งลูกไปโรงเรียน แล้วตัวเองก็เข้าทำงาน