บทที่ 38 Ink Stone_Romance

สองสามวันที่ผ่านมานี้อาเรียสนุกสนานอยู่กับการเล่นเป็นชนชั้นสูงกับแอนนี่ เธอทั้งช่วยหล่อนแต่งตัว ฝึกมารยาทในงานเลี้ยงน้ำชา รวมไปถึงอนุญาตให้เข้าฟังการอบรมชนชั้นสูงอีกด้วย

แน่นอนว่าหล่อนทำได้แค่รินชาและยืนฟังอยู่เฉยๆ เท่านั้น แต่ก็ยังตั้งใจฟังและแสดงสีหน้ามีความสุขราวกับได้โลกทั้งใบไปอย่างนั้น

“วันนี้ได้เรียนในคาบเยอะเลยใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ! ดิฉันเพิ่งได้รับทราบเป็นครั้งแรกเลยว่าในโลกใบนี้มีมารยาททางสังคมที่ต้องรักษาเยอะแยะเลยค่ะ”

แอนนี่ตอบพลางเผยสีฝาดบนแก้มทั้งสอง แม้ว่าชาจะยังอุ่นอยู่ แอนนี่ก็ไม่ทิ้งช่วงให้ชาได้คลายร้อนจึงรินชาให้ใหม่โดยไม่รีรอ ดูเหมือนว่าจะอยากได้อะไรจากอาเรียเพิ่มเติม

อาเรียเผยยิ้มเล็กน้อยพลางหยิบขนมทาร์ตที่ได้เป็นของขวัญจากไวเคาน์ติสซิลวี่อาจารย์ประจำตระกูลพลางยื่นให้หล่อน

“เลดี้คะ…”

“ทานสิ”

“ตะ..แต่ว่า…!”

เธอจะกล้าจะทานเค้กแสนหายากที่ได้มาเป็นของขวัญได้อย่างไรกัน อีกอย่างเลดี้ยังไม่ได้ทานเลยสักคำ หากให้เธอจัดการของที่เหลือก็คงไม่เป็นไร แต่จะกล้ากินต่อหน้าเจ้านายที่ตัวเองดูแลแค่คิดก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว

“ต่อไปถ้าร่วมงานเลี้ยงก็จะได้ทานพร้อมกันด้วยนี่ จะกังวลอะไรล่ะ”

ท่าทางอาเรียเหมือนกับว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย ต่างกับแอนนี่ที่มัวแต่กังวล แม้จะได้ยินอยู่ไม่กี่ครั้งว่า ‘ต่อไปก็จะได้ร่วมงานเลี้ยง’ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่

การเล่นเป็นคนชั้นสูง มันไม่ใช่สิ่งที่จะไว้เล่นกับข้ารับใช้ไม่ใช่หรอกเหรอ

ถึงอย่างนั้นก็ตามแอนนี่ก็หยิบทาร์ตเข้าปากตัวเองไปเหมือนกับไม่รู้ตัว ความหอมหวานที่แผ่ซ่านในปากแทบจะทำให้เธอน้ำตาไหลด้วยซ้ำ แต่ด้วยคำเตือนของอาเรียที่บอกว่าให้ปกปิดความรู้สึกของตัวเองทำให้เธอกลั้นใจเคี้ยวและกลืนลงไป

“ตอนนี้เธอเก่งมากจริงๆ น่าจะเริ่มจะพาไปงานเลี้ยงด้วยได้แล้วล่ะ”

“ขอบคุณค่ะ เลดี้”

อาเรียจะพาเธอไปงานเลี้ยงด้วยจริงหรือ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่แอนนี่คาดหวังมากที่สุด แน่นอนว่าแม้ตัวเองจะมีสิ่งที่ต้องทำอยู่ก็ตาม แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงความหอมหวานที่อาเรียมอบ สิ่งนั้นให้ได้ล่อลวงวิญญาณของเธอไปเสียแล้ว

แม้จะรู้อยู่แก่ใจก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพชรพลอยกำลังสั่นไหวร้องเรียกเธออยู่ตรงหน้านี่ จะให้คิดเรื่องอื่นได้อย่างไรกัน

อย่างไรเสียเธอไม่สามารถหลีกหนีหน้าที่การเป็นสาวใช้คนสนิทของมิเอลในคฤหาสน์ได้ พลางคิดว่าวันนี้จะเอาคำโกหกอะไรไปรายงานเจ้านายของเธอดี

“จะว่าไป นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของมิเอลแล้วนี่นา”

“ใช่แล้วค่ะ…”

หลังจากแอนนี่ได้ยินคำว่ามิเอลออกมาจากปากของอาเรียก็ได้สติขึ้นมาทันที เธอไม่ต่างกับหญิงร้ายที่ไม่มีอะไรดีและมีแต่จะทำร้ายตัวเอง การตอบรับเลยต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะตอนนี้เธอพอใจอย่างมากกับตำแหน่งข้างๆ อาเรียตรงนี้

“กำลังเตรียมการอยู่ใช่ไหมล่ะ”

“ไม่รู้สิคะ ดิฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอ ฉันกำลังคิดว่าถ้าเตรียมงานเหมือนเมื่อก่อนจะพาเธอไปด้วยดีไหมนะ”

คนที่เพิ่งได้เจอจะไปสบายใจกว่าคนที่เห็นหน้าค่าตากันอยู่บ้างแล้วได้อย่างไร แอนนี่เบิกตาโพลงกับคำพูดของอาเรีย

คิดจะพาตัวเองไปจริงๆ สินะ เธอตื่นเต้นจนใจสั่นไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้

“เธอบอกว่าไม่รู้ก็ช่วยไม่ได้ งั้นค่อยเลื่อนไปคราวหน้าแล้วกัน”

แอนนี่เกือบจะหลุดบอกไปว่างานเลี้ยงวันเกิดของมิเอลจะเตรียมการอย่างง่ายๆ ไปเสียแล้ว แต่เธอก็สามารถอดทนกลืนน้ำลายไม่ให้เผลอพูดออกไปได้

คอยเตือนตัวเองว่า ‘เจ้านายของตัวเองคือเลดี้มิเอลสิ ไม่ใช่อาเรีย’ อาเรียโบกมือพลางเผยสีหน้าเนือยๆ ให้แอนนี่ที่ยังวางใจไม่ได้

“วันนี้เธอกลับไปได้แล้ว แล้วเรียกเจสซี่มาหน่อย”

เจสซี่ได้พักผ่อนอยู่สองสามวันจากความใจดีของอาเรีย จริงๆ แล้วการจะเลี้ยงแอนนี่ไว้นั้นไม่ใช่เพราะต้องการกำจัดเจสซี่หรอก แค่ให้หล่อนได้พักผ่อนบ้าง แต่แอนนี่กลับรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่

คำสั่งที่ให้เรียกเจสซี่มาทำให้แอนนี่เหงื่อตก แม้ตอนนี้จะอยู่ในช่วงพอเหมาะพอควรแล้วก็ตาม หากเธอกลับไปเป็นเช่นเดิมก็กังวลว่าสิ่งที่เธอคาดหวังจะกลายเป็นของคนอื่นไปได้

อาเรียหันไปมองแอนนี่ที่ไม่ตอบอะไรในขณะที่กัดริมฝีปากอยู่พลางสั่งให้ไปเรียกเจสซี่มาอีกครั้ง

“ค่ะ เลดี้”

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่แอนนี่ต้องเลือกก็คือมิเอล แทนที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆ หล่อนควรเลือกที่จะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเสียตั้งแต่ทีแรก

แค่กุเรื่องสร้างเหตุผลก็เพียงพอแล้ว แต่เพราะนี่ดันเป็นวันเกิดของมิเอลจึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

อาเรียมองแอนนี่ที่ออกไปอย่างเงียบๆ พลางกลั้นยิ้มอย่างขมขื่น

ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงเวลา

* * *

ตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาไม่กี่วันก็ถึงวันเกิดของมิเอล

คนทั้งคฤหาสน์ต่างวุ่นอยู่กับการจัดเตรียมเพื่อรับแขกตั้งแต่เช้าตรู่ อาเรียที่ตื่นตั้งแต่เช้าจึงนั่งดื่มชาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

‘ของขวัญมากมายจริงๆ เลย’

แม้จะเป็นฉากที่เคยเห็นบ่อยๆ ก็ตาม แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เป็นเพราะอาเรียไม่เคยได้รับอะไรเช่นนี้มาก่อน

พลางคิดว่าบรรดาของขวัญที่ถูกลำเลียงจากรถม้านั้นจะมีอะไรอยู่ข้างในกันนะ

เจสซี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังอาเรียถูนิ้วมือไปมาเนื่องจากไม่สามารถปิดบังความกังวลได้ แน่นอนว่าเธอแตกต่างไปจากเมื่อก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาก่อเรื่องอีกครั้งตอนไหน

โล่งอกที่อาเรียไม่ได้ก่อความเสียหายใดๆ นัก เพียงแค่มองสิ่งที่มิเอลได้รับอย่างเงียบๆ

คิดแค่ว่าสักวันหนึ่งเธอจะแย่งของพวกนั้นมาเป็นของตัวเองให้ได้ พลางจับถ้วยชาเอาไว้แน่น

ตอนนี้ก็เพียงแค่ต้องอดทนไว้

อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นของเธอ ต่างกับในอดีต ตอนนี้เธอรู้อนาคตแล้วและเธอยังมีนาฬิกาทรายนี่ด้วย

‘ทำให้อับอายด้วยนาฬิกาทรายนี่ก็คงจะไม่เลวสินะ’

แม้จะไม่ได้รับเชิญ แต่เมื่อลองนึกถึงนิสัยของมิเอลดูแล้ว คนในครอบครัวอย่างเธอจะเข้าร่วมงานวันเกิดด้วยก็คงไม่มีปัญหาอะไร

แต่แน่นอนว่าต้องทนเห็นสายตาของพวกที่เอ็นดูมิเอลซึ่งก็ไม่ได้น่ามองเท่าไหร่นัก การที่จะทำให้หล่อนอับอายกับแค่สายตาพวกนั้นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร

‘และที่สำคัญคือ… ออสการ์ไม่ยอมตอบจดหมายของเธอเลย’

แม้ระยะเวลารับส่งจะไม่นานเท่าไหร่นัก แต่จดหมายฉบับแรกของอาเรียที่ส่งไปในฐานะ ‘เพื่อน’ นั้นก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ

ไม่มีทางที่เขาจะผิดสัญญาที่เธอล่อลวงไว้อย่างดี อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องตอบกลับมาบ้างอย่างแน่นอน เกิดอะไรขึ้นนะ ไม่ใช่ว่าได้สติแล้วหรอกนะ

‘ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องหลอกล่อใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เอาให้หลุดออกจากวังวนนี้ไม่ได้เลย’

อาเรียคิดเรื่องต่างๆ พลางแต่งกายตัวเองให้ดูน่ารักน่าชังขึ้น

ไม่ให้ดูเยอะจนเกินไปในขณะที่พยายามไม่ให้ตัวเองดูไม่มีอะไร อย่างไรก็ตามแม้อายุจะน้อยแต่รูปลักษณ์ภายนอกมีความโดดเด่นเพียงพอแล้ว แม้จะไม่ได้เสริมเติมแต่งอะไรเพิ่มก็สามารถดึงดูดทุกสายตาได้ นั่นเป็นความสามารถพิเศษของเธออีกอย่างหนึ่งด้วย

เจสซี่ที่กำลังหวีผมอาเรียอยู่เผลออุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะเข้ามาอยู่ในตระกูลท่านเคานต์เลยได้กินอยู่อย่างสบายจึงตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ทำให้หล่อนตะลึงในความงดงามของอาเรีย

เนื่องจากเป็นใบหน้าที่เห็นอยู่ทุกวันจึงไม่ได้รู้สึกแตกต่างอะไรนัก แต่เมื่อได้เติมแต่งนิดหน่อยก็มีเสน่ห์จนดึงดูดสายตาไปโดยไม่รู้ตัว

แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้หญิงนั้นจะมีการเจริญเติบโตที่คล้ายๆ กัน อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับมิเอลที่อายุเท่ากับเธอแล้วก็ถือว่าเป็นการเติบโตที่ยอดเยี่ยม เมื่อเริ่มเติบโตได้ครั้งหนึ่งก็จะเริ่มเข้าใกล้ความเป็นผู้ใหญ่ยิ่งขึ้น

เพราะทุกคนมัวแต่ยุ่งกันหลังจากทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ เธอจึงได้แต่อ่านหนังสืออยู่ในห้องเพื่อรอเวลางานเลี้ยงวันเกิดของมิเอลเริ่มขึ้น

หากปรากฏตัวอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบที่หล่อนเคยทำคงจะดีสินะ ทำท่าให้น่าเห็นอกเห็นใจจนแม้จะเป็นคนของมิเอลก็อดที่จะสงสารไม่ได้อย่างไรล่ะ

จินตนาการอย่างอารมณ์ดีพลางปิดหนังสือ มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นรถม้าที่คุ้นตาอยู่ไกลๆ รถม้าสลักลายดอกลิลลี่ เป็นรถม้าของท่าเคานต์นั่นเอง

ต่างจากรถม้าที่ใช้ปกติ ครั้งนี้เป็นรถม้าที่ใหญ่และดูแข็งแรงกว่าเดิม เป็นรถม้าที่สามารถเก็บสัมภาระขนาดและบรรทุกคนได้เยอะ เหมาะกับการท่องเที่ยวทางไกล

‘จะนั่งบนรถม้านั่นได้… มีแค่ท่านเคานต์นี่นา’

แม้ฤดูหนาวจะได้เวลากลับมาแล้วก็ตาม แต่เธอก็ไม่คิดว่าท่านจะกลับมาทันวันเกิดมิเอลได้

ถ้าท่านเคานต์ตั้งใจจะกลับมาให้ทันวันเกิดของหล่อนล่ะก็ ถึงจะเป็นลูกเลี้ยงก็ตามก็คงต้องรู้สึกเวทนาสักหน่อยไม่ใช่หรือ

อาเรียจ้องมองท่านเคานต์ที่ลงมาจากรถม้าพลางโอบกอดบุตรสาวตัวเองอยู่ตรงนั้น แม้หนทางจะยังอีกไกลแต่การถูกเลือกปฏิบัติเป็นสิ่งที่อาเรียคุ้นชินอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าความรู้สึกที่เคยเจอในอดีต ความเหงาโดดเดี่ยวเหล่านั้นจะกลับมาอีกแล้ว เพราะเหตุใดกัน

‘…ช่างเป็นความรักของพ่อที่ทำเอาน้ำตาแทบไหลเสียจริง’

เป็นความรักที่เธอไม่เคยได้รับ มีเพียงตัวเธอเองที่จะรักเธอได้  เธอเชื่อว่าเรื่องแบบนั้นไม่มีอยู่จริง แม้กระทั่งเคาน์ติสแม่แท้ๆ ของเธอมัวแต่ยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลเธอด้วยซ้ำ

ชายในอดีตต่างหลงในรูปลักษณ์ภายนอกของเธอเท่านั้น และพร้อมที่จะยกสมบัติให้เธอได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายก็กลับไปเป็นแบบเดิม ท้ายที่สุดคนที่อยู่ข้างเธอตั้งแต่แรกจนถึงตอนจบก็มีแต่ตัวเธอเท่านั้น

‘อย่างไรเสียทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์อันใด หากชีวิตตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย’

อาเรียไม่เชื่อในความรัก

แม้จะเป็นความรักระหว่างพ่อแม่ลูกก็ตาม

เพราะฉะนั้นการหลอกใช้บางอย่างจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ แล้วก็มั่นใจด้วย

สำหรับเธอที่รู้ว่าความรักไม่มีอยู่จริงไม่มีสิ่งไหนง่ายไปกว่าสิ่งนี้แล้ว

* * *

ดูเหมือนท่านเคานต์ไม่ได้กลับมาแค่คนเดียว

แต่กลับมาพร้อมกับชายหนุ่มที่ดูสะอาดสะอ้านอายุราว 20 กลางๆ ตอนที่อาเรียลงไปยังชั้นหนึ่งเขากำลังทำความรู้จักกับมิเอลอยู่ ชายหนุ่มยิ้มอย่างเป็นมิตรพลางแนะนำว่าตัวเองว่ามาจากตระกูลเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง

“เรียกกระผมว่าเรน พีโน่ เรน เรียกง่ายๆว่า เรนเถอะครับ”

เมื่อได้ยินนามสกุลที่ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน มิเอลยิ่งให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเพื่อจะยกระดับตัวเองหรือต้องการกำลังเสริมกันแน่ แต่ที่มั่นใจคือหล่อนมีอะไรที่ต้องการอยู่แน่นอน

หากไม่ใช่อย่างนั้นไม่มีทางที่เธอจะเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาให้

ส่วนเรนนำพลอยและเครื่องประดับล้ำค่ามาให้มิเอลเป็นของขวัญ การที่ตระกูลเล็กๆ จะเตรียมของขวัญขนาดนี้ดูท่าจะใช้เงินไปเยอะ

หลังจากที่มิเอลเบิกตาโตขึ้นพลางบอกว่าลำบากใจ เขาก็พูดว่า ‘ของพวกนี้ตนเองไม่ได้เป็นคนเตรียมไว้ หากแต่เป็นเจ้านายที่สั่งการเขามาอีกที อย่าลำบากใจไปเลย’ จึงช่วยลดความหนักใจของมิเอลลงได้

ท่านเคานต์อีกทั้งเขา(เจ้านายของเขา)น่าจะรู้ว่ามิเอลแสดงความสนใจเกินตัว แต่ก็ไม่ได้กีดกันหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจใดๆ ออกมา เพียงแค่จะคอยสูบธุรกิจหลายๆอย่างของเรนเท่านั้น

ตามที่เรนบอก ‘ไม่ใช่กระผมหรอก แต่เป็นเจ้านายที่สั่งมาเท่านั้นครับ’ ว่าพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี

ต่างจากในอดีตที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรก อีกทั้งเขาที่ดูเหมือนไฮยีน่ากำลังเล็งเหยื่อยิ่งทำให้อาเรียรู้สึกไม่สบายใจนัก

“บุตรสาวท่านสวยยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีกนะครับ แม้จะไม่รู้เรื่องอื่นแต่ข่าวลือเกี่ยวกับเลดี้มิเอลไม่ได้เกินจริงไปเลยครับ”

“ชมกันเกินไปแล้วค่ะ”

เพราะมัวแต่ชมมิเอลซ้ำไปซ้ำมา อาเรียจึงได้แต่มองท่าทางโง่เขลาที่แสดงออกมาอยู่อย่างนั้น

‘จะว่าไปแล้วเดรสนั่นเหมือนเคยจะเห็นที่ไหนมาก่อน…’

หลังจากอาเรียกกังวลอยู่สักพักก็สามารถรู้ถึงที่มาของเดรสที่มิเอลใส่อยู่ได้

‘…คล้ายกับชุดเดรสที่คุณออสการ์ให้ฉันเป็นของขวัญเลยนี่นา’

คิดว่าเขาจะให้ของขวัญกับหญิงสาวคู่หมั้นและพี่สาวของเธอด้วยชุดเดรสที่คล้ายกันงั้นเหรอ ไม่มีเซนส์เสียจริง อาเรียคิดพลางกลั้นหัวเราะ

ในระหว่างที่เรนเอ่ยปากชมมิเอลในที่สุดก็หันสายตามาเจอกับอาเรีย

ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในตัวมิเอลมากเกินไปจนไม่รู้ว่าอาเรียมาถึงแล้วจึงแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมา

หลังจากท่านเคานต์แนะนำอาเรียว่าเป็นบุตรสาวอีกคนหนึ่ง เขากลับไม่พูดจาฉะฉานเหมือนเมื่อครู่แต่กลับแสดงสีหน้าและน้ำเสียงตกใจออกมา

“เอ่อ… บุตรสาวท่านคนนี้สวยยิ่งกว่าคำล่ำลือใดๆ เสียอีกครับ”

อาเรียเห็นความจริงใจจากสีหน้าและน้ำเสียของชายได้

ต่างกับที่เขาพูดกับมิเอลครั้งนี้พูดด้วยความจริงใจ

เป็นหญิงงามที่คู่ควรจะมีอยู่ในตระกูลชั้นสูงแต่อาเรียเริ่มจากคนชนชั้นธรรมดาไม่สามารถเจอใบหน้างดงามเช่นนี้ในบรรดาเลดี้ชั้นสูงได้เช่นกัน รูปโฉมที่ไม่เว้นว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ หากเธอตัดสินใจก็สามารถหว่านเสน่ห์มัดใจได้

รู้เรื่องไร้สาระไปแล้วสินะ อาเรียซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นไม่ได้

เพราะท่านเคานต์ใช่ไหมนะ หรือจะเป็นโอกาสดีที่ไร้ค่า อย่างไรก็ตามเพราะความอยากเอาชนะโดยที่ไม่รู้ที่มานั้นกลับส่งกลิ่นหอมอย่างรุนแรงพลางเผยรอยยิ้มให้เรน

“…”

แม้ชั่วพริบตาเดียวแต่อาเรียเห็นแววตาที่สั่นไหวของเขาอย่างชัดเจน แต่ทว่าก็แค่ชั่วครู่เท่านั้น เรนหันเบี่ยงสายตาของเธอกลับไปมองมิเอลเหมือนเดิม

คนที่ตกใจอยู่ตอนนี้กลับเป็นอาเรีย

อะไรกัน เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดเลย เธอคิดว่าเขาจะหลงเสน่ห์ของตัวเองจนมองข้ามมิเอลไปซะแล้ว แต่สำหรับอาเรียเธอไม่ได้สนใจเรนแม้แต่ขี้เล็บของเธอด้วยซ้ำ

อาเรียที่รู้ว่าตนเองไม่สามารถร่วมพูดคุยกับพวกเขาได้มากกว่านี้ กัดริมฝีปากพลางคิดว่าจะไม่ปล่อยเวลานี้ทิ้งไปเปล่าๆ

เมื่อบอกว่าจะขึ้นไปข้างบน ท่านเคานต์ก็เอาของขวัญให้กับเธอ

เป็นตลับเพชรที่มีเพชรพลอยประดับตกแต่งอยู่รอบๆ ในอดีตท่านเคานต์เคยให้มิเอลเป็นของขวัญแค่คนเดียว ข้างในจะมีเครื่องประดับเล็กๆน่ารักอยู่สามสี่ชิ้น

‘เอาล่ะ เท่านั้นก็คงพอแล้ว’

เมื่อเทียบกับอดีตที่เธอไม่ได้รับอะไรสักอย่าง ตอนนี้พัฒนาไปเยอะเลย แค่ข้อมูลเพียงครั้งเดียวก็ได้รับผลตอบแทนขนาดนี้แล้ว จนเธอคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ได้เหรอ

ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของท่านเคานต์ที่เคยเย็นชา สายตาตอนนี้กลับดูอบอุ่นขึ้น

ต่างจากเมื่อครู่ อาเรียที่ได้แต่ยิ้มอย่างสง่างามนั้นได้หลุดพ้นจากโลกของพวกเขาแล้ว

……………………….