ตอนที่ 482

The Divine Nine Dragon Cauldron

พวกเขาอยู่บนเทือกเขาเขียวขจี แต่ซือหยูมิอาจมองเห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆเลยด้วยเนตรวิญญาณ ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

 

มีรอยขีดข่วนทั่วพื้นดิน หรือว่าจะเป็นเพราะคลื่นสัตว์อสูรที่ทำให้สัตว์อสูรที่นี่หนีหายไปจนหมด? เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขาทำสมาธิบ่มเพาะพลังอยู่กันแน่?

 

ขณะที่เขาครุ่นคิดก็มีกลิ่นหอมหวานมาจากภูเขาเบื้องล่าง ซือหยูรู้สึกเบาสบายอย่างมากเมื่อหายใจสูดมันเข้าไป แก้วพลังชีวิตที่เสียหายของเขาเริ่มฟื้นฟูขึ้นมา! บาดแผลภายในร่างก็เริ่มฟื้นฟูอีกด้วย

 

หญิงสาวผู้เยือกเย็นที่มากับเขาได้กลิ่นหอมหวานนี้ด้วยเช่นกัน สีหน้าของนางแสดงความดีใจ

 

“นี่มันทับทิมวิญญาณขนนก!”

 

“มันจะทำช่วยชำระล้างพลังวิญญาณได้อย่างยอดเยี่ยม! มันไม่ได้หาง่ายในจิวโจว ราคาของมันสูงมาก”

 

ชำระล้างพลังวิญญาณรึ? ซือหยูคิดด้วยความตื่นเต้น บันทึกในตำราของจักรพรรดิสายฟ้าบอกไว้ว่ายิ่งพลังวิญญาณบริสุทธิ์เท่าใด การทะลวงพลังเป็นขอบเขตภูติก็ยิ่งจะให้พลังสูงมากขึ้นเท่านั้น การชำระล้างพลังวิญญาณนั้นคือการปูทางสู่อนาคต

 

ยอดฝีมือที่แท้จริงจะหยุดการทะลวงพลังและชำระล้างพลังวิญญาณเสียก่อน ด้วยวิธีนี้จะทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะได้บรรลุระดับจ้าวเทวะ และหลังจากที่ทะลวงขอบเขตภูติด้วยพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์กว่าเดิม พลังชีวิตจะบริสุทธิ์มากขึ้นและมีปริมาณที่มากกว่าขอบเขตภูติทั่วไป นั่นแปลว่าจะทำให้เกิดความได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้

 

ของสิ่งนี้เป็นของหายากในจิวโจว อาจจะต้องใช้สมบัติเทพระดับสูงเพื่อแลกเอามันมา แต่ที่นี่นั้นต่างออกไป ทับทิบวิญญาณขนนกเติบโตอยู่ที่ใต้เท้าของพวกเขา!

 

“ข้าไม่ต้องการเบาะแสเรื่องสมบัติวิญญาณแล้ว…”

 

ซือหยูอยากจะเอามันเป็นของตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

“มอบสิ่งนั้นให้ข้าจะได้หรือไม่?”

 

แต่เดิมเขาก็ไม่เชื่ออยู่แล้วว่านางจะมีข้อมูลของสมบัติวิญญาณ แม้นางจะพูดออกมา นางก็อาจจะปิดบังความจริงบางอย่างเอาไว้ ดังนั้นเขาควรจะรับผลไม้วิญญาณตรงหน้านี้ไปเสียดีกว่า

 

นางยังคงเย็นชา

 

“ตามใจเจ้า…”

 

“มันมีผลแค่ครั้งแรกเท่านั้นที่เจ้าใช้มัน”

 

หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางได้ใช้ทับทิมวิญญาณขนนกชำระล้างพลังวิญญาณของตัวเองไปแล้ว

 

ซือหยูพยักหน้า เขายื่นมือเก็บเรือบินเทวะและไล่ตามกลิ่นไปยังส่วนลึกของภูเขา

 

ไม่นานเขาก็ตามกลิ่นมาถึงลำธารเล็กๆ

 

ลำธารนั้นใสดั่งแก้ว มันสะท้อนท้องนภาสีครามและเมฆาขาวราวกับกระจก ที่กลางลำธารมีต้นไม้ขาวต้นเล็กที่ปล่อยพลังอันบริสุทธิ์ออกมา ใบของมันเหมือนกับขนวิหคขาวบริสุทธิ์ที่ยื่นรับแสงสุริยา

 

ส่วนบนของต้นนั้นมีผลไม้ทองคำที่ปล่อยกลิ่นยั่วยวน มันคือทับทิมวิญญาณขนนก นี่คือผลไม้วิญญาณที่หาพบได้ยาก

 

ซือหยูบินเข้าใกล้ด้วยความดีใจ เขาหยิบเอาพลั่วหยกออกมาและเก็บทับทิมวิญญาณขกนกใส่กล่องหยก แต่เขาก็สังเกตเห็นว่ามีด้ายแดงราวกับโลหิตรัดต้นไม้สีขาวนี้อยู่

 

ด้วยความสงสัย เขาใช้เนตรวิญญาณมองทะลวงผ่านเข้าไป เขาหรี่ตามอง ด้ายแดงนี้ไม่ใช่สิ่งที่เติบโตจากต้นไม้ มันมาจากใต้ดินและรัดต้นไม้ต้นนี้ผ่านขึ้นมาจากราก!

 

เขามองดูด้วยความสงสัย เหตุใดถึงมีด้ายแดงถึงมาหยุดอยู่กับต้นไม้ต้นนี้กัน? พื้นทั้งหมดถูกรัดไปด้วยด้ายแดงเหล่านี้จนกลายเป็นใยโลหิตใต้ดิน และด้วยปริมาณมากมายของด้ายแดงนี้เองที่ทำให้ซือหยูขนลุก!

 

เขาเหลือบมองอีกด้าน เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าพื้นในตอนนี้เต็มไปด้วยด้ายสีแดงไม่ว่าจะมองไปทางไหน! ราวกับว่าเขาลอยอยู่บนแหโลหิตขนาดยักษ์ที่ปกคลุมโลก!

 

ในตอนนั้นเอง ด้ายแดงในต้นไม้ขาวพุ่งออกมา! ไม่มีใครตอบสนองได้ทันแน่!

 

แม้แต่ซือหยูก็ตกใจ แต่เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย การตอบสนองของเขาเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าเขาจะไม่มีเวลาให้ใช้วิชาหรือหยิบเอาสมบัติเทพออกมาก็ตาม

 

แต่ในร่างกายของเขามีสายฟ้าที่ต้านทานอสูรได้ และบางส่วนของสายฟ้ายังเป็นวิบัติอัสนี! พริบตาเดียวก็เกิดใยสายฟ้าปกคลุมร่างกายของเขาทั้งร่าง

 

เขาได้ยินเพียงเสียงสายฟ้าลั่นดังก่อนจะมีกลิ่นฉุนโชยออกมา เมื่อด้ายแดงสัมผัสกับกายซือหยู ทั้งหมดก็กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยวิบัติอัสนี

 

ซือหยูรอดพ้นด้ายแดงมาได้หวุดหวิด เขาบินขึ้นฟ้าโดยไม่ลังเล แต่ในตอนนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกมาจากด้านหลัง ด้ายไร้ลักษณ์พุ่งเข้ามา!

 

ซืหยูชักสีหน้า เขาเรียกลำดับหนึ่งในห้าออกมา

 

แกร๊ง—

 

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ลำดับที่เขาเรียกออกมานั้นกระเด็นไปไกลพันศอก

 

ซือหยูหันกลับไปมองและพบกับหญิงสาวผู้เยือกเย็นที่ถือสว่านในมือ นางมองลำดับลูกแก้วที่กระเด็นไปด้วยความแปลกใจ

 

นางที่ลอบโจมตีคือคนที่ซือหยูช่วยชีวิตเอาไว้!

 

“จะฆ่าชิงสมบัติข้ารึ?”

 

ซือหยูพูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

 

นางเยือกเย็นอย่างมาก

 

“ใครสนใจสมบัติเจ้า! ข้าจะเอาชีวิตเจ้า!”

 

ซือหยูยกมือเรียกลูกแก้วกลับมาวนรอบศีรษะ น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นขึ้น

 

“โอ้? ชีวิตข้าเรอะ? ข้าไปทำอะไรเจ้าตอนไหน? ถ้าจำไม่ผิด ข้าคือคนที่ช่วยชีวิตเจ้า!”

 

“หึหึ เจ้าจำข้าไม่ได้ แต่ข้ารู้จักเจ้า!”

 

หา? ซือหยูใจเต้นแรง นางรู้จักเขารึ? ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มาจากทวีปเฉินหลง เขาเคยเจอกับนางโดยที่ไม่ได้ตั้งใจในกระโจมเทพสวรรค์งั้นรึ?

 

“ข้าคือหวูอู๋ยี่จากเรือกระจ่างจันทราประกาย…”

 

“ในฐานะผู้ใช้วิชาอสูร เจ้าจะต้องรู้ว่าเหตุใดข้าถึงอยากจะเอาชีวิตเจ้า ซื่อหลิง! ซื่อหลิง…เจ้าจะต้องรู้ดีตอนที่เจ้าข่มขืนสังหารศิษย์หญิงคนแรกของเรือกระจ่างจันทราประกายแล้ว!”

 

ซื่อหลิงรึ? ซือหยูตกตะลึง หวูอู๋ยี่ผู้นี้เข้าใจผิด!

 

“แม่นาง…”

 

“ก่อนที่เจ้าจะทำอะไร เจ้าช่วยแน่ใจถึงตัวตนของอีกฝ่ายก่อนจะดีหรือไม่?”

 

ซือหยูที่ต้องพบกับเรื่องประหลาดไม่มีเวลาจะเสียกับผู้หญิงคนนี้

 

แต่คาดไม่ถึงที่นางกลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น

 

“ฮ่าๆๆ! ว่ากันว่าซื่อหลิงอวดดีและหยาบคาย! ทำไมเจ้าไม่กล้าบอกว่าเจ้าเป็นใครในตอนนี้เล่า? เจ้ามันน่าขันนัก! เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก! ใครกันนอกจากซื่อหลิงที่จะมีผมสีแดงแล้วควบคุมเรือบินเทวะได้?”

 

ผมสีแดง…ซือหยูหมดคำพูด ซื่อหลิงนั้นมีผมสีแดงจริงๆ ใครจะคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดไปได้เล่า?

 

“ข้าไม่ใช่ซื่อหลิงจริงๆ!”

 

ซือหยูพูดอย่างหงุดหงิด

 

“ข้าเป็นแค่ผู้บ่มเพาะเร่ร่อน”

 

หวูอู๋ยี่มองด้วยความขยะแขยง

 

“เจ้าจะบอกว่าคนที่เป็นแค่ผู้บ่มเพาะเร่ร่อนชิงเรือบินเทวะจากซื่อหลิงมาได้งั้นเรอะ? ช่างมันแล้ว! ข้าจะเสียเวลากับคนอย่างเจ้าทำไมกัน? ถึงเจ้าจะมีร่างกายของขอบเขตภูติ ข้าก็ฆ่าเจ้าได้ง่ายๆ!”

 

หวูอู๋ยี่ประกาศอย่างหนักแน่น นางมั่นใจในพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และนางยังโจมตีหลังจากที่พูดจบ

 

สว่านคมกริบในมือหมุนควงอีกครั้ง แสงสีดำสนิทเปล่งประกายออกมาจากปลายสว่าน

 

ซือหยูระวังตัวอย่างมากเมื่อมองแสงทมิฬนั้น

 

“สมบัติเทพระดับสูง!”

 

แสงทมิฬนี้ไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกสมบัติธรรมดา มันสร้างรอยแยกของมิติได้ก็เกราะแรงกดดันที่สมบัติเทพระดับสูงปล่อยออกมา!

 

แสงทมิฬนั้นฉีกมิติให้ขาดได้! ถ้าเขาถูกการโจมตีจากด้านหลังเมื่อครู่ เขาก็อาจจะตายไปแล้ว!

 

ความเร็วในการหมุนของมันนั้นแทบมองตามไม่ทัน มันพุ่งเข้ามาถึงสิบศอกห่างจากซือหยูในพริบตาเดียว! ไม่มีเวลาพอที่ซือหยูจะป้องกันตัวเองได้ในสถานการณ์นี้!

 

สายฟ้าในร่างของเขาปะทุออกมา ชั้นสายฟ้าปกคลุมร่างกาย

 

อั่ก—

 

สว่านคมกริบหมุนทะลวงร่างซือหยู สายฟ้าที่ปกคลุมร่างของเขากระจัดกระจายออกไป

 

“วิชาอัสนีงั้นรึ?”

 

“คนที่ใช้วิชาอสูรอย่างซื่อหลิงใช้วิชาอัสนีที่ต้านทานวิชาอสูรได้ด้วยเช่นนี้ น่าแปลกใจจริงๆ!”

 

เปรี๊ยะ–

 

ที่ระยะพันศอก ร่างของซือหยูปรากฏที่กลางสายฟ้า สีหน้าของเขาเยือกเย็น เขาพยายามจะอธิบายแต่อีกฝ่ายก็ดื้อด้านนัก เหตุก็เพราะนางคิดว่าเป็นเรื่องง่ายที่นางจะสังหารเขา! ถ้าเขาแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าซื่อหลิง นางจะคิดโจมตีเช่นนี้รึ?

 

ซือหยูตัดสินใจที่จะไม่อธิบายกับนางไปมากกว่านี้แล้ว

 

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไร้ปรานี! พลังของข้าเพิ่มขึ้นมาในไม่กี่วันก่อน ข้าจะทดสอบมันกับเจ้า!”

 

เปรี๊ยะ–

 

ลำดับทั้งห้าลอยล้อมกายซือหยู ซือหยูใช้ลำดับห้าธาตุเพียงแค่ใช้ความคิด!

 

หวูอู๋ยี่เลิกคิ้วเมื่อมองดูลูกแก้วทั้งห้า ดูเหมือนนางจะเคยได้ยินเรื่องลูกแก้วนี้มาก่อนแต่ไม่แน่ใจมันคืออะไร แต่นางก็ไม่คิดจะสนใจมัน

 

“ฮื่ม! วิชาโสโครก!”

 

“รับไปซะ!”

 

นางชี้ดัชนี สว่านในมือหมุนวนสร้างคลื่นอากาศทะลวงร่างซือหยู

 

ซือหยูยิ้มอย่างซุกซน

 

“วิชาโสโครกงั้นรึ? อาจจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ! ลำดับทำงาน!”

 

ซือหยูสั่งลำดับทั้งห้าให้บินเหนือหวูอู๋ยี่ ลำแสงห้าสายพุ่งลงมาจากฟ้าราวกับกรงขังที่ขังนางไว้ภายใน

 

หวูอู๋ยี่ตัวแข็งทื่อ นางเปลี่ยนทิศทางไปโจมตีลำแสงทั้งห้าแทน

 

“หายไปซะ!”

 

แต่สมบัติเทพระดับสูงของนางก็สร้างความเสียหายกับลำแสงได้ไม่มากนักก่อนที่พลังจะสลายไป

 

หวูอู๋ยี่ชักสีหน้า

 

“เป็นไปได้ยังไง?”

 

ใครกัน นอกจากคนที่อยู่ในขอบเขตภูติจริงๆ ที่จะรับการโจมตีของนางที่ใช้สมบัติเทพระดับสูงได้? นางไม่คิดเลยว่าการโจมตีของนางจะถูกป้องกันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!

 

“ขัง!”

 

ซือหยูตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง

 

ในตอนนั้น ลำแสงทั้งห้าเริ่มที่จะลดขนาดลง!

 

สุดท้ายหวูอู๋ยี่ก็เริ่มเป็นกังวล นางคิดถึงสมบัติเลื่องชื่อ นางมองดูเหล่าลูกแก้วตรงหน้า สีหน้านางค่อยๆมีความกลัวเข้ามาแทนที่

 

“เป็นไปไม่ได้…นี่มันลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือด! เจ้าควบคุมสมบัตินี้ได้ยังไง?”