บทที่ 529 ตื่นกลัว!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 529 ตื่นกลัว! Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเหมือนต้องมนต์ขณะมองหัวใจยักษ์เบื้องหน้า แม้จะไม่มีวัตถุอื่นมาเทียบเคียง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ว่าหัวใจยักษ์นี้มีขนาดใหญ่ครึ่งโลกเลยทีเดียว

อวัยวะขนาดมหึมานี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในห้วงความฝัน แต่ก็รู้อยู่ลึกๆ ว่านี่คือเมล็ดดูดกลืนของตน… เนื่องจากพลังที่หัวใจยักษ์ปล่อยมานั้น เหมือนพลังจากเมล็ดดูดกลืนที่เขาคุ้นเคยไม่มีผิด!

*ที่นี่มันที่ใดกัน ข้าเห็นภาพหลอนไปหรือเปล่า มีหลายมิติเหลือเกิน แถมยังเต็มไปด้วยสิ่งที่ข้าจินตนาการได้อีกด้วย!*หวังเป่าเล่อมึนงงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรู้สึกได้ว่านอกจากหัวใจยักษ์ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้วในโลกนี้ หลังจากสำรวจอยู่เป็นเวลานานจนแน่ใจว่าไม่มีโลกใบที่หกซ่อนอยู่ เขาก็เริ่มลอยวนรอบโลกใบที่ห้าเพื่อหาทางออก

แต่ทำอย่างไรก็หาไม่เจอเสียที เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าเขาใช้เวลาอยู่ในนี้นานเพียงใด เมื่อเขากลับไปยังโลกใบแรกที่เต็มไปด้วยคนอ้วน ก็มีบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้น!

บนท้องฟ้าเบื้องบน มีร่างหนึ่งกำลังลอยเข้ามาใกล้จากอวกาศว่างเปล่าอันไกลโพ้น ร่างนั้นสูงใหญ่กำยำดูเลือนราง แต่เมื่อเข้ามาใกล้ก็คมชัดขึ้น

ร่างนั้นคือชายวัยกลางคน ผมสีดำของเขาปลิวไสวอยู่ในอากาศ ใบหน้าหล่อเหลาดูเด็ดขาดเครียดขึง ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นร่างนั้น จิตใจของเขาก็ปั่นป่วนหมุนวน ราวกับเป็นดวงไฟดวงเล็กที่เผชิญหน้ากับดวงอาทิตย์เจิดจ้า ความแตกต่างด้านพลังที่มากโขนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าชายผู้นี้สามารถเป่าเขากระจุยได้ด้วยลมหายใจเดียว

ชายหนุ่มตกใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะเมื่อชายวัยกลางคนมองเขาด้วยสายตาที่คมกริบ เขามองโลกที่เต็มไปด้วยคนอ้วนรอบๆ สีหน้าดูไม่พอใจกับภาพที่เห็น

“โลกในจิตใจของเจ้าประหลาดเหลือ อย่างเจ้าได้แค่หนึ่งเต็มสี่คะแนนก็บุญโขแล้ว หากไม่ใช่ว่าข้าทนรอไม่ไหวอีกต่อไป คนอย่างข้าคงไม่มีวันเลือกสวะหนึ่งคะแนนอย่างเจ้าเป็นแน่!”

ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในภวังค์ แต่เมื่อได้ยินคำปรามาสนั้น ชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบก่อนก่นด่าอยู่ในใจ แม้ฉากหน้าเขาจะยังดูงุนงงขณะเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนตรงหน้าก็ตามที

“แหกตาดูเสีย!” ชายผมดำเยาะเย้ย เขามุ่นคิ้วพูดด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน ก่อนจะยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นลำแสงสีแดงก็พวยพุ่งออกจากมือขวาของชายวัยกลางคน แสงนั้นสว่างเจิดจ้าราวกับจะป้ายย้อมโลกทั้งใบให้กลายเป็นสีแดง มองจากระยะไกล มือขวาของเขาเปลี่ยนสภาพกลายเป็นดวงอาทิตย์สีเลือด!

ชุดเกราะสีขาวค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่างกลางดวงอาทิตย์เลือด เข้าห่อหุ้มแขนขวาของชายผมดำ ก่อนลามไปที่หน้าอก เอว และแขนซ้าย

แต่ยังไม่จบแค่นั้น ชุดเกราะสีขาวยังค่อยๆ เข้าครอบขาทั้งสองข้างและศีรษะของเขาด้วย ในที่สุดร่างของชายตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ดูแข็งแกร่งทรงพลังดุจเทพแห่งสงครามในชุดเกราะขาวสว่าง!

เกราะสีขาวที่ห่อหุ้มร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้ เต็มไปด้วยเส้นเลือดมากมายที่กำลังเต้นตุบๆ ภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อดูน่ากลัวน่าเกรงขามเป็นอันมาก พลังที่ดูเหมือนจะทำลายได้แม้กระทั่งสวรรค์แผ่กดทับห้วงอวกาศ

พลังนั้นยิ่งใหญ่มากเสียจนทำให้ทั้งโลกพร่าเลือน เปลี่ยนสีทั้งท้องฟ้าและพื้นดินให้ผิดเพี้ยน ราวกับเขาเป็นผู้กุมชะตาของจักรวาลและดวงดาวเอาไว้ในมือ ชายวัยกลางคนกำหมัดแน่น ก่อนพุ่งหมัดออกไปข้างหน้า ทันใดนั้น โลกในใจของหวังเป่าเล่อที่เต็มไปด้วยคนอ้วนก็ถล่ม ตึกรามบ้านช่องและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดราบเป็นหน้ากลอง กลายเป็นเพียงเถ้าธุลี แม้กระทั้งโลกที่เขาอยู่ยังล่มสลายไปในฉับพลัน กลายเป็นเพียงหลุมดำเท่านั้น!

หวังเป่าเล่อตกใจเป็นล้นพ้นกับภาพตรงหน้า เขามองร่างที่ทรงอำนาจและหลุมดำที่เคยเป็นโลกของคนอ้วน แม้สติจะยังคงอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความชาจากอาการตกใจที่ลามไปทั่วร่างกาย

“ศิษย์พี่…”

“หุบปาก!” ร่างในชุดเกราะพูดอย่างยโส เขายกมือขวาขึ้นชี้นิ้วมาที่หวังเป่าเล่อ

“หากข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูด ก็อย่าได้สะเออะเปิดปาก ข้าไม่มีทางเลือกหรอก ถึงต้องมาเลือกคนอ่อนหัดอย่างเจ้า ฟังให้ดี ข้าจะถ่ายทอดวิชาของข้าให้เจ้า นามของมันก็คือ… เกราะกระดูก!”

“เกราะกระดูกคือวิชาแรกของกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ หากเจ้าอยากได้วิชาขั้นที่สอง ก็ต้องนำเครื่องสังเวยมาให้ข้า! แต่ความสามารถระดับต่ำเช่นเจ้า เรียนวิชาแรกได้จบก็คงถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว เศษขยะ!” ร่างน่ากลัวในชุดเกราะเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน เป็นอันชัดเจนว่าเขาไม่มีทางเลือกนอกจากจำต้องอยู่ที่นี่เพื่อถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์รุ่นหลัง ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต ที่ผ่านมาเขาถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์หลายคน แต่ก็ไม่เคยให้หมดกระบวนท่าสักครั้ง

ส่วนมากชายผู้นี้จะมอบกระบวนเวทชุดแรกให้ศิษย์ แต่เขามองสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาชนิดอื่นเป็นเพียงขยะชั้นต่ำ จึงตั้งกฎให้ผู้ที่อยากได้วิชาต่อไปต้องนำเครื่องสังเวยมาให้ หากเขาอารมณ์ดีอยู่ก็มักจะให้มากกว่านี้ แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ดีเพียงใด ชายผู้นี้ก็ไม่เคยถ่ายทอดวิชาให้ศิษย์ของตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์เสียที

เขาปฏิบัติต่อหวังเป่าเล่อเหมือนที่ปฏิบัติกับทุกคน ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมา แม้แต่ศิษย์เอกชั้นหนึ่งจากสำนักวังเต๋าไพศาลก็ถูกเขาเย้ยหยันดูถูกเป็นอย่างแรกหลังจากที่ถูกเลือก นี่เป็นนิสัยอันร้ายกาจ และเป็นการแสดงออกถึงความรังเกียจสำนักที่สุมแน่นในอกของเขา

ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตทุกคนทราบเรื่องนี้ดี จึงมักเงียบเมื่อเผชิญกับชายผู้นี้ พวกเขาจะไม่พูดสิ่งใดเพื่อยั่วยุทั้งสิ้น แต่หวังเป่าเล่อไม่ทราบความจริงข้อนี้ จึงรู้สึกหงุดหงิดหัวเสียอย่างถึงที่สุด แต่ก็เข้าใจดีว่าชายตรงหน้าทรงพลังเพียงใด ถึงอย่างไรเขาเองก็โค่นชายผู้นี้ลงไม่ได้แน่ ทว่าหวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกไม่สบายใจถ้าจะปล่อยให้ตนเองโดนเหยียบย่ำ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับชายในชุดเกราะขาว ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“ศิษย์พี่ โลกในใจข้าไม่ได้มีเพียงโลกเดียว หากแต่มีโลกอื่นอยู่ด้วยขอรับ…”

“ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดหรือ” ร่างทรงพลังตรงหน้าโบกมือขวา ทันใดนั้น แรงระเบิดก็อุบัติขึ้น ส่งผลให้ดวงจิตของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนและถอยหลังหนีในทันที มันเหมือนเขาถูกพายุหมุนบ้าคลั่งกวาดต้อนจนแทบแหลกสลายขาดครึ่ง เขาจึงกล้ำกลืนความรู้สึกโกรธจนอยากฆ่าเข้าไปในใจ ก้มหน้าไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก

“ไม่พอใจเช่นนั้นหรือ” ร่างทรงพลังยืนจังก้าอยู่กลางอากาศ มองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นเยียบ หัวเราะเย้ยหยัน

“ไม่ได้มีแค่โลกเดียวแล้วอย่างไรเล่า… หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะทำลายมันให้สิ้นซากทีละโลกไปเสียเลย!” ร่างนั้นประกาศอย่างอวดดี เขามองไปรอบๆ เพื่อสำรวจ ก่อนยกมือขึ้นฉีกอากาศว่างเปล่า

“นี่หรือทางเข้าโลกที่สอง จงเปิดออก!” ชายในชุดเกราะตะโกนก้อง พร้อมหันไปฉีกอากาศออกจนเป็นรอยแยกกว้าง เบื้องหลังรอยแยกนั้นคือโลกภายในใจโลกที่สองของหวังเป่าเล่อ จักรวาลของสำนักแห่งความมืด!

“ไอ้สวะ แหกตาดูเสีย แค่จะทำลายโลกเวรนี่น่ะ ไม่เห็นจะต้อง… หืม นี่มัน!” ชายผมดำพูดอย่างโอหัง และกำลังจะยกหมัดขึ้นหวังทำลายโลกใบที่สองนี้ ทันใดนั้น พลังรุนแรงน่าหวาดหวั่นนับสิบก็พวยพุ่งออกจากโลกของสำนักแห่งความมืด พลังหนึ่งในนั้นทำให้ร่างทรงอำนาจถึงกับลนลาน เขาเบิกตากว้างทันทีที่พลังนั้นปรากฏ หลังจากตั้งสติได้ ชายในชุดเกราะก็รีบสะบัดมือเพื่อปิดรอยแยกในอากาศทันที ก่อนหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“นั่นมัน…”

“อ๋อ นั่นคือท่านอาจารย์ของข้าเอง จริงสิ นอกจากนี้ข้ายังมีศิษย์พี่อยู่คนหนึ่ง ท่านอาจารย์ข้าเคยบอกเอาไว้ว่าศิษย์พี่ของข้าคนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวท่านเองเสียอีก” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น ร่างทรงพลังในชุดเกราะนิ่งเงียบอยู่กลางอากาศ

หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็พ่นลมเยอะเย้ยออกมา

“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน เจ้าก็น่าสนใจดี โกหกปั้นน้ำเป็นตัวเสียเหมือนเรื่องจริง ข้าชักอยากรู้ขึ้นมาแล้วว่าโลกอื่นๆ ของเจ้าเป็นอย่างไร” ร่างนั้นอับอายอย่างเห็นได้ชัด จึงไม่อยากยอมรับความจริง ดังนั้นเขาจึงหลบเลี่ยงทิศที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ และหันไปหาอีกโลกหนึ่งแทนเพื่อฉีกทางเข้าให้แยกออก แต่ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร ลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งออกจากปากทางเข้านั้น พลังของตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าปกคลุมทั่วบริเวณราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งให้สิ้นซาก

“ไอ้ฉิบหาย!” เปลือกตาของชายในชุดเกราะกระตุกไม่หยุด เขาหายใจเข้าลึก ก่อนซ่อมปากทางเข้านั้น ชายผู้นั้นหันมามองหวังเป่าเล่อ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจหอบถี่ แต่คราวนี้ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร หวังเป่าเล่อก็แทรกหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน

“อันนั้นเป็นของเล่นที่ข้าเก็บได้เมื่อหลายปีก่อน ข้าคงลืมไปแล้วหากไม่มาเจอมันเข้าอีกรอบ”

ชายผมดำเงียบอีกครั้ง

ความเงียบในครั้งนี้นานกว่าครั้งแรก เหตุการณ์น่าตกใจที่เกิดขึ้นติดๆ กันนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อลึกลับเกินคาดเดายิ่งนัก