บทที่ 530 หรือเจ้ากำลังร่ำไห้

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 530 หรือเจ้ากำลังร่ำไห้ Ink Stone_Fantasy

ความรู้สึกนั้นทำให้เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ชายในชุดเกราะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลในตัวเจ้าเด็กร่างอ้วนตรงหน้า แต่ก็คิดว่าเท่านั้น เขายังพอรับไหวอยู่ ดังนั้นจึงพ่นลมเยาะเย้ยออกมา ทำเป็นไม่สนใจเหตุการณ์น่าอับอายเมื่อครู่ และตั้งท่าจะพูดอีกครั้ง

แต่ก่อนที่ชายในชุดเกราะจะได้เอื้อนเอ่ย ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ก็ส่องประกาย

“ศิษย์พี่ ท่านไม่ต้องลำบากเปิดประตูสู่ทุกโลกก็ได้ หากท่านอยากเห็นว่ามีอะไรอยู่บ้าง ก็ให้ข้าช่วยเถิด ข้าจะเปิดทุกสิ่งที่อยู่ในโลกในใจข้าให้ท่านได้เห็นเอง!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาเดาไว้แล้วว่าสถานที่ที่ตน เจ้าเยี่ยเหมิง และจั่วอี้ฟานถูกส่งมา สถานที่ที่เต็มไปด้วยร่างนั่งขัดสมาธิไร้ดวงตามากมายนั้น คือดินแดนแห่งการสืบทอดของสำนักวังเต๋าไพศาล

ตอนนี้เขาคงกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการสืบทอดวิชา ร่างกายของเขาน่าจะกำลังหมดสติ ดวงจิตถูกส่งมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นอกจากนั้น จากที่เขาได้ยินมา หวังเป่าเล่อเดาเอาว่าจิตของเขาคงอยู่ในโลกภายในใจของตนเอง

ชายที่บอกว่าตนเองคือเกราะจักรพรรดินั้น มาเยือนโลกภายในจิตใจของเขาในรูปแบบของภาพฉาย เพื่อที่เขาจะได้ถ่ายทอดวิชาของตนให้ศิษย์รุ่นหลังได้ แต่ข่าวร้ายก็คือ ชายผมดำผู้นี้กลับยโสและชอบดูถูกคนอื่นเกินไปเสียนี่

*ในเมื่อนี่มันเป็นโลกภายในใจของข้า ข้าก็ต้องควบคุมมันได้ในระดับหนึ่ง…*หวังเป่าเล่อมองร่างโอหังที่แสนทรงพลังเบื้องหน้าตนซึ่งกำลังตกใจอยู่ แล้วก็ยิ้มออกมา เขายกมือทั้งสองข้างขึ้น ชายในชุดเกราะหน้าถอดสีในทันที

“โลกทุกใบ จงเปิดออก!”

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทุกทิศทางเหมือนสายฟ้าพิโรธ รอยแตกปรากฏขึ้นในทันที ก่อนที่โลกของสำนักแห่งความมืดและรูปปั้นตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเผยออกมาก่อนหน้านี้จะอวดโฉมออกมาอย่างฉับพลับ

เมื่อพลังอันน่าพรั่นพรึงจากดวงดาวแต่ละดวงของสำนักแห่งความมืด และพลังจากรูปปั้นตระกูลไม่รู้สิ้นแพร่กระจายออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็สั่นสะเทือนในทันที พลังทั้งสองทำให้ชายผมดำหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ก่อนที่เขาจะได้ปรับตัวให้ชินกับโลกทั้งสองใบนั้น โลกใบที่สามก็ปรากฏขึ้น

โลกใบนั้นคือโลกที่มีกระดาษยักษ์กางอยู่ ทารกน้อยในภาพวาดไม่ได้เตะตาชายในชุดเกราะแต่อย่างใด แต่เป็นบิดาของนาง ชายผมขาวโพลน ที่ทำให้เขาตัวสั่นด้วยความกลัวถึงขีดสุด จนต้องกรีดร้องอย่างไร้เสียงด้วยความสยดสยอง

“ดาวมฤตยู! เป็นไปไม่ได้ นี่… นี่มัน…”

ชายผมดำร่างสูงในชุดเกราะขาวพูดไม่เป็นคำ เขากรีดร้องออกมา หัวใจเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายที่พลุ่งพล่านไหลบ่า

หวังเป่าเล่อตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขากะพริบตาปริบก่อนกระแอมกระไอให้โล่งคอ ดวงจิตของชายหนุ่มกลายสภาพเป็นกายเนื้อที่กำลังเอามือไพล่หลัง และพูดอย่างสงบนิ่ง

“หมายถึงพ่อตาข้าหรือ พ่อตาของข้าไม่ชอบให้ใครเรียกท่านว่าดาวมฤตยูหรอกนะ ท่านควรจำใส่ใจเอาไว้ด้วย”

“พะ…พ่อตาเจ้า?” ร่างในชุดเกราะหันควับมาทางหวังเป่าเล่อ สีหน้าเหมือนเพิ่งโดนผีหลอก เขาไม่เชื่อสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด แต่ก็มีหลายอย่างในโลกภายในใจของชายหนุ่มที่เขาไม่เข้าใจ  ดังนั้นเขาจึงยังไม่เชื่อใด และไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะเชื่อด้วย ด้วยเหตุนี้ชายในชุดเกราะจึงคำรามก้อง

“สำนักแห่งความมืดอันยิ่งใหญ่เป็นสำนักที่มีอำนาจสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด ผู้นั้นเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ แล้วชายผู้ที่มีปราณอยู่เหนือก้าวที่ห้าของการฝึกตนแห่งจักรพิภพเต๋า คือพ่อตาของเจ้าหรือ เจ้า…” ก่อนที่ชายผมดำจะพูดจบ ร่างกายของเขาก็พลันแข็งทื่อ ขณะจ้องหวังเป่าเล่อเหมือนต้องมนต์

ร่างในชุดเกราะเห็นหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้น เปลวไฟสีดำก็อุบัติขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่ม ไอเย็นแพร่กระจายไปทั่วโลกภายในใจของเขา

“นี่คือเปลวไฟสีดำ ในเมื่อศิษย์พี่รู้จักสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่ก็น่าจะเคยเห็นเปลวไฟสีดำเช่นกันใช่หรือไม่ขอรับ ส่วนข้อกังขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของข้ากับคนรักนั้น…” หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ

ทันทีที่ชายหนุ่มท่องบทสวด พลังที่กำเนิดจากก้นบึ้งแห่งจักรวาลอันไกลโพ้นก็เดินทางผ่านระบบสุริยะ ผ่านกระบี่สำริดเขียวโบราณ เข้ามายังโลกภายในใจของหวังเป่าเล่อ พลังนั้นทำให้ทุกสิ่งสั่นสะท้าน ชายในชุดเกราะตื่นตกใจเป็นอันมาก

หวังเป่าเล่อรู้สึกลิงโลดทันทีที่แผนการของตนเองได้ผล แต่เขาก็ทำเป็นเงยหน้าขึ้นเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาโบกมืออีกครั้ง โลกใบสุดท้ายพลันแปรเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อคิดว่าไหนๆ ก็จะเปิดโลกสุดท้ายให้ดูแล้ว เขาก็ควรแสดงหัวใจยักษ์ให้เห็นด้วย เพื่อดูว่าหมอนี่รู้จักหรือไม่

ชายในชุดเกราะเข้าใจว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำสิ่งใด ความพรั่นพรึงยังมาไม่ถึงที่ แต่เมื่อโลกใบที่ห้าและหัวใจยักษ์ของหวังเป่าเล่อปรากฏให้เห็นแก่สายตา ชายผู้นั้นก็กรีดร้องเสียงแหลมสูงออกมา จนไม่น่าเชื่อว่าเสียงแสบแก้วหูเช่นนั้นจะออกมาจากร่างสูงกำยำนี้ได้

“นี่… นี่… นี่มันตราบาป!” ร่างในชุดเกราะหายใจหอบเหมือนใกล้ตาย ชุดเกราะบนกายเขาทนแรงกดดันไม่ไหวอีกต่อไปจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม และดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจจนไม่อยากเชื่อ ชายร่างสูงหันหลังกลับหวังจะหนี แต่ทันทีที่เขาขยับตัว หัวใจยักษ์ก็สั่นสะเทือนเสียก่อน ชายผู้นั้นแทบจะร้องไห้ออกมา เขาตัวสั่นเทาแต่ก็ไม่กล้าขยับตัว

หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมากเมื่อเห็นว่าชายผู้นี้กลัวหัวใจยักษ์เพียงใด เขากะพริบตาปริบ กระแอมกระไอ ก่อนทำมือคารวะชายตรงหน้า

“ศิษย์พี่ขอรับ ศิษย์น้องได้แสดงโลกภายในใจทั้งหมดให้ท่านได้เห็นแล้ว ท่านยังจะให้คะแนนข้าหนึ่งเต็มสี่อีกหรือไม่ขอรับ”

“ส… สี่เต็มสี่…” ชายผู้ทรงพลังมีสีหน้าขมขื่นขณะมองหัวใจยักษ์ ม้วนกระดาษ จากนั้นก็เหลียวมองสำนักแห่งความมืด และจ้องไปยังทิศของตระกูลไม่รู้สิ้น สี่คะแนนเป็นสิ่งเดียวที่เขากล้าพูดออกมา

“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้ท่านพูดถึงกระบวนเวทเกราะจักรพรรดิ… แต่แค่วิชาแรกดูเหมือนจะน้อยเกินไปนะขอรับ…”

“เจ้าเอาไป เอาไปให้หมดเลย!” ร่างสูงแทบจะระเบิดร้องไห้ออกมา เขายกมือขวาขึ้นทำผนึก และชี้นิ้วชี้ออกไปเบื้องหน้า ลำแสงสีแดงส่องสว่างจากปลายนิ้วของเขา พุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่อ หลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของชายหนุ่ม

ขณะที่วิชาสืบทอดกำลังแทรกซึมเข้าสมองของชายหนุ่ม ดวงจิตของเขาก็สั่นสะท้าน ความรู้มากมายไหลเข้าหัวจนเหมือนน้ำท่วมทะลัก โลกภายในใจของเขาทานทนไม่ไหวจนถึงกับสลายหายไป เมื่อโลกของเขาสลายไป ร่างสูงทรงอำนาจก็เป็นอิสระ สีหน้าของเขาดูน่าเวทนา เขาหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธๆ ก่อนหนีไปพร้อมความกลัวและความรู้สึกอับจนหนทาง

ชายผู้ทรงพลังไม่พอใจที่ตนเองต้องส่งต่อวิชาทั้งหมดให้หวังเป่าเล่อไปเสียอย่างนั้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขามอบวิชาทั้งหมดให้ศิษย์ที่ตนเลือก แต่เมื่อเขาคิดถึงภูมิหลังของหวังเป่าเล่อ ชายร่างสูงก็ทำได้เพียงถอนใจออกมา พลางคิดว่าตนไม่น่าพลาดมาเลือกไอ้หมอนี่เลย

ข้าเป็นแค่ภาพฉายเองนะ มันตั้งใจข่มเหงกันชัดๆ!

ขณะที่เขากำลังรู้สึกสงสารตัวเองจับใจอยู่นั้น ชายร่างสูงผมดำเจ้าของชุดเกราะก็ค่อยๆ สลายหายไป โลกในใจของหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน โลกนั้นจางไปเรื่อยๆ ขณะที่วิชาซึมซาบเข้าสมองชายหนุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้น กลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งว่างเปล่า มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในความว่างเปล่านั้น พยายามย่อยข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาในสมอง เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ก่อนที่ฉากสีดำบนท้องฟ้าจะเคลื่อนหายไป รอยแตกสีแดงสามรอยกลับมาเปล่งแสงอีกครั้ง แสงสีแดงตกกระทบพื้นสีดำสนิท ส่องร่างทั้งสามที่สลบไสลอยู่บนพื้น หวังเป่าเล่อตัวสั่น ก่อนค่อยๆ ลืมตาตื่น

เขางุนงงในตอนแรก แต่ก็ผุดตัวลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มมองไปรอบๆ แล้วเห็นว่าตนเองยังอยู่ในดินแดนที่เคยอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ร่างที่นั่งขัดสมาธิรายล้อมหายไปหมดแล้ว หลังจากที่มองจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง และเห็นว่าทั้งสองยังดูปกติครบสามสิบสองดี เพียงแต่ยังหลับอยู่เท่านั้น ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อดคิดถึงสิ่งที่ตนเองเจอมาขณะอยู่ในโลกภายในใจไม่ได้ สีหน้าเริ่มปุเลี่ยนประหลาดขึ้นมาในทันที

“เกราะจักรพรรดิ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ วิชาครบสมบูรณ์จากเทพเจ้าองค์นั้นอัดแน่นอยู่เต็มหัว ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดตนเองนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็ลืมตาตื่นขึ้น นางลุกขึ้นนั่ง แววตาเต็มไปด้วยความงุนงง ตอนนั้นเองจั่วอี้ฟานก็ลืมตาตื่นขึ้นเช่นกัน

ทั้งสามหันมามองหน้ากันอยู่พักใหญ่ หวังเป่าเล่อทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงชิงถามขึ้นมาก่อน

“พวกเจ้า… ได้วิชาสืบทอดมาหรือไม่”

“ข้ารู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในความฝัน ในฝันนั้นมีสุสานอาวุธ ข้าพบอาจารย์ของข้า ท่านมอบวิชาให้แก่ข้า…” จั่วอี้ฟานพูดเสียงแผ่วหลังจากคิดอยู่สักพัก ดวงตายังเต็มไปด้วยความสับสน

“ข้าจำวิชาที่อาจารย์สอนได้ นามของมันคือ… กระบวนเวทอาวุธเทพจำแลงเก้าศาสตร์! แต่นางสอนข้าแค่สามศาสตร์เท่านั้น!” ดวงตาของจั่วอี้ฟานกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง ชายหนุ่มหายใจเร็ว ขณะมองหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง

สตรีหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้นวดหว่างคิ้วของตนเอง ราวกับกำลังพยายามรำลึกถึงอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปสักพักนางก็พยักหน้า และพูดเสียงแผ่ว

“ข้าเองก็เจอสถานการณ์แบบเดียวกัน ข้าพบต้นไม้ยักษ์โบราณท่ามกลางทะเลเพลิงในจักรวาลอ้างว้าง ต้นไม้นั้นเรียกตนเองว่านภาพินาศ และรับข้าเข้าเป็นศิษย์ จากนั้นก็ถ่ายทอดวิชาวงแหวนปราณนภาพินาศโบราณให้กับข้า!”

“แต่วิชาที่ข้าได้มาก็ไม่สมบูรณ์เช่นกัน…” ประกายประหลาดวาบเข้ามาในดวงตาเจ้าเยี่ยเหมิง พลังปราณของนางพัฒนาขึ้นด้วยวิชาใหม่ที่ได้ร่ำเรียนมาในความฝัน จนบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นแบบชั้นสมบูรณ์ เหลืออีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น นางก็จะก้าวไปสู่ปราณขั้นกำเนิดแก่นใน

“ที่แห่งนี้… หาใช่ดินแดนอันตรายไม่ หากแต่คือดินแดนแห่งการสืบทอด!” ในที่สุดเจ้าเยี่ยเหมิงก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแช่มช้า ชัดถ้อยชัดคำ