“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่” หยวนหลางหยุดไปนานก่อนจะถามขึ้น
อวี่ซือเฟิ่งเล่าเหตุที่ทุกคนมาเขาคุนหลุนคร่าวๆ ยังเล่าไม่ทันจบ หยวนหลางก็หัวเราะดังลั่น “บุกแดนสวรรค์ ช่างบังอาจ! สมน้ำหน้าที่เจ้าโดนส่งมาที่นี่!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หากไม่ได้พูดจาเสียดสี เจ้าคงไม่สะใจใช่ไหม”
หยวนหลางเอาหัวชนราวประตู แค้นใจกล่าวว่า “ฟ้าไม่เป็นใจ! ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ได้แค่พูด! คงได้สังหารพวกเจ้าให้ราบคาบราวผักปลาไปหมดนานแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองเขานิ่ง ก็ไม่รู้สงสารหรือเกลียดชังดี อยู่ๆ นึกถึงในห้องนอนเขาที่มีแต่หน้ากากอู๋จือฉีเต็มไปหมด แต่โบราณมาคนที่ปากไม่ตรงกับใจอันดับหนึ่งย่อมเป็นหยวนหลางแน่นอน
เขากล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเจ้าเกลียดอู๋จือฉี ทำไมในห้องจึงแขวนหน้ากากหน้าเขาเต็มไปหมด”
หยวนหลางสีหน้าแปรเปลี่ยน สุดท้ายกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ใบหน้าศัตรูต้องมองดูทุกวัน นึกถึงตลอดเวลา จะได้สอนให้ข้าไม่ลืมความอดสูนั่นแม้แต่วินาทีเดียว!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่เข้าใจวาจาแก้ตัวมั่วซั่วของเขาเลย ได้แต่กล่าวว่า “อู๋จือฉีได้เห็นแล้ว”
หยวนหลางพลันเงียบลง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอีกว่า “ในใจเจ้าแค้นก็ดี ไม่ยินยอมก็ดี ไม่เกี่ยวกับข้าสักนิด เพื่อตัวเจ้าเองคนเดียว เจ้าทำร้ายเผ่าครุฑมากมาย เรื่องนี้ข้าก็ไม่คิดบัญชีกับเจ้าหรอก สรุปว่าตอนนี้เจ้าได้รับผลทั้งหมดแล้ว และพวกเราทุกคนก็พอใจกับผลที่เห็น”
หยวนหลางยังคงไม่กล่าวอันใด เขาราวกับไม่ได้ยิน สีหน้าซีดเผือด กล้ามเนื้อใบหน้าค่อยๆ สั่นเทา ไม่รู้คิดถึงอะไร
หนุ่มน้อยเสเพลอิสระเสรี ร่ำสุราเริงรื่น ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นวันนี้ได้ ผู้ใดถูก ผู้ใดผิด มาสืบความตอนนี้ก็ไร้ความหมายเสียแล้ว เจ้าตำหนักใหญ่เคยกล่าวว่า ในใจทุกคนล้วนมีผิดถูกในแบบของตนเอง เขาเองก็เคยใช้เหตุผลนี้ไปกล่าวเตือนเสวียนจี ผู้ใดจะรู้ว่าพูดมันง่าย หากทำนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก
บนโลกนี้ยังมีผู้ใดคิดเพื่อคนอื่นได้จริงๆ ทันทีที่เกินขีดจำกัดของตนเอง ก็จะโดดออกมาตอบโต้ให้ใจสลาย ทรมานกันและกัน หากไม่มีความเข้าใจผิดตอบโต้กันเกิดขึ้น จะเกิดเรื่องมากมายพวกนี้ได้อย่างไร
หยวนหลางอึ้งไปนานก่อนจะถามว่า “เขา…พูดอะไรไหม”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ทำลายหน้ากากเหล่านั้นทิ้งหมด จากนั้นก็ดื่มสุราต่อหน้าเศษหน้ากากนั้นไปไหหนึ่งเท่านั้น”
หยวนหลางยิ้มยกมุมปาก เสียงหัวเราะเฝื่อนขมดังขึ้น
สุราไหนั้นก็คือการบอกลาความเป็นพี่น้องครั้งสุดท้าย อู่จือฉี โลกนี้ไม่มีผู้ใดเข้าใจข้าเช่นเจ้าอีกแล้ว เขาไม่เคยเกลียดใครเข้ากระดูกดำเช่นนี้มาก่อน แต่จนสุดท้าย คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คืออู๋จือฉีคนนี้หรือว่าเป็นคนอื่น เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด
แต่ทุกสิ่งล้วนผ่านไปแล้ว
ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป
มือหยวนหลางค่อยๆ ปล่อยซี่กรงประตู โซ่ตรวนที่มือเสียงดังเคร้งคร้าง เขาเดินกลับไปในความมืดที่ได้ยินเพียงลมหายใจเท่านั้น อวี่ซือเฟิ่งพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ร้อนใจกล่าวว่า “ช้าก่อน! มีเรื่องหนึ่ง ข้าต้องการถามเจ้า!”
หยวนหลางกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าพูดกับข้ามากมาย ไม่กลัวยมทูตด้านนอกพบเจ้าเข้าหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “พวกเขาควรรู้นานแล้ว แต่ไม่มาจับข้า คิดว่าน่าจะมีเหตุอื่น เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากัน…ข้าถามเจ้า เรื่องรั่วอวี้นั่นอย่างไรกัน”
หยวนหลางราวกับไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ คิดงงๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรำลึกได้ว่า “อ้อ! เขา! เจ้าหนุ่มนั่น…ข้าถึงกับลืมเขาไปแล้ว ทำไม เขาหันไปสยบให้เจ้าแล้ว?”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “เขาจากไปแล้ว ก่อนจากไปยังไปตำหนักหลีเจ๋อครั้งหนึ่งรับน้องสาวเขา…โครงกระดูก จากนี้จะไม่กลับมาเหยียบภาคกลางอีก”
หยวนหลางเผยรอยยิ้มเยาะ กระซิบถามว่า “ทำไม…เขาไม่ได้เสียสติหรือ ไม่ได้ชักกระบี่ฟันไปทั่ว?”
“เป็นเจ้าวางอุบาย! เจ้าทำอะไรน้องสาวเขา” อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าจริงจัง ส่งเสียงถามเคร่งเครียด
หยวนหลางกล่าวเบาๆ ว่า “เด็กนั่น เกิดมาก็เป็นบ้าแล้ว…น้องสาวตนเองตายหรือไม่ยังไม่รู้ ยอมให้คนใช้งาน ใช่ว่าเกิดมาก็เป็นดังสุนัขรับใช้หรือ”
อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้ว มองเขาอย่างรังเกียจ
หยวนหลางท่าทางไม่ยี่หระ ราวกับนึกถึงเรื่องน่าขัน ท่าทางสบายอารมณ์กล่าวว่า “น้องสาวเขาตายไปได้สามปีกว่าแล้ว แม้ว่าครุฑแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่เด็กหญิงนั่นเกิดมาก็อ่อนแอ ตอนอายุสิบขวบเคยเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้อีกเลย จนกระทั่งตายก็เป็นได้แค่นกสกปรก วันๆ เอาแต่ร้องไห้ร้องเรียกหาพ่อหาแม่หาพี่ชาย น่ารำคาญมาก”
“เจ้าเห็นคนร่วมเผ่าพันธุ์เจ้าเองเป็นอะไร” หากไม่ใช่มีประตูเหล็กกั้นไว้ อวี่ซือเฟิ่งแทบอยากจะกดศีรษะคนผู้นี้ติดพื้นตวาดด่าสักตั้ง
หยวนหลางกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า “คนอื่นเป็นหรือตาย เกี่ยวอะไรกับข้า? อืม สามปีก่อน พอดีกับที่ข้าให้เขาไปแทงเจ้า ปรากฏทำงานพลาด เด็กนั้นเชื่อฟังขึ้นมาก็เชื่องยิ่งกว่าสุนัข กระบี่แทงลงไป เขาคิดว่าสำเร็จ กลับมาก็ขอร้องข้าว่าจะไปเยี่ยมน้องสาวเขา ตอนนั้นข้าย้ายน้องสาวเขาไปขังไว้ในห้องลับใต้น้ำพุสีเงินแล้ว ก่อนย้ายไป เด็กนั่นก็เหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายแล้ว ข้ายังคิดนะ รั่วอวี้มีความสามารถ หากรู้น้องสาวเขาตาย วันหน้าคงไม่ทำงานให้ข้าแล้ว น่าเสียดายอยู่บ้าง ตอนเขาลงไป ข้ายังเป็นห่วงมาก…”
“ไร้ยางอาย! หยุดเล่าได้แล้ว!” อวี่ซือเฟิ่งสะบัดหน้าคิดจะเดินหนี
หยวนหลางกล่าวอีกว่า “ข้าไม่วางใจ ดังนั้นจึงลงไปดูพร้อมเขา ปรากฏเห็นศพน้องสาวเขาเน่าแล้ว เด็กนั่นตายจากไปอย่างเงียบเหงา เรื่องวันนั้นข้าจำได้แม่นยำ รั่วอวี้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง ชักกระบี่ฟันมั่วไปหมด เขาย่อมฟันไม่โดนข้า เกือบฟันศพน้องสาวเขากระจาย ฟันไปครู่หนึ่งก็เริ่มแผดเสียงร้องดัง เจ้าเด็กโง่นั่นเห็นๆ ว่าเสียใจแทบจะขาดใจตายแล้ว ยังถึงกับไร้น้ำตา ข้าเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าไม่ได้การแล้ว เกรงว่าจะทำให้คนในตำหนักรู้ จึงฟาดเขาสลบไป”
“พูดไปแล้วก็แปลก พอเขาตื่นมาก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเอ่ยถึงน้องสาวเขากับข้าต่อ ข้าก็สนใจอยู่ว่าเขาเล่นลูกไม้อะไร จึงพาเขาลงไปใหม่ ครั้งนี้พอเขาเห็นศพก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เอาแต่พูดจากับตนเอง ยังคล้องหยกประดับไว้ที่แขนนาง ศพเน่าเละจนดูไม่ได้แล้ว เขาถึงกับยังกอดแนบอก ข้ายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ในที่สุดอดถามเขาไม่ได้ว่าดูไม่ออกว่าตายแล้วหรือไร เขาหันกลับมาบอกกับข้าว่า เบาหน่อย น้องสาวเขาหลับแล้ว ดังนั้นข้าจึงได้รู้ เด็กนั่นเสียสติไปแล้ว พอขึ้นมาข้างบน ข้าจงใจมอบภารกิจให้เขาไปทำ เขาถึงกับรับปากเหมือนกับเมื่อก่อน ไม่กล้าปฏิเสธแม้แต่น้อย ข้าชมเขาสองสามคำ ว่าหยกนั่นเลือกได้ดี เด็กผู้หญิงควรแต่งตัวมากๆ หน่อย กลับไปข้าจะหาเสื้อผ้าสวยๆ ให้นาง รั่วอวี้ดีใจจนร้องไห้ จนกระทั่งข้าจากมา น้ำตาก็ยังไม่เหือดแห้ง”
“เจ้าว่า ในใจเขาคิดเล่นอะไรอยู่ พอข้าเห็นเขาก็มักอดคาดเดาไม่ได้ว่าแท้จริงเขาคิดอะไรอยู่ ใช้คนทำงานสักคนต้องทุ่มเทใจคิดมากเช่นนี้ ข้าไม่ชอบใจเลยจริงๆ ดังนั้นจึงให้เขาไปไกลๆ อืม ต้องขอบคุณเจ้านำข่าวกลับมา หากเจ้าไม่เอ่ย ข้าก็เกือบลืม ที่แท้เขาบ้าไปแล้ว ไม่ได้แกล้งบ้า”
เขาพูดถึงตรงนี้ อวี่ซือเฟิ่งก็เดินไปถึงสุดระเบียงแล้ว ประตูดำสนิทสุดระเบียงมืดมิดถึงกับเริ่มถูกบดบัง ราวกับเปิดเพื่อเขาคนเดียว
“ที่เจ้าเล่ามาทั้งหมดวันนี้ล้วนทำให้ข้าแน่ใจยิ่งว่า เจ้าสมควรรับโทษแล้ว!” อวี่ซือเฟิ่งจับประตูแน่น หันกลับไปกล่าวน้ำเสียงดุดัน “เจ้าก็รอลงนรกขุมสิบแปดเถอะ!”
หยวนหลางหัวเราะดังลั่น เสียงหัวเราะเศร้ารันทดราวกับนกฮูกร้องยามค่ำคืน อวี่ซือเฟิ่งเปิดประตูออก ก่อนจะปิดลงกลบเสียงหัวเราะเศร้ารันทดของเขาไว้หลังประตู เหมือนเขาได้ยินเสียงเพลงร่ำไห้กำสรวล ‘ห่านฟ้าบินฉวัดเฉวียนส่งเสียงร้องกำสรวลไห้ มีเพียงผู้รู้กระจ่าง จึงรู้ว่าชีวิตนี้ลำบากแสนเข็ญเพียงใด มีเพียงผู้เขลาเบาปัญญา จึงคิดว่าพวกเราร่ำร้องยินดี’
ถึงตายก็ไม่ยอมรับผิด ก็คงมีแต่หยวนหลางแล้ว
ประตูเปิดออก ทิวทัศน์ด้านนอกเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วพริบตา เบื้องหน้าราวกับความฝัน อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกไม่กล้าก้าวเดินออกไปอยู่สักหน่อย ประตูเหล็กด้านหลัง ตึง ปิดลง เขาสะดุ้งรีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงแค่หมอกหนาว่างเปล่า ไหนเลยจะยังมีเงาประตูเหล็ก!
รอบๆ เลือนราง ล้วนมีแต่หมอกควัน สายน้ำกว้างตัดสายหมอก ในความมืดยังคงเห็นเส้นทางคดเคี้ยวไปข้างหน้า ดอกไม้แดงริมฝั่งราวเลือดจับตัวเป็นก้อนแลดูอัปลักษณ์ยิ่ง
หลายคนกำลังมุ่งมาตามเส้นทางแม่น้ำอย่างเงียบเชียบ ในมือยมทูตสวมชุดแดงมีป้ายคำสั่ง ใช้เชือกแดงร้อยรัดวิญญาณคนตายเหล่านั้นไว้ นำพวกเขาไปทางประตูเมืองนรกอี้ตูที่ไกลออกไป ทุกอย่างล้วนเงียบงันไร้สำเนียง นี่ก็คือจุดหมายแห่งความเป็นความตายแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งไม่รู้ควรไปทางไหนดี จริงๆ แล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนเองมาโผล่ข้างแม่น้ำลืมภพชาติในแดนปรภพตอนนี้ได้ บรรดายมทูตเหมือนมองไม่เห็นเขา ปล่อยให้เขาเดินอ้อมวกไปวนมารอบวิญญาณเหล่านี้
อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้กระซิกดังมาจากขบวนแถวยาว ยังมีพวกวิญญาณใหม่ที่ยังหวังว่าตนจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองตายไปแล้ว ร้องไห้จนเสียงแหบพร่า ในที่สุดก็มียมทูตทนไม่ไหว ไปตักน้ำจากแม่น้ำลืมภพชาติมาขวดหนึ่ง เปิดปากคนพวกนั้นออก บังคับกรอกน้ำในแม่น้ำหลากสีสันนั้นลงไป
เสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบลง ขณะอวี่ซือเฟิ่งกำลังงุนงนสับสนอยู่นั้นก็พลันได้ยินเสียงดังขึ้นด้านหลัง ว่า “มาให้ข้าดูหน่อย”
เสียงนี้คุ้นหูมาก ทำเอาเขาสะดุ้งตกใจ พอหันกลับไปก็เห็นสตรีหน้าตางดงามในชุดขาวนางหนึ่ง สีหน้าไร้แรงอาฆาตดุร้าย มองมือยมทูตยื่นให้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก นางกำลังจะดื่มน้ำลืมภพชาติ
“เสวียนจี?!” เขาหลุดตะโกนออกไป พลันยกมือคว้านาง นางมาปรากฏตัวในแดนปรภพในตอนนี้ หรือว่านางตายแล้ว?! เขาคว้าข้อมือนางไว้ หากคว้าได้เพียงความว่างเปล่า เขาไม่อาจคว้าสิ่งใดในที่นี่ได้! คนข้างๆ เหมือนว่าไม่เห็นเขาเลย ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเสียมารยาทของเขาอย่างสิ้นเชิง
อวี่ซือเฟิ่งตั้งสติ ลองพินิจสตรีชุดขาวนั้นอย่างละเอียด ก็รู้สึกไม่ค่อยเหมือนเสวียนจี แต่เครื่องหน้าบนใบหน้าทั้งห้าก็มีความเหมือนอยู่เก้าส่วน เพียงแต่กลิ่นอายที่เปล่งรัศมีออกมาราวกับคนละคน สตรีผู้นี้มีรัศมีเย็นเยียบลึกถึงใจคน ไม่ใช่เสวียนจีแน่นอน
ยมทูตพวกนั้นเริ่มไม่พอใจกับการเสียมารยาทของนางนานแล้ว ถลกแขนเสื้อขึ้นคิดลงมือสั่งสอนนาง แต่มียมทูตข้างๆ นางที่ยังจูงโซ่ตรวนอยู่รั้งไว้ “หยุดนะ! เจ้ารู้ไหมว่านางคือใคร ห้ามวู่วาม!”
เมื่อมีคนกระซิบเตือนยมทูตพวกนั้น จึงข่มขู่พวกเขาไว้ได้ ปล่อยให้สตรีนางนั้นแย่งขวดกระเบื้องไป รีบตักน้ำลืมภพชาติมาชะล้างความทรงจำที่เป็นเศษเสี้ยวแต่ละช่วงความทรงจำให้หมดไป
อวี่ซือเฟิ่งเหมือนรู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเสวียนจีอยู่บ้าง อดมองตามเงาร่างนางผู้นั้นไปไม่ได้ ตามล่องลอยเข้าไปยังประตูใหญ่เมืองนรกอี้ตู