ภาคอวสาน ตอนที่ 16 ทวยเทพเสด็จ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ผู้ใดจะรู้ว่าพอเข้ามาในเมืองนรกอี้ตูก็มีฝูงชนปะทะมา เขามองหาเงาร่างสตรีผู้นั้นไม่พบแล้ว ขณะกำลังสับสนอยู่นั้นก็พลันรู้สึกเพียงแค่เมืองนรกอี้ตูไม่ได้ต่างจากบ้านเมืองในแดนมนุษย์ บรรดาภูตผีและยมทูตเสียงดังโหวกเหวก บางคนถึงกับอิสระว่างงาน อวี่ซือเฟิ่งเดินไปอีกระยะหนึ่งด้วยความงุนงงสับสน พลันมองเห็นอาคารสูงด้านหน้าแห่งหนึ่ง ชายคาเป็นเชิงชั้นงอนขึ้นราวกับนกเฟิ่งหวงสยายปีก ก็อดเดินเข้าไปทางนั้นไม่ได้ 

 

 

พอเข้าประตูไป ด้านในห้องโถงมียมทูตมากมายวิ่งไปวิ่งมา วุ่นวายกับการงาน มุมหนึ่งมียมทูตสองสามคนกำลังถกอะไรกันอยู่เบาๆ 

 

 

“ตามหลักแล้วคนผู้นั้นเดิมไม่ควรเป็นหน่วยงานเราจัดการนี่ เมื่อก่อนครั้งไหนบ้างที่ไม่ได้มาแบบยโสโอหัง แต่ครั้งนี้กลับถูกมัดมาแบบบ๊ะจ่างเลย หากไม่ใช่เพราะมหาเทพโฮ่วถู่ทรงมองการณ์ทะลุประโปร่ง จึงได้ดึงจิตญาณรับรู้นางออกไปก่อน ไม่เช่นนั้นหากคนผู้นี้ก่อเรื่องขึ้นมา แดนปรภพเราคงไม่มีวันได้สงบแล้ว” 

 

 

“พูดถึงสตรีผู้นั้น? แปลกมาก เมื่อก่อนไม่ใช่เช่นนี้นี่ ครั้งก่อนมายังเป็น…” 

 

 

“หุบปาก! เรื่องนี้พูดไม่ได้” 

 

 

บรรดายมทูตมองไปรอบๆ มองไม่เห็นผีน่าสงสัยมาแอบฟังพวกเขาพูดก็วางใจลงได้หน่อยหนึ่ง จากนั้นก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้ต่อ คุยเรื่องสัพเพเหระอื่นอีกนิดหน่อยแล้วก็แยกย้ายกันไป 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ่งฟังก็ยิ่งแปลก เห็นคนกลุ่มนี้แยกย้ายกันไปเอง เขาอยากหายมทูตมาซักถามสักคน แต่คนที่นี่เหมือนมองไม่เห็นเขา เขาเองก็จับต้องสิ่งของใดไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมา เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเรื่องประหลาดเช่นนี้ ได้แต่เดินดูไปทั่วๆ ก่อน ทะลุผ่านโถงกลางงดงงามแต่ละแห่ง ไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงห้องแห่งหนึ่ง เป็นห้องที่งดงามอย่างไม่อาจบรรยายได้ด้วยวาจา ที่พิเศษก็คือกำแพงสามด้านปกติ มีเพียงด้านหนึ่งที่มีม่านขนาดใหญ่ทิ้งตัวปิดไว้ ไม่ว่าเขาจะเดินอย่างไร ก็ไม่อาจเข้าไปดูหลังม่านว่าแอบซ่อนอันใดเอาไว้ได้ 

 

 

ขณะกำลังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็พลันได้ยินมีเสียงฝีเท้าเดินมาทางนอกประตู ประตูถูกผลักออกเสียงดังแอ๊ด ชายวัยกลางคนชุดครามสวมหมวกผู้พิพากษาเดินนำเข้ามา หันไปทางม่านนั่นและคุกเข่าลงคำนับนอบน้อมกล่าวว่า “ข้าน้อยคารวะมหาเทพโฮ่วถู่” 

 

 

ที่แท้ที่หลังม่านซ่อนไว้ก็คือมหาเทพโฮ่วถู่ มหาเทพผู้ดูแลแดนปรภพ อวี่ซือเฟิ่งตกใจ ไม่สนใจว่าคนอื่นมองตนไม่เห็นอีกต่อไป รีบสะกดกลั้นลมหายใจถอยไปยืนข้างๆ ไม่กล้าล่วงเกิน 

 

 

หลังม่านมีเสียงไม่ชายไม่หญิงอ่อนโยนอย่างที่สุดดังขึ้น “ผู้พิพากษาโจวไม่ต้องมีพิธีรีตอง ข้าเรียกท่านมา ก็มีเรื่องมอบหมายให้ท่านทำ” 

 

 

ผู้พิพากษาโจวเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายมหาเทพโฮ่วถู่ทันที กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “มหาเทพ…คนผู้นั้น?” 

 

 

พอเขาเอ่ยถึงคนผู้นั้นก็เหมือนหวาดกลัวอยู่บ้าง 

 

 

เสียงหลังม่านเหมือนแอบกลั้นหัวเราะ “คนผู้นั้น คนผู้นี้ เรียกขานผู้อื่นเช่นนี้ได้ด้วยหรือ นางก็ไม่ใช่ดาวมารที่ดุร้ายโหดเหี้ยมผู้นั้นแล้ว ยิ่งไม่เคยกระทำเรื่องชั่วร้าย พวกท่านไยต้องหวาดกลัวกันเช่นนี้” 

 

 

ผู้พิพากษาโจวพยักหน้าเล็กน้อย หากไม่กล่าวอันใด 

 

 

มหาเทพโฮ่วถู่กล่าวอีกว่า “เกรงว่านางใกล้มาถึงแล้ว ผู้พิพากษาโจว ข้ารับไหว้วานมาจากราชันสวรรค์ มีเรื่องสำคัญหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน ในอดีตได้ดึงเอาจิตญาณนางออกไป เพราะหวังให้จากนี้นางจะทุ่มเทเพื่อแดนสวรรค์ ผู้ใดจะคิดว่าในห้วงเวลาพ้นผ่าน นางกลับมีจิตญาณรับรู้ของตนเองได้ จึงได้ทำความผิดมหันต์เช่นนั้นขึ้น แต่เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นแดนสวรรค์ละอายใจต่อนาง หลายครั้งส่งนางลงมาเวียนว่ายผ่านเคราะห์กรรม ผ่านความทุกข์ทรมาน หวังให้นางได้ขัดเกลาเป็นคนใหม่ ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นการตัดสินผิดไป วันนั้นข้าเดินหมากอยู่กับราชันสวรรค์ กระดานหมากไปสู่จุดตายที่ไม่อาจไปต่อได้ ราชันสวรรค์จึงถามข้าว่าหากเก็บหมากตัวแรกสุดท่ามกลางความสับสนนี้คืนมาได้ เราจะล้างกระดานใหม่ ข้าทูลไปว่า ตัดทิ้ง เริ่มต้นใหม่ ราชันสวรรค์ทรงห่วงใยในเรื่องนี้ จึงกำชับข้าให้หาทางให้นางเริ่มต้นใหม่ ข้าได้ดึงจิตรู้ของนางออก ให้นางเป็นดังก้อนหินดั้งเดิมที่ยังไม่เปิดผนึก ผู้พิพากษาโจวเป็นคนชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่เป็นรองผู้ใด หวังว่าท่านจะขัดเกลาหินก้อนนี้ให้เป็นหยกงามได้” 

 

 

ผู้พิพากษาโจวขยับตัวเล็กน้อย เงยหน้ากล่าวว่า “ข้าน้อยไร้สามารถ ไหนเลยจะกล้ารับภารกิจใหญ่เช่นนี้!” 

 

 

มหาเทพโฮ่วถู่ยิ้มกล่าวว่า “ผู้พิพากษาโจวไยต้องถ่อมตน เป็นอาจารย์นั้นเป็นการสั่งสมบุญบารมียิ่งใหญ่ อย่าได้ปฏิเสธ” 

 

 

ผู้พิพากษาโจวจึงได้รับปาก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็เหมือนเข้าใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ รู้เพียงพวกเขาหมายถึงเสวียนจี เหตุใดต้องกล่าวว่าแดนสวรรค์ละอายใจต่อนาง ทำไมจึงกล่าวว่าเริ่มต้นใหม่ มหาเทพโฮ่วถู่บอกว่านางเคยเป็นดาวมาร หากแดนสวรรค์แต่ไรมาก็สงบไร้ข้อพิพาท จะมีดาวมารมาจากที่ไหน  

 

 

เขาคิดจนจมสู่ภวังค์ความคิด พลันได้ยินผู้พิพากษาโจวกล่าวว่า “ข้าน้อยขอบังอาจ ขอมหาเทพประทานชื่อให้คนผู้นั้น ขอให้นางได้เริ่มต้นรับความมงคล วันหน้าได้กลับคืนสู่แดนสวรรค์ ไม่เสียแรงที่ราชันสวรรค์และมหาเทพทรงเมตตา” 

 

 

มหาเทพโฮ่วถู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หลัวโหวจี้ตูเดิมเป็นชื่อดาวมาร ฟังแล้วไม่ไพเราะ ในเมื่อนางเริ่มต้นใหม่ วันหน้าก็เปลี่ยนไปชื่อเสวียนจี…เสวียนจี…ข้าประทานชื่อให้นางว่าเสวียนจี ปรารถนาให้ในวันหน้านางได้เดินเส้นทางสว่างสดใส ได้บรรลุธรรมยิ่งใหญ่” 

 

 

กล่าวจบหลังม่านก็มีแผ่นไม้สีขาวราวพระจันทร์สว่างลอยออกมา บนนั้นบรรจงเขียนอักษรพลิ้ว งามบรรจงว่า “เสวียนจี” 

 

 

ผู้พิพากษาโจวค่อยๆ ประคองแผ่นไม้นั้นไว้อย่างนอบน้อมเข้าแนบอก 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพริบตาพลันรู้ได้ทันที เสวียนจีไปเกิดครั้งนี้ไม่ได้ไปผ่านเคราะห์ ไม่ได้ไปถูกลงโทษ ชะตานางนั้นแม้แต่ราชันสวรรค์ก็อาจไม่กระจ่าง แต่ละก้าวเดินก็ล้วนไร้ลิขิตฟ้า ล้วนอาศัยตนเองก้าวเดินไป จะบรรลุธรรมหรือกลายเป็นมาร หรือเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไร้ความสำเร็จยิ่งใหญ่ไปชั่วชีวิตก็แล้วแต่นางเอง 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องกบฏนั่นมันอะไรกัน หรือว่าราชันสวรรค์เริ่มทรงเห็นเค้าลางกลายเป็นมารของเสวียนจีจึงลงมือก่อน อันนี้ก็เหมือนไม่มีเหตุผล เขาเป็นคนที่ใกล้ชิดเสวียนจีที่สุด อย่าว่าแต่เป็นมาร เลย ท่าทางเซ่อซ่าของนางเช่นนั้น เกรงว่าเป็นปีศาจก็ลำบากนางแล้ว 

 

 

เหตุใด? 

 

 

อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจ พอคิดถึงว่าราชันสวรรค์กับมหาเทพโฮ่วถู่เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน เขาอยู่แดนปรภพ แม้ว่าคนนอกมองไม่เห็น แต่มหาเทพโฮ่วถู่ต้องทรงเห็น ไม่สู้ถามท่านดู 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกำลังจะเอ่ยถาม ก็พลันเห็นเงาม่านลอยสูงขึ้นพุ่งมา พริบตาก็มาห่อร่างเขาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแน่นหนา อวี่ซือเฟิ่งตกใจยิ่ง คิดจะอ้าปากตะโกน ม่านนั้นปิดปากปิดจมูกไปหมด ขณะดิ้นรนอยู่นั้นก็รู้สึกเพียงแค่ม่านนั้นทั้งเย็นทั้งลื่นทั้งหนา ไม่ใช่ผ้าธรรมดา ห่อร่างเขาก็ราวกับงูเหลือมตัวใหญ่รัดไว้แน่น ไม่อาจดิ้นรนขยับได้แม้แต่น้อย 

 

 

เขาค่อยๆ รู้สึกเลือดพุ่งขึ้นศีรษะ ร้อนจนแทบเป็นลม อยู่ๆ ร่างผ่อนลงนั่งกับพื้น ก่อนจะได้หอบหายใจเอาอากาศเข้าไปยกใหญ่ เขาตกใจเงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าตนเองมาริมแม่น้ำลืมภพชาติตอนไหน มองบรรดาผีใหม่โดนยมทูตไล่ให้เดินไปเงียบๆ ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพก่อนหน้า 

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกงุนงนกับเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก ได้แต่ลุกขึ้นมองกลับไปยังเมืองนรกอี้ตู ผู้ใดจะรู้ว่าครั้งนี้พอเข้าใกล้แม่น้ำลืมภพ ก็มียมทูตมองเห็นเขา เข้ามาล้อมเขาไว้พลางตวาดถามน้ำเสียงดุดัน ครั้งนี้พวกเขาเห็นเขาแล้ว 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคิดอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร บรรดายมทูตถามเป็นนาน เห็นเขาลังเลไม่กล่าวอันใด ก็ไม่เกรงใจใช้โซ่เหล็กจะมัดเขา อวี่ซือเฟิ่งคว้ามือบรรดายมทูตได้ก็คว้า คว้าขาได้ก็คว้า ทำหน้าปั้นยากแทบอยากจะร้องไห้ ร้อนใจกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ผี!” 

 

 

บรรดายมทูตไหนเลยจะยอมฟังเขา ยามนั้นยกตรวนครอบลงหัวเขา เสียง เคร้งคร้าง ดัง ตรวนเหล็กผ่านทะลุร่างเขา ไม่อาจรัดได้แม้แต่เส้นผม ยามนี้บรรดายมทูตต่างตกตะลึง มีคนหนึ่งร้องดังขึ้นว่า “บัดซบแล้ว! หรือว่าเป็นคนเป็น” กล่าวจบเขาก็ตบหัวเขาเองเต็มแรง เสียง ป้าบ ดังลั่น ลำแสงสีทองแต่ละสายเปล่งออกจากหน้าอกอวี่ซือเฟิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ 

 

 

ยามนี้แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งเองก็ยังตกตะลึง หน้าอกเปล่งแสงสีทองได้อย่างไร เขาก้มลงมอง ก็เห็นหน้าอกมีอักษรแสงสีทองระยิบใต้เสื้อ ส่องประกายวับวาวน่าอัศจรรย์ 

 

 

บรรดายมทูตเห็นอักษรนั้นก็ตกใจสีหน้าซีดเผือดลง ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม รีบหนีกระจายฮือออก กล่าวติดๆ กันว่า “ที่แท้เป็นผู้ที่ราชันสวรรค์ประทับผนึก! ล่วงเกินๆ! พี่ชายท่านนี้อย่าได้ถือสา!” 

 

 

กล่าวจบคงกลัวว่าเขาจะเอาเรื่อง พริบตาก็วิ่งหนีหายกันไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือแค่อวี่ซือเฟิ่งที่มองดูอักษรสีทองแวววาวนั้นอย่างยังงุนงงสับสน ไม่นานแสงสีทองก็หายไป ทุกอย่างกลับคืนสภาพดังเดิม  

 

 

ราชันสวรรค์ประทับผนึก เช่นนั้นทุกอย่างล้วนเป็นการจัดการของราชันสวรรค์? 

 

 

เขาเดินต่อไปด้วยท่าทีที่ยังคงไม่เข้าใจ บรรดายมทูตพอเห็นบนตัวเขามีผนึกราชันสวรรค์ ผู้ใดก็ไม่อาจหาเรื่องเขา ปล่อยเขาเดินไปทั่ว อวี่ซือเฟิ่งเดิมคิดจะกลับไปตำหนักหลังนั้นในเมืองนรกอี้ตู แต่ตนเองตอนนี้ไม่ได้โปร่งแสง คนอื่นมองเห็นเขา จะเดินไปก็ย่อมไม่อาจทำได้ เขาหันกลับเดินไปอีกครู่หนึ่งก็คิดออกจากแดนปรภพ พลันเห็นด้านหน้ามีแสงเลือนลาง มีจิ้งจอกตัวหนึ่งโผล่พ้นสายหมอกมาด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตกใจอุทานว่า “จิ้งจอกม่วง!” 

 

 

จิ้งจอกนั่นมีขนสีม่วงทั้งตัวราวกับผ้าแพรต่วนแสนงดงาม พอได้ยินอวี่ซือเฟิ่งเรียกนางก็หูกระดิก รีบหันกลับมามอง เห็นอวี่ซือเฟิ่งอยู่ไม่ไกล ดวงตานางอยู่ๆ พลันสว่างวาบ แล้วก็พลันหรี่แสงลงทันที แกว่งหางไปมา สะอื้นไห้พุ่งเข้ามาตะปบเสื้อเขาไว้ น้ำหูน้ำตาเล็ด ถูไถกับตัวเขา 

 

 

“ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง! เจ้าก็ตายแล้ว?! ไม่ใช่กระมัง!” จมูกแหลมๆ ของนางสั่นไม่หยุด มองเขาน้ำตาคลอ 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าตายแล้ว?” 

 

 

จิ้งจอกม่วงน้ำตานองพยักหน้า พึมพำกล่าวว่า “ไม่ตายจะมาที่นี่ได้อย่างไร เจ้าเองตายไม่ตายไม่รู้หรือ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ถามคำหนึ่ง “ข้าตายแล้ว?” 

 

 

จิ้งจอกม่วงหน้าตาไม่เข้าใจ พลางโดดลงจากร่างเขา พริบตาก็กลายร่างเป็นสาวงามชุดม่วง ปาดน้ำตาถอนใจกล่าวว่า “เจ้าดีกว่าข้าหน่อย ตนเองตายอย่างไรก็ไม่รู้ ตอนข้าสิเรียกว่าอนาถนัก” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า…ตายได้อย่างไร…” 

 

 

นางขยี้ตากล่าวว่า “ตายก็ตายแล้ว ยังพูดอีกทำไม ไปเถอะ พอดีเลย ข้าคนเดียวกำลังเบื่อมาก มีเจ้ามาอยู่ที่นี่ด้วยก็สบายใจขึ้นมาก ก็หวังแต่เสวียนจีรู้เข้าอย่าได้หึงหวง” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าตายแล้ว พวกอู๋จือฉีต้องเสียใจมากแน่…” นิสัยคนเหล่านั้น เขารู้ดี หากจิ้งจอกม่วงตาย เกรงว่าความเศร้าอัดแน่นรอปะทุก็คงทนกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ไม่แน่อาจมีเรื่องกันจนไม่อาจเก็บกวาดได้ 

 

 

เขาหันหลังจะเดินไป จิ้งจอกม่วงรีบไล่ตามไปร้องดังขึ้นว่า “เฮ้! เจ้าไปไหน ไม่ได้จะไปเมืองนรกอี้ตูหรือ” 

 

 

เขาส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้ากลับไปรั้งพวกเขา! หากไปสายไป เกรงว่าพวกเขาจะก่อเรื่องใหญ่!” 

 

 

จิ้งจอกม่วงดึงรั้งเขาไว้สุดแรง ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าตายแล้วนะ ยังวุ่นวายอะไรอีก! ตายแล้วทุกสิ่งก็ว่างเปล่า วาจานี้เจ้าเคยพูดเองนะ” 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเริ่มรู้สึกแทบอยากจะร้องไห้ จะยิ้มไม่ก็ไม่ออก ถอนใจกล่าวว่า “ข้ายังไม่ตาย…เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาที่นี่ได้” 

 

 

“ใช่ๆ!” จิ้งจอกม่วงไม่เชื่อแม้แต่น้อย “เช่นนั้นข้าก็ไม่ตาย เพียงแต่แล่นมาแดนปรภพได้อย่างน่าประหลาด”