ตอนที่ 627 วันเวลาไหลไป ลมปราณกลับไหลย้อน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ชั่วพริบตานั้น ก็สั่นสะเทือนภูเขา เกิดรอยแยกขึ้นสายหนึ่งโดยมีลูกศรขนนกปักพื้นดินเป็นจุดศูนย์กลาง

ทุกคนไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็ถูกพลังแรงดูดที่แข็งแกร่งซึ่งส่งมาจากรอยแยกสูบเข้าไป

หลังจากเข้าไปก็ไม่ได้จมเข้าสู่ความมืดมิด ตรงกันข้าม ด้านหน้ากลับเปล่งแสงเจิดจ้า รอยแยกด้านหลังก็ผนึกเข้าหากันอีกครั้งภายในชั่วครู่

ชั่วพริบตา ทุกคนก็ข้ามผ่านลำแสงมาถึงสถานที่แห่งใหม่

เมื่อเข้าไป ลมปราณอันวุ่นวายก็ทะลักเข้ามาทันที

นอกจากมั่วหร่านอี ทุกคนก็สำแดงสมบัติวิเศษป้องกันออกมาต้านทานกระแสวุ่นวายนี้ ส่วนเจ้าปีศาจและอาชิง ก็ใช้พลังปีศาจสร้างเกราะป้องกันขึ้นรอบกาย

ครู่ต่อมา สมบัติวิเศษหลายอย่างก็สั่นคลอนทำท่าจะพังทลาย

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ปทุมหยกอริยะหอมลอยขึ้นมา พลางแผ่ลำแสงสีเขียวมรกตอยู่เหนือศีรษะของนาง

รัศมีลำแสงสีเขียวมรกตกินพื้นที่กว้างใหญ่ สมบัติป้องกันตัวหลายชนิดกลับมามั่นคงในทันที

ปทุมหยกอริยะหอมได้รับมาจากแดนสวรรค์มี่หลัวตู ไม่เพียงมีพลังในการควบคุมสติสัมปชัญญะของอีกฝ่าย และมีพลังในการเพิ่มอานุภาพของสมบัติวิเศษได้อีกด้วย

เพียงแค่ยามนี้แม้ว่าจะนำออกมาใช้แล้ว แต่กระแสวุ่นวายที่พัดเข้ามานั้นแข็งแกร่งมากเกินไปจริงๆ ทว่าครู่ต่อมา มั่วชิงเฉินก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง

เวลานี้เอง สมบัติวิเศษลักษณะเหมือนพัดขนนกที่เยี่ยเทียนหยวนเรียกออกมาก็ได้รับการกระตุ้นพลังในที่สุด ขนนกแต่ละเส้นระเบิดออก หมุนวนไปมาท่ามกลางกระแสวุ่นวาย ทำให้ลมปราณกระแสวุ่นวายหันเหออกไปด้านข้าง

แรงกดดันต่อทุกคนพลันลดลง ถึงได้มีแรงมองไปรอบด้าน

ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ด้านบนมองไม่เห็นท้องฟ้า ด้านล่างมองไม่เห็นพื้นดิน พวกเขาลอยไปลอยมาได้ตามอำเภอใจ ราวกับไม่ว่าทิศทางไหนก็ยืนอยู่ได้ทั้งนั้น

ลมปราณหลากหลายหลากสีสันก่อตัวขึ้นกลายเป็นพายุหมุนร่างมังกรม้วนตลบไปมา แม้ว่าจะถูกพัดขนนกของเยี่ยเทียนหยวนหักเหออกไปไกล แต่ความรู้สึกดุร้ายก็ยังคงโถมเข้ามา

เสียงคร่ำครวญอย่างทุกข์ทนพลันดังขึ้น อาชิงตกใจจนหน้าถอดสี “แม่เสือ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

มั่วหร่านอีหน้าซีดเผือด ลมหายใจอ่อนแอลง “ข้า ข้าเจ็บไปหมดทั้งตัว…”

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นเรียกไหมเกล็ดน้ำแข็งกลับมา กลายเป็นหมอกควันห่อหุ้มอาชิงและมั่วหร่านอีในอ้อมอกของเขาเอาไว้ พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “พี่สิบ ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง”

ยามที่เข้ามาที่นี่ในตอนแรก เพื่อไม่ให้ถูกกระแสลมปราณฉีกกระชากร่างออกในชั่วพริบตา ทุกคนจึงต้องร่วมแรงกันเรียกสมบัติวิเศษออกมาต้านทาน แต่แค่มั่วหร่านอีนั้นแม้ว่าจะอยู่ในอ้อมกอดของอาชิง และมีสมบัติวิเศษป้องกันคอยคุ้มกันอยู่ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายทั้งยังมีครรภ์ ไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมสัมผัสได้ถึงความไม่สบายตัว

โชคดีที่พัดขนนกของเยี่ยเทียนหยวนนั้นได้ผล มั่วชิงเฉินถึงได้กล้าถอนไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาปกป้องนาง

“ดีขึ้นมากแล้ว” มั่วหร่านอีเอ่ยขณะหอบหายใจ แล้วลูบท้องตามจิตสำนึก

มั่วชิงเฉินหน้าเปลี่ยนสี “พี่สิบ ท่านคงไม่ได้ใกล้คลอดแล้วหรอกนะ”

มั่วหร่านอีได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี “ข้าใกล้คลอดแล้ว?”

มั่วชิงเฉินพลันตกตะลึง “ข้าก็ไม่แน่ใจนัก ข้าไม่ได้กำลังถามท่านหรือ เด็กน้อยกี่เดือนแล้ว”

“สาม สามปีแล้ว” มั่วหร่านอีเอ่ย

มั่วชิงเฉินพลันตะลึงค้าง มองหาคนอื่นเพื่อขอความช่วยเหลือ

ยามนี้ หากมั่วหร่านอีคลอดบุตร ก็นับเป็นเรื่องของชีวิตคน ดังนั้นนางจะคลอดตอนไหน ก็เป็นปัญหาใหญ่ทั้งนั้น

มั่วเฟยเยียนสั่นศีรษะด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

หลัวอวี้เฉิงเห็นมั่วชิงเฉินใช้สายตาอ้อนวอนมองมาทางเขา มุมปากก็กระตุก “ขออภัย ปัญหาลึกล้ำเช่นนี้อวี้เฉิงไม่เคยศึกษามาก่อน”

เยี่ยเทียนหยวนควบคุมพัดขนนกและสมบัติป้องกันอีกอย่างหนึ่งไปพลาง หยิบม้วนคัมภีร์หยกออกมาจากอกเสื้อปึกหนึ่งโยนให้มั่วชิงเฉินไปพลาง “ศิษย์น้อง เจ้าดูสิว่าในนั้นมีบันทึกไว้หรือไม่”

มั่วชิงเฉินรับม้วนคัมภีร์หยกมา เหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนแวบหนึ่งด้วยความสงสัย แล้วถึงได้ส่งจิตสัมผัสเข้าสำรวจอ่าน

“ทฤษฎีว่าด้วยช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการตั้งครบรถ์ของสตรีบำเพ็ญเพียร…”

“ถกปัญหาความเกี่ยวข้องกันระหว่างท่วงท่าในการร่วมรักกับลักษณะรากวิญญาณของทารก…”

“จะดูแลคู่บำเพ็ญอย่างไร…บันทึกอันว่าด้วยขั้นตอนตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตร…”

……

มั่วชิงเฉินยิ่งอ่านยิ่งหน้าดำคล้ำ สุดท้ายก็หาระยะเวลาการตั้งท้องของพยัคฆ์ขนสีน้ำเงินเจอใน ‘บันทึกอัศจรรย์เรื่องการสืบทอดสายเลือด’ พบว่า…แปดปี

ด้านหลังยังมีหมายเหตุเขียนเอาไว้ว่า หากมนุษย์ผสมพันธุ์เผ่าปีศาจ ถ้าเด็กในครรภ์เป็นมนุษย์ จะมีระยะเวลาการตั้งท้องเหมือนกับมนุษย์ หากเป็นปีศาจละก็ จะมีระยะเวลาเหมือนกับเผ่าปีศาจ หากเป็นลูกครึ่งปีศาจก็จะอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองเผ่า…

มั่วชิงเฉินอ่านจบอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาประลาดใจของคนอื่นๆ ก็แทบจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหลมสูง “ศิษย์พี่ ท่านไปเอาคัมภีร์พวกนี้มาจากไหน!”

สายตาของทุกคนเลื่อนไปหาเยี่ยเทียนหยวนทันที

เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างซื่อสัตย์ว่า “สหายถัง…”

เป็นสิ่งดีๆ ของไอ้คนนั้นดังคาด!

ไม่รอให้เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยจบ มั่วชิงเฉินก็เอ่ยขึ้นทันที “ศิษย์พี่ วันหน้าท่านอยู่ให้ห่างๆ เจ้างั่งถังมู่เฉินหน่อยนะ หากเขาอยากยัดม้วนคัมภีร์ซี้ซั้วมาให้ท่าน ท่านก็ปาใส่หน้าเขาเลย!”

นางบอกไปตั้งกี่แล้ว ศิษย์พี่ไม่จำเป็นใช้อะไรแบบนี้…ถังมู่เฉิน กลับไปข้าจะจัดการเจ้าแน่!

เยี่ยทียนหยวนมีสีหน้าลำบากใจ “แต่ว่า…”

มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่ “ไม่มีแต่ หากไม่อยู่ห่างๆ เขาก็อยู่ห่างๆ ข้าหน่อยแล้วกัน ท่านก็เลือกเอา”

“ศิษย์น้อง ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ สหายถังมอบม้วนคัมภีร์มาให้สองม้วน ที่เหลือ…ล้วนเป็นของท่านเทียด…” หางตาของเยี่ยเทียนหยวนเหลือบมองไปที่มือของมั่วชิงเฉิน กลัวว่านางจะโมโหแล้วฉีกม้วนคัมภีร์หยกออกเป็นชิ้นๆ

ในใจก็อดรู้สึกเสียใจในภายหลังไม่ได้ สิ่งที่ไม่ควรเอาออกมายามรีบร้อนก็เอาออกมาทั้งหมด

มั่วชิงเฉินมีสีหน้าเขียวคล้ำและแดงก่ำสลับกันไปมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างแรง โยนม้วนคัมภีร์หยกให้เยี่ยเทียนหยวน แล้วถึงได้หันกายไปฝืนยิ้มให้มั่วหร่านอี “พี่สิบ ในม้วนคัมภีร์หยกกล่าวว่า ระยะเวลาการตั้งครรภ์ของพยัคฆ์ขนสีน้ำเงินคือแปดปี ท่านท้องมาสามปีแล้ว จะต้องไม่ใช่ครรภ์มนุษย์แน่ เช่นนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลามากกว่าสี่ปี วางใจเถิด ถึงยามนั้นไม่แน่ว่าอาจจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว”

มั่วหร่านอีผ่อนลมหายใจออกมา แล้วพยักหน้าน้อยๆ

เมื่อมั่วชิงเฉินนึกถึงเรื่องซี้ซั้วน่าอายในม้วนคัมภีร์หยกนั่นก็ไม่กล้าพูดมากอีก เดินออกไปอยู่ด้านข้าง แต่กลับประสานสายตาเข้ากับสาตาอมยิ้มของหลัวอวี้เฉิง

“แค่กๆ สหายมั่ว อวี้เฉิงมีคำถามอยากจะถาม”

ใบหน้าของมั่วชิงเฉินมีจิตสังหารปรากฏ “ทางที่ดีอย่าถามข้า”

“อืม” หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าอย่างรู้จักวางตัว หันหน้าไปมองเยี่ยเทียนหยวน “สหายลั่วหยาง เหตุใดในม้วนคัมภีร์การเลี้ยงดูบุตรถึงมีเนื้อหาของเผ่าปีศาจและลูกครึ่งปีศาจด้วย”

เห็นเขามีสีหน้าจริงจัง เยี่ยเทียนหยวนก็แบ่งปันประสบการณ์การหาสมบัติล้ำค่านี้ให้อย่างเบิกบานใจ “ท่านเทียดเคยเตือนไว้ แม้ว่าข้าและศิษย์น้องจะเป็นคู่รักสวรรค์ประทาน แต่ไม่แน่ว่าบุตรของข้าอาจจะมีความรักกับเผ่าปีศาจ ถึงยามนั้นไม่รู้อันใดเลยก็จะแย่ นี่เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้”

หลัวอวี้เฉิงมุมปากกระตุก เอ่ยด้วยสีหน้านิ่งว่า “เข้าใจแล้ว!”

มั่วชิงเฉินมีสีหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อ เอ่ยคำรามว่า “พอได้แล้ว พวกเจ้าสองคน ไปให้พ้นหน้าข้า!”

ทั้งสองล้วนมองไปที่มั่วชิงเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกายเดินจากไปอย่างเชื่อฟัง พลางปรึกษาเรื่องราวเมื่อครู่กันต่อ

ยามที่หันกาย มุมปากหลัวอวี้เฉิงก็หยักโค้ง พลางคิดในใจว่า เห็นสหายมั่วถูกศิษย์พี่ของนางทำให้โกรธจนควันออกหูแล้ว ช่างน่าสนใจจริงๆ

มุมปากของเยี่ยเทียนหยวนเองก็หยักโค้งขึ้นเช่นกัน พลางคิดในใจว่า สหายถังกล่าวว่าห้ามตามใจสตรี ไม่เช่นนั้นนางจะไม่เห็นค่า ไม่แน่ว่าอาจจะถูกบุรุษเลวทรามเจ้าชู้หว่านเสน่ห์จีบไป บางครั้งหากนางโกรธก็ค่อยปลอบนาง การทะเลาะกันไปมาเช่นนี้ถึงจะดียิ่งกว่า วันนี้ได้ทดสอบผลลัพธ์แล้ว…

นี่เป็นแค่ฉากประกอบละครฉากหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ทุกคนสนใจที่สุดยังคงเป็นสภาพแวดล้อมพิเศษนี้

ระดับการหลอมอาวุธของเยี่ยเทียนหยวนยิ่งลึกล้ำมาก แม้ว่าพัดขนนกจะรับหน้าที่หักเหกระแสลมปราณวุ่นวายออกไป แต่กลับเสียพลังปราณไม่มาก จากพลังยุทธ์ของเขาไม่ต้องมีทัพเสริม ก็สามารถต้านทานได้ระยะหนึ่ง

เห็นเพียงเขาสำแดงสมบัติวิเศษจานทรงกลมที่เหมือนกันออกมา จากนั้นมันก็บินไปมาตามพัดขนนกประมาณหนึ่งก้านธูป แล้วร่อนลงมาในมืออีกครั้ง

มองสมบัติวิเศษจานทรงกลมแวบหนึ่ง ใบหน้าเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวนเผยความเคร่งขรึมออกมา

การทะเลาะกันของสามีภรรยาเป็นแค่การหยอกล้อเท่านั้น เมื่อมีเรื่องสำคัญมั่วชิงเฉินก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปชั่วคราว แล้วเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ เป็นอย่างไรบ้าง”

เยี่ยเทียนหยวนมองทุกคนแวบหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยว่า “วันเวลาไหลไป ลมปราณกลับไหลย้อน คือจุดเด่นของห้วงมิติที่พวกเราอยู่”

“นี่หมายความว่าอย่างไร” ผู้บำเพ็ญเพียรมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อเวลาและลมปราณมากที่สุด ทุกคนจึงเอ่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน

เยี่ยเทียนหยวนเงียบขรึมไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “วันเวลาไหลไป…หมายถึงห้วงมิติที่พวกเราอยู่นั้นกระแสเวลาผันผวนวุ่นวาย ไม่เกี่ยวข้องกับโลกภายนอก บางทีพวกเราอาจจะอยู่ที่นี่มาร้อยปีแล้ว แต่โลกภายนอกนั้นผ่านไปแค่หนึ่งปีเท่านั้น หรือบางทีอาจจะกลับกัน…”

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกัน “คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้!”

บนท้องฟ้าผ่านไปหนึ่งวัน บนพื้นดินผ่านไปแล้วหนึ่งพันปี ความไม่ตรงกันของเวลาไม่ใช่เรื่องไร้สาระในโลกมนุษย์

ตัวอย่างเช่นค่ายกลที่สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ ค่ายกลที่ค่อยๆ ลดประสิทธิภาพของโอสถวิเศษ ความจริงแล้วล้วนเป็นผลจากค่ายกลที่เปลี่ยนแปลงเวลาและระดับความเข้มข้นของไอวิญญาณในนั้น

แต่แค่พลังมีจำกัด สิ่งที่ค่ายกลเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงได้จึงมีไม่มาก

ก็เหมือนกับน้ำเต้าในมือของมั่วชิงเฉิน รดน้ำลงไปหนึ่งวันก็เท่ากับอายุของพืชทิพย์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งปี เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อแล้ว

แต่ปกติแล้วเรื่องราวก็มักจะมีข้อยกเว้นเสมอ ห้วงมิติวิเศษที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรจำนวนหนึ่ง การไหลของวันเวลาจะแตกต่างกับโลกภายนอกมาก

ว่ากันว่าหลายพันปีก่อนที่สำนักพรรคแห่งหนึ่ง มีลูกศิษย์คนหนึ่งถูกขับไล่ออกมา ตอนที่ถูกขับไล่ออกมาจากพรรคนั้นมีพลังยุทธ์แค่ระดับสร้างรากฐาน กลับบังเอิญตกเข้าไปในห้วงมิติพิเศษ สิบปีต่อมาเมื่อออกมาได้ก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตแล้ว เขามาหาเจ้าสำนักแล้วสังหารผู้ร่วมสำนักด้วยความโกรธแค้น ต่อมาก็เล่าให้สหายของเขาฟังว่าเขาติดอยู่ในห้วงมิตินั้นเป็นพันปี หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็หายตัวไป แต่เรื่องราวอัศจรรย์นี้กลับเล่าสืบต่อกันมาในโลกผู้บำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน

แน่นอนว่า ก็มีบางแห่งที่อยู่ในห้วงมิติพิเศษหลายปี โลกภายนอกก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว

แค่กๆ ถ้าหากศัตรูในวันวานยังมีชีวิตอยู่ ก็จะค่อนข้างจะน่าเวทนานัก

ดังนั้นวันเวลาที่เสียไปจึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับทุกคน นั่นเท่ากับเป็นการทดสอบของแต่ละคน

“แล้วลมปราณไหลย้อนล่ะ” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงที่เงียบขรึมมาโดยตลอดเป็นฝ่ายถามขึ้น

เยี่ยเทียนหยวนมองเขาแวบหนึ่ง และเอ่ยอย่างราบเรียบ “ที่นี่มีพลังปราณฟ้าดินแฝงอยู่ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อรูปร่างเป็นกระแสลมย้อนกลับ สถานการณ์เช่นนี้ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันแล้วแต่บุคคล”

“อะไรที่เรียกว่าแล้วแต่บุคคล” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงเลิกคิ้วขึ้น

เยี่ยเทียนหยวนเอ่ย “พลังปราณไหลย้อน ก็คือพลังปราณฟ้าดินไม่สนใจความเร็วในการดูดซับพลังของผู้บำเพ็ญเพียร พยายามแทรกซึมเข้ามาในร่างของผู้บำเพ็ญเพียร นั่นเท่ากับว่าพลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าหากผู้บำเพ็ญเพียรสามารถขัดขวางลมปราณชนิดอื่น แล้วดึงดูดแค่ลมปราณที่ตนฝึกฝนเข้ามา พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เช่นนั้นกลับจะทิ้งอันตรายที่แฝงไว้ในระดับจิตใจและรากฐานที่ไม่มั่นคง ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่พลังยุทธ์ไม่เพียงพอ เมื่อเข้ามาอยู่ในแดนปราณย้อนกลับ ร่างกายก็แหลกเป็นชิ้นๆ หรือยามที่รับลมปราณย้อนกลับไม่ทันระวังนำลมปราณอื่นเข้ามาในร่างจนเกิดธาตุไฟเข้าแทรก หรือไม่ก็ร่างกายรับลมปราณจนถึงขีดสุดแล้วหยุดไม่ทันจนร่างกายระเบิดออก เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความแล้ว”