ตอนที่ 628 ลูกเสือตัวน้อยของหร่านอี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สิ้นเสียง ก็เห็นเจ้าปีศาจลั่วเฟิง กระโจนออกไปจากอาณาเขตป้องกัน

กระแสปราณวุ่นวายพลันทะลักมาหาเข้า กล้ามเนื้อภายนอกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าปูดโปน อาภรณ์สะบัดพลิ้ว เสียงหวีดหวิวดังขึ้น

ใบหน้าอันชั่วร้ายหล่อเหลา ฉายแววเจ็บปวด แล้วกลับมามีสีหน้าราบเรียบอย่างรวดเร็ว แล้วพลันหลับตาทำสมาธิ

มั่วเฟยเยียนดวงตาเปล่งประกาย สาวเท้าเดินออกไปด้านนอก

มั่วชิงเฉินดึงเอาไว้ “พี่เก้า อย่าบุ่มบ่าม”

มั่วเฟยเยียนเอ่ยอย่างเย็นชา “หนทางแห่งการเป็นเซียนเดิมก็เป็นหนทางที่ฝืนลิขิตสวรรค์อยู่แล้ว อะไรคือวาสนาอะไรคือโทษทัณฑ์ มีเพียงต้องก้าวออกไปถึงจะรู้ได้ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือการไม่เดินไปข้างหน้า”

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างจนปัญญา ยื่นนิ้วออกไปชี้ที่เหนือหัว “เกราะป้องกันในยามนี้คือสิ่งที่พวกเราสามคนสร้างขึ้นจากสมบัติป้องกัน การไปของท่าน จะเหลือสมบัติวิเศษเพียงสองชิ้น เกรงว่าจะต้านทานกระแสปราณวุ่นวายได้ยาก ถึงยามนั้นพี่สิบจะทำอย่างไร”

มั่วเฟยเยียนกวาดตามองมั่วหร่านอีแวบหนึ่งอย่างหมดความอดทน แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เอาแต่สร้างปัญหาเพิ่ม!”

เอ่ยจบก็ชูมือขึ้น ยันต์สีขาวหิมะสายหนึ่งพุ่งออกมา มาถึงกลางอากาศก็ระเบิดออกกลายเป็นหยกหิมะขนาดใหญ่ จากนั้นก็มียันต์วิเศษเช่นเดียวกันบินออกมาอีกหลายสาย

หยกหิมะขนาดยักษ์หลายก้อนบินตัดสลับกันไปมา เมื่อร่อนลง คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นห้องน้ำแข็งงดงามประณีต ห้อมล้อมทุกคนเอาไว้อย่างพอดิบพอดี ด้านนอกสุดคือสมบัติวิเศษป้องกันสามชั้น

มั่วเฟยเยียนเก็บสมบัติวิเศษป้องกันของตัวเองมา แล้วโยนยันต์สีขาวแกมเหลืองออกมา ยันต์แผ่นนั้นล้อเล่นกับลม แล้วกลายเป็นเกล็ดหิมะ ชั่วพริบตาก็ปกคุลมเพดานห้องน้ำแข็งเอาไว้ จากนั้นลำแสงสีเหลืองพลันสว่างวาบ ห้องน้ำแข็งยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

“เสร็จแล้ว เวลาในการต้านทานห้องน้ำแข็งยาวนานกว่าสมบัติวิเศษป้องกันของพวกเรา ขอแค่ไม่มีสิ่งอื่นมาโจมตีมัน” มั่วเฟยเยียนเอ่ยพลางเดินออกไปด้านนอก แล้วเอ่ยอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา “หากข้าดูซับไม่ไหวแล้วจะเข้ามา ไม่ต้องกังวล…”

เอ่ยยังไม่ทันจบ ก็มองไปยังมั่วชิงเฉินที่อยู่ด้านหลัง ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “น้องสิบหก ทุกคนล้วนมีอุปนิสัยในการฝึกฝนของตัวเอง แม้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะสูงกว่าข้า แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าอาศัยสิ่งนี้มาก้าวก่ายข้า ต่อให้จะคิดเพื่อข้าก็ตาม”

มั่วชิงเฉินมองมั่วเฟยเยียนผู้เย็นชาแล้วแย้มยิ้ม “พี่เก้า ข้าไม่ได้อยากห้ามท่าน ในเมื่อแก้ไขปัญหาด้านการป้องกันได้แล้ว เช่นนั้นก็ออกไปด้วยกันเถิด เดิมข้าก็อยากออกไปอยู่แล้ว”

ไหมเกล็ดน้ำแข็งเป็นสมบัติวิเศษตามธรรมชาติ มันเชื่อมต่อกับจิตใจของนางได้ตั้งนานแล้ว สามารถอาศัยพลังมันคุ้มครองมั่วหร่านอีได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติวิเศษธรรมดาๆ จะเทียบเทียมได้ ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหากับมั่วชิงเฉินแม้แต่น้อย

มั่วเฟยเยียนได้ยินว่ามั่วชิงเฉินเองก็จะออกไป พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง ทั้งสองจึงเดินเคียงไหล่กันออกไป

พอออกมาจากเขตป้องกัน มั่วชิงเฉินก็สัมผัสได้ถึงกระแสปราณอันวุ่นวายเข้มข้นทะลักเข้ามา รากวิญญาณเจ็ดสีในร่างเริ่มโคจรพลังเองโดยอัตโนมัติ กระแสปราณหลากหลายถูกส่งเข้าไป พลังบริสุทธิ์ไหลหลากเข้ามากลับคืนสู่จุดตันเถียนอย่างต่อเนื่อง

ทารกปราณในจุดตันเถียนกำลังแช่อยู่ในปราณบริสุทธิ์ หลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ เห็นพลังบริสุทธิ์ในจุดตันเถียนค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นธารน้ำตื้น ก็อ้าปากออกน้อยๆ แล้วดูดธารน้ำตื้นเข้าไปในปาก

เมื่อดูดซับปราณฟ้าดินเข้าไปด้วยความรวดเร็วอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่ารอบตัวสุขสบายจนอยากจะร้องตะโกนออกมา

หลายปีที่ผ่านมานั้น ได้รับประสบการณ์มามากมาย แต่เวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียรจริงๆ นั้นกลับน้อยมาก ปกติแล้วนางไม่ใช่คนที่ปรับอารมณ์ไม่ทัน ตามการเติบโตของพลังยุทธ์ ถึงอย่างไรเสียอารมรณ์ก็เหนือกว่าพลังยุทธ์ขั้นหนึ่ง ส่วนพลังของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นก็เหนือกว่าระดับจิตใจและพลังยุทธ์ขั้นหนึ่ง ล้วนไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ

ดังนั้นที่นี่จึงเป็นอันตรายต่อผู้อื่น เป็นวาสนาและภัยร้ายอย่างละครึ่ง แต่สำหรับนางแล้วนี่เรียกได้ว่าราวกับมัจฉาในสายธาร เหมาะสมจนไม่รู้ว่าจะเหมาะสมได้อย่างไรแล้ว

แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะมีความสุขกับการบำเพ็ญเพียร แต่ก็ยังจับตามองมั่วเฟยเยียนอย่างเงียบๆ เห็นนางในตอนแรกแม้ว่าจะมีสีหน้าเจ็บปวด แต่โชคดีที่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ต่อมาก็ค่อยๆ คุ้นชินจนวางใจลง แล้วตั้งใจกับการฝึกฝน

เยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิงมองเจ้าปีศาจและพี่น้องมั่วชิงเฉินวิ่งออกไปฝึกฝนด้านนอกตามลำดับ ก็รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ แทบจะมองไปยังอีกฝ่ายพร้อมกันแวบหนึ่งอย่างมิได้นัดหมาย

หลัวอวี้เฉิงชิงลงมือก่อน โยนหุ่นเชิดไม้ออกมาจากหน้าอกอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

เมื่อหุ่นเชิดไม้ปรากฏตัวก็ขยายร่างทันที จนมีความสูงราวๆ หลัวอวี้เฉิงถึงได้หยุดลง ร่างกายหน้าตา คาดไม่ถึงว่าจะไม่แตกต่างกับเขาเลยสักนิด หากไม่ใช่เพราะหุ่นเชิดไม้ไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าไร้ความรู้สึก ก็ยากจะแยกแยะว่าจริงหรือปลอมแล้ว

เมื่อเห็นหน้าตาอันประณีตงดงามของหุ่นเชิดไม้ เยี่ยเทียนหยวนก็ตกตะลึง

หลัวอวี้เฉิงฉีกยิ้มให้เยี่ยเทียนหยวน “สหายลั่วหยาง หุ่นเชิดไม้นี้คล้ายคลึงกับข้าน้อยหลายส่วนใช่หรือไม่”

เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า เอ่ยอย่างจริงใจ “ไม่ใช่แค่เหมือนหลายส่วน แต่ถ้าหุ่นเชิดนี้เคลื่อนไหวได้ แค่ดูผ่านๆ ก็ยากจะแยกแยะกับสหายหลัว ทักษะล้ำเลิศเป็กเอก ลั่วหยางเลื่อมใส”

“สหายลั่วหยางตาแหลมมาก หุ่นเชิดนี้ไม่เพียงเคลื่อนไหวได้ ยังสามารถควบคุมสมบัติวิเศษแทนข้าน้อยได้” เสียงของหลัวอวี้เฉิงดังขึ้นจากจุดที่ไกลออกไป

เยี่ยเทียนหยวนช้อนสายตาขึ้นมอง หลัวอวี้เฉิงมาอยู่ตรงริมขอบของเขตป้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และกำลังโบกมือให้เขาอย่างพึงพอใจ ”สหายลั่วหยาง ที่เหลือก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

เยี่ยเทียนหยวนชักสายตากลับมา มองหุ่นเชิดไม้

หุ่นเชิดไม้นั่งขัดสมาธิ นิ้วมือทำท่าเป็นรูปดอกบัว ลำแสงวิญญาณรางๆ บินออกมาจากหว่างนิ้ว เชื่อมโยงกับสมบัติวิเศษป้องกันของหลัวอวี้เฉิงด้านบนรางๆ

เยี่ยเทียนหยวนเลื่อนสายตาออกมา มองไปทางอาชิง

อาชิงหน้าเปลี่ยนสี “ลั่วหยางเจินจวิน ท่านไม่อาจออกไปได้กระมัง ข้า ข้ากลัวว่าแม่เสือนางจะ…”

คนอื่นๆ ก็ช่างเถิด เดิมเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ไม่ได้เอ่ยถึงเครื่องป้องกันอะไรอยู่แล้ว ไหมเกล็ดน้ำแข็งของมั่วชิงเฉินกำลังปกป้องพวกเขาอยู่ในยามนี้ มั่วเฟยเยียนใช้ยันต์วิเศษแทนสมบัติวิเศษป้องกัน หลัวอวี้เฉิงใช้หุ่นเชิดไม้แทนตนเอง

แต่เยี่ยเทียนหยวนคนเดียว เขาไม่เพียงจะควบคุมสมบัติวิเศษป้องกัน ยังต้องควบคุมพัดขนนกพัดไปหักเหกระแสปราณวุ่นวาย การป้องกันเช่นนี้ถึงจะมั่นคงและยาวนาน

หากเขาวิ่งออกไป เช่นนั้นก็จบเห่แล้ว

เยี่ยเทียนหยวนได้ฟังคำพูดของอาชิงก็เม้มปาก ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ออกมา

เดิมทีเขาก็มีนิสัยเย็นชา การเงียบครั้งนี้ ชั่วขณะนั้นอาชิงพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง และไม่สนว่าเขาจะคิดอย่างไร หากเอ่ยชักจูงอีก ก็เป็นเรื่องน่าอายแล้ว

เยี่ยเทียนหยวนเรียกวิญญาณอัคคีออกมาอย่างเงียบๆ แล้วยัดสมบัติวิเศษขนาดเล็กเข้าไปในมือของวิญญาณอัคคี เมื่อออกคำสั่งในใจกับวิญญาณอัคคีรอบหนึ่ง ก็เอ่ยกับอาชิง “เจ้าวางใจ วิญญาณอัคคีสารมารถดูแลสมบัติวิเศษทั้งสองอย่างของข้าได้”

อาชิงยังมีทีท่าจะเอ่ยอะไรบางอย่างอีก ทว่าเยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้าเย็นชา “หากข้าไม่ฝึกฝนเพื่อพัฒนาตัวเอง อนาคตจะปกป้องภรรยาของตัวเองได้อย่างไร”

อาชิงถึงได้ตัดใจ ก้มหน้าลงมองมั่วหร่านอีในอ้อมอก แล้วมองวิญญาณอัคคีที่แม้แต่ร่างคนก็ยังสร้างไม่ได้ ตีตนเองคราหนึ่ง แล้วกุมหน้าถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม

เยี่ยเทียนหยวนหันกายเดินออกไปด้านนอก ยามผ่านหุ่นเชิดไม้ก็หยุดฝีเท้าลง แล้วจ้องเขม็งไปยังใบหน้าที่เหมือนกับหลัวอวี้เฉิงอย่างไรอย่างนั้นชั่วครู่ จากนั้นก็มองออกไปด้านนอก

เห็นสี่คนที่อยู่ด้านนอกกำลังหลับตาฝึกบำเพ็ญเพียร ก็เก็บสายตากลับมา แล้วถีบก้นของหุ่นเชิดไม้ด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้า จากนั้นก็หันกลับมา กวาดตามองอาชิงที่กำลังอึ้งแวบหนึ่ง แล้วก้าวเท้าจากไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

เนิ่นนาน อาชิงอ้าปากค้าง แล้วเอ่ยพึมพำว่า “ข้าจะต้องฝันไป ไม่ก็ตาฝาด”

มั่วหร่านอีตื่นขึ้นมาพอดี กะพริบตาปริบๆ อย่างเลื่อนลอย พลางระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “อาชิง เจ้ากำลังพึมพำอะไรอยู่ ฝันอะไร ตาฝาดอะไร”

“เอ่อ ข้า…ข้าเห็นลั่วหยางเจินจวินถีบก้นหุ่นเชิดสหายหลัว…”

มั่วหร่านอีใช้สายตาเลื่อนลอยมองอาชิง “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”

อาชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น…”

ด้วยเหตุนี้ พวกมั่วชิงเฉินหลายคนต่างก็ฝึกฝนอยู่ภายนอก จากพลังความสามารถของแต่ละคนก็อยู่ได้นานไม่เท่ากัน จะต้องกลับมาพักผ่อนในเกราะป้องกันตามเวลาที่กำหนด

ระหว่างนี้ ผู้ที่อยู่ด้านนอกได้ยาวนานที่สุดกลับไม่ใช่เจ้าปีศาจผู้มีระดับพลังยุทธ์สูงที่สุดและมีร่างกายแข็งแกร่ง และก็ไม่ใช่มั่วชิงเฉินผู้สามารถดูดซับกระแสปราณทั้งหมดได้ แต่กลับเป็นเยี่ยเทียนหยวน

มั่วชิงเฉินรู้สึกงงงวย ถือโอกาสในตอนพักผ่อนแอบสอบถามเขา แต่เยี่ยเทียนหยวนเองก็บอกสาเหตุไม่ได้

ความจริงแล้ว สาเหตุที่เยี่ยเทียนหยวนเป็นเช่นนี้ก็เพราะนอกจากนิสัยที่ดื้อรั้นแล้ว กลับเป็นเพราะเขาเคยได้รับความเจ็บปวดจนถึงขีดสุดจากการเคยพูดเผาไหม้จิตวิญญาณดั้งเดิม และฝืนฝ่าข้ามเส้นทางร้อนสุดขั้วออกมา ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมหรือว่าขีดจำกัดความเจ็บปวดจากการรับแรงกดดันของกายเนื้อต่างก็ล้วนเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นบอกได้แค่ว่าในโลกผู้บำเพ็ญเพียร ที่เรียกว่าความลำบากหรือโชคลาภในยามนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ก็อาจจะได้รับคำตอบไม่เหมือนกัน

เวลาสองปีผ่านไปราวกับดีดนิ้ว วันเวลาในฝึกบำเพ็ญเพียรอันสงบสุขกลับถูกเสียงร้องอันเจ็บปวดของมั่วหร่านอีทำลายลง

หลังวุ่นวายกันอยู่รอบหนึ่ง อาชิงที่มีสีหน้าเขียวคล้ำก็ไล่มั่วชิงเฉินและมั่วเฟยเยียนที่ยิ่งเข้ามาช่วยยิ่งยุ่งวุ่นวายออกไป

จากนั้นก็หันไปบอกกับเยี่ยเทียนหยวนที่มือกำลังถือม้วนคัมภีร์หยกว่าด้วยข้อควรระวังเรื่องการให้กำเนิดบุตรว่า “ลั่วหยางเจินจวิน พวกนี้ข้าอ่านไปเป็นร้อยรอบแล้ว ร้อยรอบ! อ่านกับทำมันจะเหมือนกันหรือ รบกวนท่านก็ออกไปเถิด”

เยี่ยเทียนหยวนนึกถึงภาพวาดการเสพสังวาสที่ตัวเองเคยอ่านเจอ จากนั้นก็นึกถึงความลำบากในความเป็นจริง ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผล โอบกอดม้วนคัมภีร์หยกแล้วเดินออกไปเงียบๆ

อาชิงปลอบมั่วหร่านอีไปพลาง หันหน้าไปพลาง มองหลัวอวี้เฉิงที่กำลังควบคุมหุ่นเชิดสตรีสองคนอย่างตื่นเต้นก็แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว “เจินจวิน หรือท่านคิดว่าหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมาเป็นรูปลักษณ์สตรีสองตัว พวกมันจะทำคลอดได้จริงๆ!”

หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้ว เก็บหุ่นเชิดแล้วเดินออกมาอย่างจนปัญญา

“ท่าน…” อาชิงประสานสายตากับเจ้าปีศาจ ท่าทางไล่คนก่อนหน้าหายไปแล้ว ทำได้เพียงทำเหมือนกับว่าตาแก่ที่กำลังชมความคึกครื้นอยู่ผู้นี้ไม่มีตัวตน แล้วช่วยภรรยาทำคลอดเองอย่างระมัดระวัง

ฉับพลันนั้นเงาร่างสีเขียวสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้น พลางถีบเจ้าปีศาจเต็มเท้า

เสียงของมั่วชิงเฉินลอยมา “อยากถ้ำมองหรือ วิปริต!”

“อายุของข้าเทียบกับบรรพชนของพวกเจ้าได้แปดรุ่น ไม่สิ พวกเจ้าจะมีข้าเป็นบรรพชนผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร! หญิงชาวมนุษย์ต่ำต้อยผู้หนึ่ง ข้าจะไปแอบมองทำไมกัน นี่มันเรียกว่าสงสัยใคร่รู้เข้าใจหรือไม่! นางหนูสมควรตาย วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้!”

เมื่อเห็นว่าโอกาสที่จะได้ดูครึ่งปีศาจถือกำเนิดถูกตัดไปแล้ว เจ้าปีศาจก็ร้องคำรามอย่างโมโห

“เจ้ากล้า!” เยี่ยเทียนหยวนตะโกนอย่างเย็นชา

หลังจากไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน[1]กันไปรอบหนึ่ง เสียงร้องของทารกก็ดังขึ้น

ทุกคนที่กำลังอยู่ในความวุ่นวายพลันหยุดมือ จากนั้นก็กระโจนเข้ามาราวกับสายลม เห็นในมือของอาชิงอุ้มทารกน้อยเอาไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแหย

ทารกน้อยมีขนาดเท่าฝ่ามือ จมูกนิดตาหน่อยดูไม่ออกว่าเหมือนผู้ใด แต่แค่เหนือศีรษะมีหูเสือคู่หนึ่งงอกออกมา หูลู่แตะกับศีรษะ ผู้คนต่างมองอย่างตกตะลึง

อาชิงใช้นิ้วไล้ไปบนหูของทารกน้อย เอ่ยกับมั่วหร่านอีอย่างตื่นเต้น “แม่เสือ เจ้ามาดูเร็ว ตรงนี้ลูกเหมือนข้าที่สุด!”

ทารกน้อยเจ็บ จึงส่งเสียงร้องอ้อแอ้ๆ ออกมา

มั่วหร่านอีมองคนตัวโตคนหนึ่งเด็กตัวเล็กคนหนึ่ง ดวงตาพลันมืดสนิท เป็นลมหมดสติไป

[1] ไก่บินเตลิดสุนัขวิ่งพล่าน หมายถึง การพูดถึงเหตุการณ์วุ่นวายจนไก่และสุนัขวิ่งกระเจิง