ตอนที่ 629-1 มาถึงจงหลาง

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วหร่านอีตั้งชื่อให้ลูกเสือตัวน้อยของตนว่าตูตู การถือกำเนิดของตูตูนำพาความสุขมาให้ทุกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่น่าเสียดายไม่รู้ว่าเพราะเป็นลูกครึ่งปีศาจหรือไม่ การเจริญเติบโตของตูตูจึงช้ามาก อยู่ในห้วงมิตินี้มาหนึ่งร้อยปี เขามีรูปร่างเป็นเด็กอายุสามสี่ขวบเท่านั้น

และในยามนี้ มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนต่างก็ก้าวเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย หลัวอวี้เฉิงและมั่วเฟยเทียนต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแล้ว

ส่วนเจ้าปีศาจลั่วเฟิงนั้นดูแล้วก็ลึกลับยากจะคาดเดา

มีเพียงมั่วหร่านอีที่ร่างกายอ่อนแอเพราะให้กำเนิดบุตร อาชิงก็คอยดูแลสองคนแม่ลูกจนต้องสูญเสียพลังไปมาก พลังยุทธ์ของทั้งสองจึงไม่พัฒนามากนัก หนึ่งร้อยปีผ่านไปมั่วหร่านอีเพิ่งจะเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ ส่วนอาชิงนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับแปลงกายขั้นต้น

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทั้งสองเห็นพลังยุทธ์ของคนอื่นเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดก็ไม่ได้เสียใจมากนัก ความคิดทั้งหมดล้วนตกอยู่ที่บุตรชาย

หนทางแห่งการเป็นเซียน เดิมทีก็มีได้มีเสียอยู่แล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ได้มารู้สึกเสียดายแทนพวกเขา กลับหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเห็นทั้งสามคนมีความสุขด้วยกัน

ไม่ว่าอย่างไร ชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

มั่วชิงเฉิงมีร่างฮุ่นตุ้น และมีรากวิญญาณเจ็ดสี สามารถดูดซับลมปราณชนิดต่างๆ ได้ตามอำเภอใจ และด้วยเหตุนี้ จึงมีความรู้สึกไวต่อความเปลี่ยนแปลงของลมปราณมากที่สุด

ช่วงนี้ นางจึงรู้สึกว่าห้วงมิติมีท่าทีไม่มั่นคงตามการลดลงของปราณวิญญาณ ปราณปีศาจ และปราณมาร ลมปราณที่เหลือก็ดูเหมือนว่าจะหลุดจากการควบคุม

ด้วยเหตุนี้เอง เกรงว่าอีกไม่นานห้วงมิตินี้ก็จะพังทลาย ทุกคนก็ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่

ภายใต้การวิเคราะห์ของทุกคน จึงลดเวลาการฝึกบำเพ็ญเพียรลง เริ่มเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

แต่วันที่ห้วงมิติเกิดความเปลี่ยนแปลงนั้นกลับมาถึงเร็วกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้ และทำเอาทุกคนป้องกันตัวไม่ทัน

วันนั้นทุกคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกับตูตู ทว่าแค่พริบตาลำแสงสีขาวนับพันหมื่นสายก็ปรากฏขึ้น ตัดสลับกันไปมากลางอากาศจนเป็นลายตารางสี่เหลี่ยม

ทุกคนเพิ่งจะใช้สมบัติอาคมป้องกันตัวกระตุ้นม่านป้องกัน ตารางสี่เหลี่ยมเหล่านั้นพลันหายไปในพริบตา และแสงสีขาวก็สว่างเจิดจ้าขึ้นมา

กระแสปราณของห้วงมิติที่พลังทลายระเบิดม้วนวนเข้ามา ดวงตาของมั่วชิงเฉินพร่าเลือนจนต้องหลับตา อาศัยเพียงความรู้สึกคว้าแขนคนข้างกายเอาไว้ แต่กลับรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมกอดหนึ่ง

ต่อมาเมื่อพายุทุกอย่างสงบลง มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นทรายสีเหลืองทอง มือถูกกุมเอาไว้แน่น

“ศิษย์พี่!” มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าฝ่ามือของอีกฝ่ายเย็นเยียบ จึงหันไปมองทันที

เห็นเพียงเยี่ยเทียนหยวนนอนฟุบอยู่ กายท่อนบนอยู่บนหาดทราย กายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำทะเล

น้ำทะเลสีฟ้าครามซัดเข้ามาเป็นระลอก คลื่นบางๆ กระทบกับร่างของเขา

มั่วชิงเฉินรีบลากเยี่ยเทียนหยวนขึ้นมาบนหาดทราย กอดกายท่อนบนของเขาเอาไว้ เห็นทวารทั้งเจ็ดของเขามีคราบเลือดก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่สนใจจะหาเหตุผลอีก ก้มหน้าลงประกบริมฝีปากเย็นชืด สองมือกุมข้อมือ พลังวิญญาณและไฟจริงทะลักเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย

ชีพจรใกล้จะขาดสะบั้นอยู่รอมร่อ พลังวิญญาณอาละวาดอย่างรุนแรง มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยเทียนหยวนจะบาดเจ็บหนักเช่นนี้

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทารกปราณของมั่วชิงเฉินเอาแต่อยู่ในร่างของเยี่ยเทียนหยวน ใช้วิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรคู่รักษาอาการบาดเจ็บให้เขา แน่นอนว่าย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงแขนขาที่พัวพันกันได้ ริมฝีปากแนบชิดติดกัน ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะใสกังวานดุจกระดิ่งสีเงินดังขึ้น

เสียงหัวเราะเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของสตรีคนหนึ่ง “พี่หญิงน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านรีบมาดูเร็ว ตรงนี้มีคนอยู่ด้วยแน่ะ!”

จากนั้นก็มีเสียงร้องอุทานของสตรีที่ไม่เหมือนกันดังขึ้น

มั่วชิงเฉินที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้เยี่ยเทียนหยวนอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ก็สัมผัสได้ว่าสตรีเหล่านี้มีพลังยุทธ์ไม่สูงนัก จึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว เลยไม่อยากเสียเวลาแค่ปล่อยให้พวกนางเข้ามาล้อมดู แต่คำพูดต่อมาของสตรีเหล่านี้กลับทำให้หน้าของหน้าค่อยๆ ดำคล้ำขึ้น

“พี่หญิงลี่ว์เฉียว สองคนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยนำเสียงราวกับเด็ก

“พี่หญิงลี่ว์เฉียวท่านดู มีคนหนึ่งหน้าตาแปลกนัก เขาตัวสูงมาก ดูแล้วร่างกายน่าจะแข็งแรงมาก ไม่เหมือนกับพวกเราเลย” น้ำเสียงสงสัยของสตรีอีกคนหนึ่งดังขึ้น

เวลานั้นหญิงสาวอีกคนหนึ่งก็เอ่ยด้วยความตกใจว่า “พี่หญิงน้องหญิงทั้งหลายดูเร็ว ทรวงอกของคนผู้นี้แบนราบ เอ๊ะ เช่นนี้เด็กน้อยจะกินนมได้อย่างไร”

ทารกปราณของมั่วชิงเฉินที่โอบกอดทารกปราณของเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ตัวแข็งทื่อ เป็นเพราะปากน้อยๆ แนบติดกับริมฝีปากของอีกฝ่าย จึงไม่อาจหันหน้าไปพูดอะไรกับหญิงสาวเหล่านั้นได้ แต่สายตากลับเลื่อนไปจ้องมองทรวงอกของตนเองแล้วเอ่ยในใจว่า ‘แบนอะไรกัน ใหญ่กว่าแต่ก่อนแล้วรู้หรือไม่ หญิงสาวพวกนี้มาจากไหน เหตุใดสายตาถึงได้ย่ำแย่เช่นนี้!’

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น ขณะที่ปราณวิญญาณประหลาดกำลังไหลเข้าปาก เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น “ศิษย์น้อง…”

มั่วชิงเฉินพลันดีใจ “ศิษย์พี่ ท่านตื่นแล้ว!”

เอ่ยจบก็มีสีหน้าแข็งทื่อ พลางเอ่ยถามว่า “ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่นี้แหละ ตอนที่เจ้าคิดว่าพวกนางสายตาย่ำแย่…”

มั่วชิงเฉินพลันรู้สึกเก้อเขิน

เยี่ยเทียนหยวนรีบปลุกปลอบ “อย่าหงุดหงิดไปเลย ศิษย์พี่เองก็รู้สึกว่าพวกนางสายตาย่ำแย่อย่างมาก…”

เพิ่งเอ่ยจบ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้น “นางหนูน้อยอย่างพวกเจ้าอย่าพูดจาซี้ซั้ว คนผู้นั้นเป็นบุรุษ หน้าอกต้องแบนอยู่แล้ว”

คนตัวเล็กทั้งสองในร่างของเยี่ยเทียนหยวนพลันตัวแข็งทื่อไปพร้อมกัน จากนั้นมั่วชิงเฉินก็หัวเราะร่า “ศิษย์พี่ ที่แท้พวกนางก็หมายถึงท่าน!”

เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงระเรื่อ โชคดีที่มีเพียงมั่วชิงเฉินที่เห็น เขาจึงไม่สนใจอะไร กลับโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แล้วพรมจูบลงไปราวกับกำลังแก้แค้น

เพียงแต่คำพูดต่อมาของหญิงสาวเหล่านั้น กลับยิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึง

“อ๋อ นี่คือบุรุษในตำนานเล่าขานสินะ ที่แท้บุรุษก็มีหน้าตาเช่นนี้!”

“ใช่แล้ว พี่หญิงลี่ว์เฉียว สองสามวันก่อนองค์หญิงใหญ่ออกจากเกาะไปก็เพื่อจะไปซื้อตัวบุรุษมาถวายฝ่าบาทมิใช่หรือ องค์หญิงสามกำลังกังวลว่าจะถวายของขวัญอะไรให้ฝ่าบาท ท่านว่าพวกเราเอาบุรุษผู้นี้กลับไปส่งให้องค์หญิงสาม เพียงเท่านี้ก็แก้ไขความกังวลให้กับองค์หญิงสาได้แล้วมิใช่หรือ”

เสียงเย็นชาครุ่นคิดไปเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “ก็ดี แต่แค่ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้หน้าตาดีหรือไม่ พวกเราก็ไม่เคยเห็นบุรุษมาก่อน จึงเปรียบเทียบไม่ได้”

เสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้น “พี่หญิงลี่ว์เฉียว ในสายตาน้องหญิงแล้ว บุรุษผู้นี้เป็นบุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาอย่างมาก”

“เพราะเหตุใด”

“ท่านดูสิ หญิงสาวที่อยู่กับเขาหน้าตางดงามเพียงนี้ แม้แต่…แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังสู้ไม่ได้ จากทฤษฎีนี้ บุรุษที่นางชอบจะหน้าตาแย่ได้อย่างไร”

“น้องหญิงซือหลัวพูดมีเหตุผล เช่นนั้นก็นำบุรุษผู้นี้กลับไปกันเถิด” เสียงเย็นชาดังขึ้น

“เช่นนั้น…สตรีผู้นี้ล่ะ”

เสียงของลี่ว์เฉียวเย็นชายิ่งกว่าเดิม “เจ้าก็บอกไปแล้วว่าสตรีผู้นี้หน้าตางดงามกว่าฝ่าบาท หากฝ่าบาทเห็นแล้วไม่พอใจ ถึงตอนนั้นพาลไปโกรธองค์หญิงสามขึ้นมา เช่นนั้นองค์หญิงก็จะไม่ได้ความดีความชอบแล้ว สังหารเถิด”

มั่วชิงเฉินที่แต่เดิมยังอยากฟังบทสนทนาของหญิงสาวเหล่านี้ต่อพลันมีสีหน้าเย็นชา ลำแสงสีขาวสว่างวาบ ทารกปราณกลับคืนร่าง ยืนขึ้นพร้อมกับเยี่ยเทียนหยวน

“ว้าย พวกเขายืนขึ้นแล้ว!” สตรีกลุ่มนั้นตกตะลึง

มั่วชิงเฉินกวาดตามองสตรีทุกคนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็ตกอยู่ที่เรือนร่างของสตรีชุดเขียว “ลี่ว์เฉียว?”

ก่อนหน้านี้ทารกปราณของมั่วชิงเฉินไม่ได้อยู่ในร่าง ส่วนที่กำหนดพลังยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเพียรก็คือแรงกดที่แผ่ออกมาจากร่าง หญิงสาวเหล่านี้จึงประเมินผิดไป

ยามนี้มั่วชิงเฉินเอ่ยปาก พลังกดดันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายก็แผ่ออกมา ลี่ว์เฉียวหน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะพยายามรักษาสีหน้าราบเรียบเอาไว้ แต่พลังยุทธ์กลับห่างชั้นกันมากเกินไป จึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทาว่า “เจ้าค่ะ…”

แม่นางน้อยที่ดูแล้วมีพลังยุทธ์แค่ระดับสร้างรากฐานขั้นปลาย แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะไม่ชอบท่าทีดูถูกชีวิตคนของนาง แต่กลับไม่อยากเอาความ จึงเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ที่นี่คือที่ใด”

“ที่นี่ ที่นี่มีชื่อเรียกว่าเกาะอี่เซ่อ”

“เกาะอี่เซ่อ?” มั่วชิงเฉินขบคิด แล้วมองเยี่ยเทียนหยวนแวบหนึ่ง

เยี่ยเทียนหยวนส่ายศีรษะส่งเสียงว่า “ศิษย์น้อง ที่นี่มีทิวทัศน์แปลกตา ดูเหมือนจะมีแค่สตรี น่าจะไม่ใช่แผ่นดินใหญ่เทียนหยวน”

มั่วชิงเฉินมองทะเลสีฟ้าครามแวบหนึ่ง แล้วพลันใจเต้น หรือว่ายามที่ห้วงมิติพลังทลาย พวกนางก็มาถึงสิบทวีปบูรพาด้วยความบังเอิญ

“ที่นี่ขึ้นตรงกับที่ใด” มั่วชิงเฉินเอ่ยถามอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าลี่ว์เฉียวเป็นหัวหน้าของสตรีทั้งหมด เมื่อได้ยินกลับส่ายศีรษะอย่างงงงวย “ข้าไม่ทราบ พวกเราเติบโตที่นี่ไม่เคยออกไปไหน รู้เพียงว่าในมหาสมุทรมีเกาะขนาดใหญ่อีกเกาะหนึ่ง มีชื่อเรียกว่าเกาะอู๋ซี่ ที่นั่นมีบุรุษในตำนานเล่าขานอยู่”

ขณะเอ่ย ก็เหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง

ดูแล้วคงถามอะไรจากสตรีเหล่านี้ไม่ได้ มั่วชิงเฉินครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “พาพวกเราไปพบองค์หญิงสาม”

ลี่ว์เฉียวหน้าเปลี่ยนสี แม้ว่าจะหวาดกลัวแต่กลับกัดฟันยืดตัวตรงเอ่ยว่า “ไม่ ไม่ได้! องค์หญิงสามเป็นผู้ที่ฝ่าบาทรักใคร่มากที่สุด หาก หากพวกท่านกล้าทำร้ายองค์หญิงสาม ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยพวกท่านไปแน่!”

มั่วชิงเฉินฉีกยิ้มเบิกบาน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็พาพวกเราไปพบฝ่าบาทของพวกเจ้าเถิด”

สตรีทุกคนพลันตะลึงค้าง

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “ลังเลอะไร เดิมพวกเจ้าก็คิดจะนำสามีของข้าไปถวายให้ฝ่าบาทมิใช่หรือ”

“ศิษย์น้อง…” เยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้วอย่างจนปัญญา จากนั้นก็มองหญิงสาวทุกคนที่กำลังก้มหน้าด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง ชูมือขึ้น ดาบยักษ์เล่มหนึ่งบินออกมา หมุนวนอยู่กลางมหาสมุทรชั่วครู่ก็จมหายไปในมหาสมุทร

ระลอกคลื่นยักษ์ก่อตัวขึ้น ปราณวิญญาณพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า

“ศิษย์พี่ ท่านจะ…”

เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากเอ่ยว่า “ไปพบพวกเขาก็เสียเวลา ไม่สู้ให้เขามาพบพวกเราจะดีกว่า”

การกระทำของเยี่ยเทียนหยวนได้ผลจริงๆ ชั่วครู่ ก็มีเสียงหัวเราะของสตรีดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระดิ่งดัง กรุ๋งกริ๋ง

จากนั้น ก็เห็นหญิงสาวสวมผ้าคลุมสีขาวปรากฏขึ้นกลางอากาศ สองเท้าเปลือยเปล่าคล้ายมีคล้ายไม่มี ขาวเนียนยิ่งกว่าผ้าคลุมสีขาว ข้อเท้าที่เปลือยเปล่าห้อยกระดิ่งอันเล็ก เสียงกระดิ่งอันน่าดึงดูดใจผู้คนก็ดังมาจากสิ่งนี้

สตรีร่อนลงมาตรงข้ามทั้งสองคน ยอดอกเป็นสีแดงท่ามกลางผ้าคลุมสีขาวจึงทำให้มองเห็นได้ชัดเจน งดงามเย้ายวนใจ ดวงตาสดใสดุจสายธารมองมาทางทั้งสองคน โดยเฉพาะยามมองใบหน้าของเยี่ยเทียนหยวนก็ยิ่งมีความรู้สึกอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก

แววตาเช่นนี้มั่วชิงเฉินกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ศิษย์พี่ผู้โง่เขลาของนางมีปฏิกิริยาตอบสนองได้ก็คงเห็นผีแล้ว

เมื่อออกจากห้วงมิติ ในที่สุดอีกาไฟก็หลุดพ้นจากพันธนาการเสียที กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในถุงอสูรวิญญาณพลางเฝ้าดูอย่างรื่นเริง เมื่อใช้เคล็ดวิชาอ่านใจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวแย้งขึ้นว่า “นายท่าน ท่านมั่นใจเกินไปหน่อยกระมัง หากลั่วหยางเจินจวินมีปฏิกิริยาตอบจะเป็นอย่างไร”

มั่วชิงเฉินใช้น้ำเสียงเหมือนกับกำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศเอ่ยขึ้น “อ้อ ถ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองจริงๆ ข้าจะให้สตรีผู้นี้เป็นผีอย่างไม่เกรงใจ…”

อีกาไฟหดคอ เอ่ยพึมพำว่า “นายท่าน ท่านเป็นสตรีที่จิตใจชั่วร้ายที่สุดในตำนานสินะ”

“ผิดแล้ว ข้าเป็นคนที่จริงใจที่สุดต่างหาก ยังมี อู๋เย่ว์ หากเจ้าใช้เคล็ดวิชาอ่านใจข้าอีก ข้าก็จะใช้ความจริงใจนี้ตอบแทนเจ้าอย่างไม่เกรงใจเลย”