ตอนที่ 629-2 มาถึงจงหลาง

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะพูดคุยกับอู๋เย่ว์เสร็จ ก็เห็นหญิงสาวฝั่งตรงข้ามฉีกยิ้มเบิกบาน น้ำเสียงประหนึ่งเสียงเพรียกของวิหค “สหายทั้งสองมาจากแดนไกล ข้าไม่ได้ไปต้อนรับ ช่างเป็นการเสียมารยาทเสียจริง เรียนเชิญสหายทั้งสองมาที่วังของข้าเป็นอย่างไร”

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณความหวังดีของสหาย แต่ไม่จำเป็นหรอก พวกเราสองสามีภรรยาแค่บังเอิญเข้ามาที่นี่ ยังมีธุระที่ต้องทำ ขอเรียนถามสหายสักหน่อย ที่นี่คือที่ใด แถวนี้มีสภาพภูมิประเทศเป็นอย่างไร มีแผนที่หรือไม่”

เมื่อได้ยินคำพูดของมั่วชิงเฉิน หว่างคิ้วของหญิงสาวก็มีลำแสงประหลาดเปล่งแสงวาววับแล้วหายไป พลันกลับมามีรอยยิ้มและเอ่ยเรียนเชิญอีกครั้ง

จนถึงตอนที่ใบหน้าของพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองทั้งสองมีสีหน้าหมดความอดทนถึงได้เอ่ยว่า “ในเมื่อสหายทั้งสองดึงดันที่จะไป เช่นนั้นแผนที่ม้วนนี้ ก็ถือว่าเป็นน้ำใจของข้าก็แล้วกัน”

เอ่ยจบ แผนที่ม้วนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยมาทางพวกมั่วชิงเฉินสองคน

มั่วชิงเฉินรับเอาไว้แล้วกวาดตามองแวบหนึ่งพลางส่งให้เยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ท่านดูสิ”

บนแผนที่เป็นแผ่นดินใหญ่แห่งหนึ่งที่มีมหาสมุทรล้อมรอบ มีสัญลักษณ์คำเขียนไว้ว่า ‘จงหลาง’ ส่วนลึกสุดของมหาสมุทรทางทิศตะวันออกมีเกาะเรียงรายกันอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นมีสัญลักษณ์ของเกาะอี่เซ่อและยังมีเกาะอู๋ซี่ที่ลี่ว์เฉียวเอ่ยถึงอยู่ไกลๆ จากระยะทางก็อยู่ใกล้กับเกาะแห่งนี้มากที่สุด

เมื่อเห็นคำว่า ‘จงหลาง’ มั่วชิงเฉินก็แน่ใจ เอ่ยขอบคุณอย่างพอเป็นพิธีกับสตรี แล้วหมายจะจากไป

“ช้าก่อนสหายทั้งสอง”

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองหยุดลง

หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีนามว่าเจาหนี่ว์ ไม่ทราบว่าสหายทั้งสองมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร”

เห็นทั้งสองมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก็รีบร้อนเอ่ยว่า “ข้ากำลังจะไปเกาะอู๋ซี่ หากเป็นทางผ่านของสหายทั้งสองก็มิสู้ไปด้วยกัน ข้าคุ้นเคยกับที่นี่มาก”

“ไม่จำเป็นหรอก” เยี่ยเทียนหยวนปฏิเสธตรงๆ ดึงแขนมั่วชิงเฉินหมายจะจากไป

เจาหนี่ว์พลันก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ยว่า “สหายทั้งสองโปรดฟังข้าก่อน เกาะอี่เซ่อของข้าเป็นเกาะไกลปืนเที่ยง แทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก มีเพียงข้าและคนในวังระดับก่อแก่นปราณขึ้นไปถึงจะออกจากเกาะได้ ส่วนเกาะอู๋ซี่นั้นเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด เรื่องอยู่ใกล้กับเกาะอี่เซ่อนั้นไม่ต้องพูดถึง ยังมีค่ายกลส่งตัวระยะไกล เกาะที่เหลือก็อยู่ห่างไกลมาก ไม่ว่าทั้งสองท่านจะไปที่ใดหากใช้ค่ายกลส่งตัวของเกาะอู๋ซี่ ก็เร็วกว่าบินไปเองมากนัก”

“นายท่าน สตรีผู้นี้มีเจตนาไม่ดี! ที่นางคิดอยู่ในใจก็คือ บนเกาะอู๋ซี่มีคนรักเก่าของนาง เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิต พอพวกท่านขึ้นไปบนเกาะอู๋ซี่ นางก็จะให้คนรักเก่าช่วยจัดการลั่วหยางเจินจวิน!” อู๋เย่ว์เอ่ยเสียงแหลมอย่างโกรธขึ้งอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ

ให้คนรักเก่าช่วยจับผู้ชายคนอื่นให้อย่างนั้นหรือ

หากไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง มั่วชิงเฉินคงต้องนับถือความกล้าหาญของสตรีผู้นี้

“ขอบพระคุณสหายที่เตือน” มั่วชิงเฉินเอ่ยจบ ก็จากไปพร้อมกับเยี่ยเทียนหยวน

เจาหนี่ว์เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นส่งยันต์สื่อสารออกไป แล้วตนก็จากไปอย่างเงียบๆ

บินอยู่เหนือมหาสมุทร มั่วชิงเฉินเอาแต่จ้องเยี่ยเทียนหยวนเขม็ง

เยี่ยเทียนหยวนถูกนางมองจนขนลุก ก็เอ่ยถามว่า “ศิษย์น้อง เกิดอะไรขึ้นหรือ”

มั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ศิษย์พี่ เหตุใดยามที่พวกเราไปด้วยกัน จะต้องมีสตรีผู้บำเพ็ญเพียรมาสนใจท่านด้วย”

เยี่ยเทียนหยวนมีสีหน้ายุ่งเหยิง “ข้าไปคนเดียว มีมากกว่านี้…”

มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าข้าจะเห็นใจท่านหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนพลันตกตะลึง จากนั้นก็มีสีหน้าดูไม่ได้ “ความหมายของศิษย์น้องคือรังเกียจหรือ”

มองท่าทางตกใจของเขา มั่วชิงเฉินก็ยิ่งเจ็บปวดใจ หลุบตาลงหันหน้าหนีแล้วเอ่ยว่า “ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนัก”

เยี่ยเทียนหยวนเข้ามาประชิด กุมมือของมั่วชิงเฉินเอาไว้

มั่วชิงเฉินถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เจาหนี่ว์ผู้นั้น คิดจะเชิญผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตมาต่อกรกับพวกเรา”

เอ่ยคำพูดของอู๋เย่ว์ออกมารอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ เกรงว่าพวกเราคงไปเกาะอู๋ซี่นี่ไม่ได้แล้ว”

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉินด้วยแววตาขอโทษ “ศิษย์น้อง ล้วนเป็นเพราะหน้าตาของข้าที่ดึงดูดปัญหามามากมายนัก”

บุรุษผู้บำเพ็ญเพียรร่างหยางบริสุทธิ์ ต่อให้สามารถปิดบังหน้าตาได้ ก็จะปล่อยพลังดึงดูดที่พิเศษออกมาอยู่ดี กล่าวได้ว่ามีแรงดึงดูดทางเพศโดยธรรมชาติ

นี่จึงเป็นสาเหตุที่เหตุใดต้วนชิงเฉินรูปโฉมสู้มั่วชิงเฉินไม่ได้ แต่กลับได้รับการต้อนรับมากกว่านาง

มั่วชิงเฉินรู้ว่าเยี่ยเทียนหยวนกำลังลำบากใจ จึงกะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด ในเมื่อได้ข้อดีของหน้าตาของศิษย์พี่มา ก็ต้องรบกวนข้าที่ต้องทนแล้ว ความสมดุลของสวรรค์หนอ ประโยชน์อะไรก็ได้รับหมดแล้ว จะถูกฟ้าผ่าเอาได้”

“ศิษย์น้อง!” เยี่ยเทียนหยวนหน้าแดงอย่างเคอะเขิน

มั่วชิงเฉินมองไปยังจุดที่ไกลออกไปแล้วถอนใจ “ศิษย์พี่ ไม่ทราบว่าพวกคนอื่นไปตกอยู่ที่ไหน จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“พวกเขาไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหรอก…” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็พบว่าแววตาของมั่วชิงเฉินแปลกประหลาดไปเล็กน้อย จึงรีบหยุดพูด

“ศิษย์พี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร” มั่วชิงเฉินลูบแขนของเยี่ยเทียนหยวน หรี่ตาลงขณะเอ่ย

“ไม่ ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าพวกเขาล้วนโดดเด่น จะต้องดูแลตัวเองได้แน่”

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ศิษย์พี่ เหตุใดท่านถึงได้รับบาดเจ็บหนักล่ะ”

เยี่ยเทียนหยวนพลันเงียบกริบ

มั่วชิงเฉินมองเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลายกลับได้รับบาดเจ็บหนัก แต่กลับเอ่ยอย่างมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้น ท่านก็บอกเหตุผลดีๆ ให้ข้าสักข้อเถิด”

แววตาที่มองมั่วชิงเฉินเปล่งประกาย ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็ปิดบังต่อไปไม่ได้จึงเอ่ยว่า “ยามนั้น ข้าใช้คันฉ่องเคลื่อนย้ายฟ้าดิน…”

“คันฉ่องเคลื่อนย้ายฟ้าดิน?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว

“สามารถย้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บไปหาสมบัติในร่างของอีกคนได้…” เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

“เยี่ยเทียนหยวน!” มั่วชิงเฉินทั้งโมโหทั้งโกรธ ยื่นมือออกไปบิดหูของเยี่ยเทียนหยวน “ท่านบอกมาเดี๋ยวนี้นะ ตกลงย้ายคนเจ็บไปกี่คน”

เยี่ยเทียนหยวนไม่กล้าร้องว่าเจ็บ เอ่ยตามความจริงว่า “ไม่กี่คน มีพี่เก้า พี่สิบ แล้วก็ตูตู”

เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของมั่วชิงเฉิน ก็รีบร้อนดึงแขนของนาง เอ่ยอธิบายว่า “หากเกิดเรื่องกับพวกนาง เจ้าคงเจ็บปวดใจ…”

มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งถึงได้มองเยี่ยเทียนหยวนแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นท่านจึงทำเรื่องโง่ๆ เช่นนี้หรือ เช่นนั้นหากท่านเป็นอะไรไปเล่า”

เห็นเยี่ยเทียนหยวนไร้ซึ่งคำพูด มั่วชิงเฉินก็คว้าแขนของเขา กัดไปแรงๆ และไม่สนใจเขาอีก พลางบินตรงไปข้างหน้า

เยี่ยเทียนหยวนไล่ตามมา

“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าโกรธไปเลย ข้ารู้กำลังตนเองดี”

เนิ่นนานถึงได้ได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านรู้เพียงว่าหากพี่เก้าและคนอื่นได้รับบาดเจ็บข้าจะเสียใจ แต่กลับไม่คิดว่าหากข้าสูญเสียท่านไปจะเป็นอย่างไรหรือ หรือคิดว่าข้าเข้มแข็งพอ”

มองหยาดน้ำตาของมั่วชิงเฉิน เยี่ยเทียนหยวนก็รู้สึกใจสั่น มองนางอย่างโง่งม

มั่วชิงเฉินเอ่ยโดยไม่หันหน้ากลับมา “บางทีวันข้างหน้าท่านอาจจะเป็นคนจัดการเรื่องเหล่านี้เองอีกครา พวกเราล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ท่านกลับรับการบาดเจ็บแทนญาติของข้าอย่างเงียบๆ แม้กระทั่งไม่คิดจะให้ข้ารู้ นี่จะไม่ทำให้ข้าเสียใจได้อย่างไร”

เอ่ยไปพลางหันหน้ามามองเยี่ยเทียนหยวนด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ ไม่ว่าจะเป็นญาติของท่าน หรือว่าญาติของข้า หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราก็ต้องแบกรับไปพร้อมกัน ไม่ใช่ให้ท่านมาแบกรับทั้งหมดแทนข้า เช่นนั้นพวกเราถึงได้เดินไปได้ไกล ท่านเข้าใจหรือไม่”

‘ท่านเข้าใจหรือไม่’ คำนี้ทำให้เยี่ยเทียนหยวนใจสั่น คว้าแขนของมั่วชิงเฉินไว้แน่น “ข้าล้วนเข้าใจ แต่แค่…”

มั่วชิงเฉินตัดบทเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ข้ารู้ความคิดของท่าน หากท่านทำไม่ได้ เช่นนั้นก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรถ้าท่านเป็นอะไรไป ข้าก็จะไปพร้อมๆ กับท่าน และไม่กลัวจะเสียใจ”

ความรู้สึกลึกซึ้งย่อมไม่ยั่งยืน

สำหรับคนธรรมดาแล้วอาจจะไม่เข้าใจวลีนี้มากนัก แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วกลับเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก

คู่รักบำเพ็ญเพียรที่เป็นห่วงอีกฝ่ายมากเกินไป เมื่อประสบกับอันตราย กลับไม่เข้าใจสัญญาลับกันเท่ากับสหายสนิท เพราะว่าชั่วพริบตาสิ่งที่สหายสนิทนึกถึงคือสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด แต่สิ่งที่คู่รักนึกถึงกลับเป็นอีกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้ ยามที่ไปหาประสบการณ์ร่วมกัน คู่รักที่รักกันมากเกินไปก็จะเกิดเรื่องได้ง่าย

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ มั่วชิงเฉินก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่แค่นางจำต้องให้เยี่ยเทียนหยวนเข้าใจตนเองสักหน่อย เช่นนั้นนางถึงจะวางใจได้

เยี่ยเทียนหยวนมองมั่วชิงเฉิน แล้วพยักหน้า “ศิษย์น้อง ข้าทราบแล้ว วันหน้าจะไม่มีทางทำให้เจ้ากังวลใจอีก”

มั่วชิงเฉินรู้สึกผ่อนคลายลง แล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าพวกเราอยู่ที่นั่นมากี่ปีแล้ว”

ผู้บำเพ็ญเพียรมีความรู้สึกอ่อนไหวต่อเวลามาก ปกติแล้วการกักตนหรือว่าหมดสติไป ล้วนต้องตระหนักว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่เวลาในห้วงมิตินั้นไม่เหมือนกับภายนอก จึงรู้สึกว่ายุ่งยากแล้ว

เยี่ยเทียนหยวนหยิบสมบัติขนาดเล็กรูปทรงจานทรงกลมออกมาเหลือบมองแวบหนึ่ง “ด้านในร้อยปี ด้านนอกผ่านไปสามสิบปี อืม ไม่แตกต่างกันมากนัก”

มั่วชิงเฉินกลับผ่อนคลายลง แล้วหัวเราะเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี ชดเชยเวลาที่พวกเราสูญเปล่าไปในดินแดนว่างเปล่า ยังได้อะไรมาบ้าง หากมีวาสนาฝืนลิขิตฟ้าเช่นนี้มากเกินไป กลับจะยิ่งไม่งามแล้ว”

ระดับพลังยุทธ์อย่างพวกนาง โอกาสดีๆ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาอยู่แล้ว หลักการที่ว่าทำเกินความพอดีจะไม่ดี ย่อมไม่เคยผิดพลาด

เมื่อขบคิดว่าหากหลัวอวี้เฉิงและคนอื่นตกอยู่ในแดนแห่งนี้ ก็อาจจะไปที่จงหลางมากที่สุด ทั้งสองจึงตัดสินใจจะไปรอพวกเขาที่จงหลาง

บินไปข้างหน้าช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในมหาสมุทรพลันมีสัญลักษณ์ชี้ไปทางเกาะอู๋ซี่ปรากฏขึ้น ทั้งสองดูแผนที่ ก็บินไปอีกทาง

“ศิษย์พี่ เจาหนี่ว์ตามพวกเรามาตลอดเลย” จิตสัมผัสของมั่วชิงเฉินนั้นช่างทำให้ผู้คนตกตะลึง สัมผัสได้ถึงเจาหนี่ว์ที่ไล่ตามพวกเขามาอยู่ไกลๆ ก็ถ่ายทอดเสียงมาเงียบๆ

เยี่ยเทียนหยวนก็มีสมบัติอาคมที่สามารถติดตามร่องรอยของผู้คนได้เช่นนั้นจึงตอบกลับว่า “จัดการนางเลยเป็นอย่างไร”

มั่วชิงเฉินส่ายศีรษะน้อยๆ “อย่า ในเมื่อนางตามมา มิสู้ใช้แผนซ้อนแผน”

จากนั้นก็เอ่ยแบบออกเสียงว่า “ศิษย์พี่ ข้าเคยได้ยินมาว่าเกาะพัวหลางนี้น่าสนใจอยู่บ้าง มิสู้ไปกันเถิด”

“ก็ดี”

ทั้งสองเอ่ยจบ ก็เพิ่มความเร็วขึ้นแล้วบินไปยังจุดที่ไกลออกไป

เจาหนี่ว์เห็นเช่นนั้ันก็ไม่ได้ไล่ตามไป แต่กลับตรงไปยังเกาะอู๋ซี่ เพื่อไปพบประมุขของเกาะอู๋ซี่

ประมุขเกาะอู๋ซี่เป็นสหายเก่าของนาง ทั้งสองเคยมีความสัมพันธ์แนบแน่นกันระยะหนึ่ง

เป็นเพราะยามนั้นเจาหนี่ว์มอบร่างกายบริสุทธิ์ให้ประมุขผู้นี้ จึงนับว่าจริงใจอย่างมาก ประมุขผู้นี้เคยอยากแต่งงานกับนาง

แต่น่าเสียดาย ตามกฎของเกาะอี่เซ่อแล้ว ราชินีไม่สามารถออกเรือนได้ มีแต่ต้องแต่งสามีมาเป็นคนคอยปรนนิบัติเท่านั้น แน่นอนว่าประมุขผู้นี้จึงไม่ทำ ทั้งสองจึงต้องแยกจากกัน

ยามนี้เมื่อเจาหนี่ว์ขอให้ประมุขของเกาะช่วยเหลือ เขาจึงไม่ปฏิเสธ ทั้งสองจึงใช้ค่ายกลส่งตัวไปยังเกาะพัวหลาง คิดจะรอจับกระต่ายใต้ต้นไม้

แต่กลับไม่รู้ว่ามั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนนั้นกินโอสถเปลี่ยนโฉม เปลี่ยนหน้าตาแอบเข้าไปในเกาะอู๋ซี่อย่างเงียบเชียบ ปะปนกับฝูงชนผู้บำเพ็ญเพียรเข้าไปจ่ายศิลาวิญญาณให้กับค่ายกลส่งตัว แล้วรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปอย่างไม่หยุดพัก ไม่หยุดอยู่ที่เกาะใดๆ ที่มีค่ายกลส่งตัว ย้ายไปมาไม่หยุด ทว่าครึ่งปีก็มาเหยียบจงหลาง

ส่วนเจาหนี่ว์ในยามนี้ก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาป้องกันตัวอย่างไร จึงเอาแต่รออย่างโง่เขลาอยู่ที่เกาะพัวหลาง