ตอนที่ 109 อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของนาง

ข้าจับปีศาจสาวได้ตัวหนึ่ง 天上掉下个美娇娘

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งซึ่งเมื่อครู่ยังหลับสนิทอยู่ลืมตาขึ้นมองเขาด้วยความงุนงง

ดวงตาของหญิงสาวที่เพิ่งตื่นดูเหมือนสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกในยามเช้า ดูอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยเสน่ห์น่าหลงใหล หน้าผากขาวสะอาดถูกปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำสนิท นางกำลังเงยหน้าขึ้นมองสำรวจเขาด้วยสายตางุนงง

เขานิ่งงัน จะหลบก็ไม่ใช่ ไม่หลบก็ไม่ใช่

หลายวันมานี้ เขานอนไม่ค่อยหลับ

ยิ่งได้เห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของนาง ได้เห็นนางโผบินไปยังสถานที่ที่คนทั่วไปไม่มีวันไปถึงเหมือนผีเสื้อที่กำลังสยายปีก ในใจเขาก็เริ่มตื่นตระหนก

นึกถึงครั้งแรกที่นางหนีไปจากเขา เขาแบกนางกลับไปที่เขาเว่ยอวิ๋น ตอนที่ไปถึงปากทางเข้าภูเขา นางยืนอยู่บนก้อนหินสูง สายลมพัดแขนเสื้อของนางปลิวสะบัดทำให้ดูเหมือนมีปีกงอกออกมาจากแผ่นหลัง

อยู่ด้วยกันมานาน เดิมเขาคิดว่านางเป็นคนธรรมดา มีเลือดเนื้อเหมือนกันกับเขา พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต

แต่ตอนนี้พอย้อนกลับไปคิด เขากลับรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแค่ความเพ้อฝันของเขาคนเดียวเท่านั้น

ครั้งนั้น ทำไมจู่ๆ นางถึงได้จากเขาไป?

เห็นชัดๆ ว่านางเองก็ไม่อยากจากไป แต่จู่ๆ นางก็จากไปถึงสามปีกว่า นับแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย

ตอนนั้นเขากับคนในหมู่บ้านช่วยกันค้นหาจนทั่วเขาเว่ยอวิ๋น ตอนลงไปค้นหาที่ปากทางขึ้นเขา เขาสอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นอย่างละเอียด แต่ไม่มีใครเห็นนางเลย ราวกับว่าอยู่ดีๆ นางก็มีปีกงอกออกมาแล้วบินหนีไปจากเขาเว่ยอวิ๋นเสียเฉยๆ

ฟังจากที่นางพูด เห็นได้ชัดว่านางเองก็ไม่เต็มใจจากไป แต่มีความจำเป็นบางอย่าง

ถ้าอย่างนั้น หากมีวันไหนหรือคืนไหนที่เขาไม่ทันระวัง นางจะจากไปเงียบๆ เหมือนครั้งก่อนอีกหรือเปล่า?

 

ความคิดนั้นเปรียบเสมือนหนอนตัวเล็กๆ ที่เติบโตขึ้นในร่างของเขาแล้วค่อยๆ กัดกินหัวใจของเขาเงียบๆ ทำให้เขานอนไม่หลับ หากหลับไปเมื่อไหร่ ภาพเลือนรางก็จะปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกครั้ง

ต่อมาเขาก็ไม่คิดจะนอนอีก เขาแค่อยากจะเฝ้ามองนางนอนหลับอยู่ข้างกายเขาอย่างมีความสุขเท่านั้น

แน่นอน เขาใช่ว่าจะนอนไม่หลับอยู่ตลอดเวลา พอฟ้าใกล้จะสาง รู้สึกง่วงมากๆ เขาก็มักจะผล็อยหลับไปครู่หนึ่ง หรือบางครั้งออกแรงกอดนางตอนกลางคืนหลายรอบ พอเหนื่อยมากๆ เขาก็จะงีบหลับไปสักครู่

นานวันเข้าเขาก็ผอมลงมาก แต่ยังดีที่เขามีสุขภาพแข็งแรงมาตลอด จึงไม่เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาใส่ใจ

คืนนี้เขากำลังกอดนางอยู่ จู่ๆ เห็นนางลืมตาขึ้นมามองเขาด้วยสายตางุนงง เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย

แต่ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็ตั้งตัวได้ เขายกมือขึ้นลูบผมนุ่มลื่นของนางเบาๆ พลางกล่าวเสียงแหบพร่า “อยู่ดีๆ ทำไมถึงตื่นเล่า? เมื่อครู่ข้ากระหายน้ำก็เลยลุกไปดื่มชา กำลังจะนอนต่อพอดี รบกวนเจ้าใช่ไหม”

กู้จิ้งเพิ่งตื่น สมองยังมึนงงอยู่ ในใจก็นึกสงสัยอยู่บ้าง พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เธอก็หันไปมองโต๊ะช้าๆ เห็นบนโต๊ะไม่มีกาน้ำชาอยู่ก็นึกรู้ว่าเขาต้องไม่ได้ดื่มน้ำแน่

“เอ่อ…เมื่อครู่ข้าออกไปดื่มข้างนอก” เขากล่าวเสริม

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”

กู้จิ้งยังคงรู้สึกไม่ถูกต้องนัก แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีอะไรบางอย่างที่ไม่อยากบอกเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ถามอะไร กู้จิ้งกลิ้งตัวขึ้นไปนั่งบนตัวเขาแล้วยื่นแขนเรียวไปโอบรอบคอเขาเอาไว้

“ไม่สนแล้ว เรานอนต่อกันเถอะ”

“ได้”

เขาย่อมเข้าใจความหมายคำว่า ‘นอน’ ของเธอ บังเอิญเขาเองก็นอนไม่หลับ ซ้ำยังกำลังต้องการ ในเมื่อเธอต้องการ เขาย่อมต้องทำให้เธอสมปรารถนา

หลังพายุสงบ เซียวเถี่ยเฟิงก็ผล็อยหลับไปโดยที่มือของเขายังคงโอบเอวบางของกู้จิ้งเอาไว้แน่น

แต่กู้จิ้งกลับนอนไม่หลับ เธอย้อนกลับไปคิดถึงภาพเหตุการณ์ในตอนที่เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอตื่นขึ้นมา

เขาดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งตื่นสักนิด ดวงตาของเขาไม่มีแววง่วงงุน ดูไม่เหมือนคนที่ตื่นขึ้นมาดื่มน้ำแล้วกลับไปนอนต่อแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำตอนที่เธอลืมตาขึ้นมองเขา ดวงตาของเขาก็เหมือนจะมีแววลนลานปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง

คิดไปคิดมา ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในสมอง หรือว่า…เขาจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ?

 

คืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบสงบ

พอกู้จิ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนวานอีก มีอะไรให้ทำก็ทำไป วันนี้มีคนไข้มาอีกสามคน อาการของทั้งสามคนล้วนเป็นแค่โรคหวัดธรรมดาๆ เธอตรวจดูอาการอยู่ครู่หนึ่งก็เขียนเทียบยาให้ไป

จริงๆ แล้วเทียบยาที่เธอเขียนให้เป็นเทียบยาที่เห็นได้ทั่วไปในสมัยโบราณ ไม่มีอะไรแปลกพิสดารสักนิด แต่ไม่มีทางเลือก เดี๋ยวนี้มีคนไข้มากมายที่เชื่อถือเธอเท่านั้น เพราะคิดว่ามีแต่เธอที่สามารถรักษาโรคได้

ด้วยเหตุนี้ นอกจวนจึงมีคนมาเข้าแถวตลอดทั้งวัน

แน่นอน กู้จิ้งเองก็กลัวว่าจะมีคนป่วยเป็นโรคที่หมอสมัยโบราณรักษาไม่ได้แล้วตัวเองจะมองข้ามไป เธอจึงให้เซียวเถี่ยเฟิงส่งองครักษ์คนหนึ่งออกไปคอยดูแลความเรียบร้อยที่ด้านนอกแล้วคอยสังเกตดูผู้ป่วยที่มีอาการหนัก จะได้ให้สิทธิ์พวกเขาเข้ามารักษาก่อน

จัดการเรื่องของผู้ป่วยทั้งสามเสร็จเรียบร้อย กู้จิ้งเดินเล่นอยู่ในจวนรอบหนึ่ง รอจนถึงเวลาอาหารถึงได้เดินไปที่ห้องหนังสือของเซียวเถี่ยเฟิง พอเข้าไปก็พบว่าเขากำลังอ่านหนังสืออยู่

จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องที่ทำให้กู้จิ้งประหลาดใจมาก

คนเราจะมองแต่รูปโฉมภายนอกไม่ได้ เซียวเถี่ยเฟิงดูเผินๆ เหมือนผู้ชายชาวเขาหยาบกร้าน แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่มีความรู้ แม้จะไม่ได้ล้ำลึกมากแต่ก็อ่านออกเขียนได้ พอถามดูเธอถึงได้รู้ว่า ที่แท้บนเขาเว่ยอวิ๋นเคยมีโรงเรียน เป็นโรงเรียนที่หัวหน้าพรานกับตระกูลใหญ่หลายตระกูลบนภูเขาช่วยกันออกทุนสร้าง

บิดาของเซียวเถี่ยเฟิงกับจ้าวฝูชางล้วนเป็นวีรบุรุษของเขาเว่ยอวิ๋น พวกเขามีเงินอยู่ในมือ ดังนั้นจึงช่วยกันลงทุนสร้างโรงเรียนขึ้นแล้วเชิญซิ่วไฉผู้หนึ่งมาเป็นอาจารย์

เซียวเถี่ยเฟิง หนิวปาจิน พวกจ้าวจิ้งเทียน รวมไปถึงท่านหมอเหลิ่งต่างก็จบการศึกษาจากโรงเรียนนี้

แต่เสียดายที่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนก็เปลี่ยนไป หลังจากบิดาของเซียวเถี่ยเฟิงเสียชีวิต โรงเรียนก็ปิดตัวลง

“วันหลังพอเรากลับไปเขาเว่ยอวิ๋น เราก็เปิดโรงเรียนกันใหม่ดีไหม?” กู้จิ้งยังอยากจะทำอะไรบางอย่างเพื่อเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายบนเขาเว่ยอวิ๋น ยกระดับการศึกษาของพวกเขา เปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอให้ดีขึ้น ไม่แน่ว่าเพื่อนๆ ของเธอในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าอาจจะฉลาดขึ้นบ้างก็ได้

“เรื่องนี้ง่ายมาก รอให้เรากลับไปเมื่อไหร่เราจะเริ่มสร้างโรงเรียนกัน” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอของกู้จิ้งเลยสักครั้ง

กู้จิ้งปรึกษาหารือกับเซียวเถี่ยเฟิงอย่างกระตือรือร้น เดี๋ยวก็ก้มลงมองหนังสือที่เซียวเถี่ยเฟิงกำลังอ่าน เดี๋ยวก็เข้าไปนั่งเบียดเขา ไม่นานนักก็ถึงเวลารับประทานอาหารเย็น

อาหารเย็นมีหลากหลายมาก

จริงๆ แล้วนับแต่เธอได้กลับมาพบกับเซียวเถี่ยเฟิง อาหารการกินของเธอก็อยู่ในขั้นที่เรียกได้ว่าฟุ่มเฟือยมาก

“เมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบดื่มชา ทำไมวันนี้ถึงได้ดื่มมากนักเล่า?” เซียวเถี่ยเฟิงเห็นกู้จิ้งดื่มชาถ้วยแล้วถ้วยเล่าก็อดถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้

“วันนี้คอแห้งนิดหน่อย อาจเป็นเพราะมีเหงื่อออกมากก็ได้” ถึงตอนนี้กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว แต่กู้จิ้งก็ยังพูดโกหกได้เต็มปากเต็มคำ

“ระวังดื่มน้ำมากไป ตอนกลางคืนจะนอนหลับไม่สนิทเล่า” เซียวเถี่ยเฟิงเตือน

“ฉันรู้ ฉันเป็นหมอย่อมรู้ดี ไม่เป็นไร ดื่มแค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก”

ปากกู้จิ้งพูดว่าไม่เป็นไร แต่ในใจย่อมรู้ดีว่าสภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร

แค่ดื่มกาแฟสำเร็จรูปที่วางขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตเธอก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดื่มชารวดเดียวมากมายขนาดนี้ ตอนกลางคืนต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน

พอถึงเวลาเข้านอนในตอนกลางคืน เธอออกกำลังกับเซียวเถี่ยเฟิงรอบหนึ่ง เสร็จแล้วก็แสร้งทำเป็นผล็อยหลับไป

ลมหายใจราบเรียบเป็นจังหวะ ร่างกายผ่อนคลาย เป็นการนอนหลับที่สมบูรณ์แบบมาก

หลังจากแสร้งนอนหลับ เธอก็เริ่มจับสังเกตการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มข้างกาย

ตอนแรกเซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกแล้วพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางเธอ กู้จิ้งสัมผัสได้ว่าสายตาของเขากำลังกวาดมองร่างของเธออย่างละเอียด

เธอไม่กล้าขยับ ไม่กล้าหายใจผิดจังหวะ เพราะกลัวเซียวเถี่ยเฟิงจะจับได้ว่าเธอแกล้งหลับ

ลำบากไม่น้อยเลย

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเซียวเถี่ยเฟิงก็ไม่มองเธออีก แต่เปลี่ยนมาแนบแก้มกับเส้นผมของเธอแล้วกอดเธอเอาไว้แทน

กู้จิ้งแอบถอนใจโล่งอก เธอแสร้งทำเป็นหลับสนิทพลางซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเซียวเถี่ยเฟิง

ผ่านไปอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม เซียวเถี่ยเฟิงก็ขยับตัวแล้วยกมือขึ้นกอดเธอแน่นขึ้น มือหยาบลูบแก้มของเธอเบาๆ

มือของผู้ชาย มือที่แสนเซ็กซี่ ทำเอากู้จิ้งแทบจะทนไม่ไหว

แต่สุดท้ายเธอก็ควบคุมตัวเองได้

เธออยากรู้ว่าเซียวเถี่ยเฟิงเป็นอะไรไปกันแน่ เขาไม่นอนเลยงั้นหรือ?

ทนทรมานอยู่เช่นนี้อีกประมาณสองถึงสามชั่วยาม น่าจะถึงเวลาตีสองตีสามแล้ว แต่ฟังจากเสียงลมหายใจของเซียวเถี่ยเฟิง เธอก็พอจะคาดเดาได้ว่าเขายังคงไม่ได้นอน เขายังคงโอบร่างเธอเอาไว้หลวมๆ เหมือนเดิม

ถึงตอนนี้ แม้จะดื่มชาไปมากมาย กู้จิ้งก็เริ่มง่วงขึ้นมา แต่เธอก็ยังฝืนทน เธอต้องทนให้ได้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเซียวเถี่ยเฟิงคิดจะนอนเมื่อไหร่กันแน่?