หรือว่า เขาไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน?
นึกถึงคืนนั้นที่เธอบังเอิญตื่นขึ้นมา หรือว่าระยะนี้เขาจะนอนไม่หลับ เขาถึงได้ผอมลงเรื่อยๆ?
แต่หากแค่นอนไม่หลับ ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอ เธอจะได้เขียนเทียบยาช่วยให้เขานอนหลับสบายขึ้น
มีอะไรที่บอกเธอไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
ระหว่างที่กู้จิ้งกำลังคิดเรื่อยเปื่อยนั้นเอง เซียวเถี่ยเฟิงก็ขยับตัวแล้วก้มศีรษะลงมาอีก
กู้จิ้งรับรู้ได้ว่ามีลมหายใจร้อนผ่าวขยับเข้ามาใกล้ จากนั้นอะไรบางอย่างที่อุ่นร้อนก็สัมผัสกับหน้าผากของเธอ
น่าจะเป็น…ริมฝีปากของเขา
ยามค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วง รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงแมลงที่นอกหน้าต่างดังขึ้นเป็นพักๆ ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาสัมผัสกับหน้าผากของเธอเบาๆ เขากำลังแอบจูบเธอ
ชั่ววินาทีที่ริมฝีปากของเขาเคลื่อนห่างออกไป เธอเหมือนจะได้ยินเสียงเขาพึมพำเบาๆ
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ อย่าจากข้าไป… อยู่กับข้าไปตลอดชีวิต…”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนล้าจนปัญญา ซ้ำยังแฝงด้วยความหวาดกลัว
ตอนแรกกู้จิ้งยังไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร รอจนกระทั่งเสียงนั้นเข้าสู่รูหู ผ่านเข้าไปในสมอง หลังจากสมองค่อยๆ วิเคราะห์ เธอถึงได้ค่อยๆ ตระหนักถึงความหมายของมัน
เขากำลังกลัว กลัวว่าเธอจะจากไป?
กลัวจนทำให้เขานอนไม่หลับในตอนกลางคืน?
แต่ทำไมเขาถึงไม่พูด ตอนกลางวันเขาก็ดูปกติดี ไม่มีพิรุธอะไรสักนิดไม่ใช่หรือ?
ในตอนนั้นเอง เซียวเถี่ยเฟิงกุมมือของเธอเอาไว้เบาๆ พลางพึมพำว่า “ข้าอยากให้เจ้าอยู่กับข้าไปชั่วชีวิต ไม่จากไปไหนตลอดกาล… พรุ่งนี้เจ้าจะจากข้าไปอีกหรือเปล่า?”
“แค่หลับตาลง ข้าก็ฝันเห็นเจ้าหายไป ไม่มีเจ้าอีกแล้ว…”
เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
กู้จิ้งอยู่กับเซียวเถี่ยเฟิงมานานขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่หนักแน่นมั่นคง ไม่ว่าเผชิญกับปัญหาอะไรก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ไม่มีอะไรทำให้เขายอมแพ้ได้ทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ เขากลับทำอะไรไม่ถูกราวกับเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่พยายามพร่ำวิงวอนขอร้องไม่ให้เธอจากเขาไป
เธอคิดมาตลอดว่าเรื่องที่เธอจากไปในครั้งนั้น เป็นอดีตไปแล้ว
เธอกลับมาแล้ว พวกเขายังคงอยู่ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วไม่ใช่หรือ?
เซียวเถี่ยเฟิงไม่เคยถาม เธอเองก็ไม่เคยพูด เพราะคิดว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้อยากรู้เหตุผลสักเท่าไหร่ สิ่งที่เขาอยากรู้คงมีเพียงแค่เธอไม่ได้ตั้งใจจากไป รู้ว่าในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือเธอจะอยู่กับเขา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
แต่ตอนนี้ เมื่อได้ฟังเสียงพึมพำของเขา รับรู้ถึงความหวาดกลัวในน้ำเสียงของเขา นึกถึงเรื่องที่เขานอนไม่หลับตลอดหลายวันที่ผ่านมา เธอก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงหัวใจ เจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก
ทำไมเธอถึงได้สะเพร่า มองข้ามความผิดปกติในช่วงหลายวันนี้ของเขาไปได้นะ?
ความเจ็บปวดและความสิ้นหวังแบบไหนกันที่ทำให้ชายผู้เข้มแข็งเช่นเขานอนไม่หลับในค่ำคืนที่เงียบสงัด ทำให้เขากุมมือเธอเอาไว้คืนแล้วคืนเล่า ทำให้เขาต้องพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นวิงวอนขอร้องเช่นนี้
มือใหญ่แข็งแรงทั้งคู่ลูบผ่านหางตาของเธอเบาๆ ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงน้ำตาซึ่งซึมออกมาจากหางตา
มือคู่นั้นแข็งค้างอยู่กับที่
ลมหายใจร้อนผ่าวหยุดชะงัก
ชั่วพริบตานั้น เสียงแมลงร้องที่ด้านนอกเหมือนจะเลือนหายไป
โลกนี้เหลือเพียงแค่เขากับเธอ ลมหายใจที่แทบจะหยุดนิ่ง รวมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ?” ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ต้องส่งเสียงเรียกเธอเบาๆ เสียงนั้นแหบพร่าอ่อนโยน ซ้ำยังเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“พี่ล่ำ” เธอลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งอยู่ในความมืดผ่านม่านน้ำตา
น้ำตาที่คลอเต็มดวงตาทำให้ภาพตรงหน้าดูราวกับอยู่ในความฝัน เธอมองใบหน้าซูบผอมของเขา เบ้าตาลึก ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ รวมทั้งปลายคางแข็งกระด้าง
เธอสะเพร่าไปเอง สะเพร่าจริงๆ เธอน่าจะสังเกตเห็นตั้งนานแล้ว
เห็นชัดๆ ว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ปกติ แต่เธอก็แค่ตรวจชีพจรให้ เห็นว่าร่างกายของเขาแข็งแรงดีก็ไม่ได้สนใจอีก คนข้างหมอนเช่นเธอสมควรต้องสังเกตเห็นความในใจของเขาไม่ใช่หรือ?
เพราะปกติเขาดูเป็นคนเข้มแข็ง เธอก็เลยเหมาเอาเองว่าเขาไม่ต้องการความใส่ใจอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งเป็นคนที่เข้มแข็ง ในใจก็ยิ่งมีจุดอ่อน จุดอ่อนของเซียวเถี่ยเฟิงก็คือเธอ
การที่เธออยู่ดีๆ ก็หายตัวไป บีบคั้นเซียวเถี่ยเฟิงจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ในที่สุดกู้จิ้งก็ร้องไห้โฮออกมาเพราะทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอโผเข้าไปกอดคอเซียวเถี่ยเฟิงเอาไว้พลางร้องไห้ไม่หยุด
นี่เป็นความผิดของเธอ เป็นความผิดของเธอ ทำไมเธอถึงไม่อธิบายให้เขาฟังนะ? ทำไมถึงปล่อยให้เขากังวลอยู่แบบนี้? ทำไมถึงเอาแต่รักษาคนไข้โดยไม่ใส่ใจคนข้างกายบ้าง?!
เขาตามหาเธอมาสี่ปี ความเจ็บปวดที่ได้รับในช่วงสี่ปีที่ผ่านมานี้บีบคั้นเขาให้จนมุม บีบคั้นเขาจนสิ้นหวัง ทำไมเธอถึงไม่ช่วยคลายปมในใจเขาให้เร็วกว่านี้นะ ทำไมถึงปล่อยให้เขาจมอยู่กับความเจ็บปวดแบบนี้?!
กู้จิ้งนึกถึงความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับแล้วก็ร้องไห้จนแทบควบคุมตัวเองไม่ได้
แต่เสียงร้องไห้ของเธอกลับทำให้เซียวเถี่ยเฟิงตกใจมาก
เขาคิดว่าเธอเป็นอะไรไป ไม่เช่นนั้นทำไมนอนหลับอยู่ดีๆ ถึงได้ร้องไห้มากขนาดนี้
เขากอดเธอเอาไว้พลางลนลานถามว่า “เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้าเป็นอะไรไป? เจ็บตรงไหน? หรือว่าไม่สบายตรงไหน? ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เด็กดี บอกข้าสิ?”
กู้จิ้งร้องไห้อยู่พักใหญ่ ใจนึกอยากจะทุบอกเขาแรงๆ นัก
ทำไมเขามีอะไรไม่ยอมถามเธอตรงๆ?
แต่พอคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าเขาเหมือนจะเคยถาม เพียงแต่เธอไม่ได้ตอบ พอคิดได้เช่นนี้ กู้จิ้งก็เกลียดตัวเองนัก เธอยกกำปั้นขึ้นทุบศีรษะตัวเองแรงๆ
เซียวเถี่ยเฟิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาใช้มือข้างหนึ่งกอดเธอเอาไว้ ส่วนอีกข้างกุมข้อมือของเธอเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอทำร้ายตัวเองอีก
“ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
กู้จิ้งลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มซึ่งซูบเซียวไปมากด้วยดวงตาคลอน้ำตา เห็นดวงตาเขาเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนใจ เธอก็ยิ่งปวดใจ
จนป่านนี้ เขาก็ยังเป็นห่วงเธอ…
“ฉัน… ฉัน…ขอโทษ…พี่ล่ำ…” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น “ฉันไม่ควรปิดบังนาย ฉันควรจะบอกนาย ฉัน…ฉันผิดต่อนาย!”
เซียวเถี่ยเฟิงประคองใบหน้านองน้ำตาของกู้จิ้งเอาไว้ด้วยความร้อนใจ “เจ้าเป็นอะไรไป บอกข้าได้ไหม? อย่าพูดขอโทษข้าอีก ต่อให้เจ้าทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปก็ไม่เป็นไร บอกข้ามา เจ้าจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่าร้องไห้…”
กู้จิ้งซบหน้าลงกับแผงอกหนาของเซียวเถี่ยเฟิงพลางร้องไห้โฮ
เซียวเถี่ยเฟิงจนปัญญา สุดท้ายก็ได้แต่ตบหลังเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดกู้จิ้งก็สูดจมูกพลางพูดเสียงอู้อี้ว่า “พี่ล่ำ เรื่องที่ฉันจู่ๆ ก็หายตัวไปครั้งก่อน จริงๆ แล้ว… จริงๆ แล้วเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
ทันทีที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา เธอสัมผัสได้ว่าร่างแข็งแรงของเซียวเถี่ยเฟิงสั่นเล็กน้อย
สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นปมในใจ
ปกติเขาไม่พูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นพูดต่อเสียงสะอื้น “เรื่องนี้ พูดไปก็ยาว ฉันจะค่อยๆ พูดให้ฟังนะ”
เซียวเถี่ยเฟิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยความรักถนอมพลางกล่าวปลอบเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร เจ้าค่อยๆ พูดเถอะ”
กู้จิ้งซบหน้ากับบ่าของเซียวเถี่ยเฟิง ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหนดี เพราะตอนนี้สมองของเธอกำลังสับสนมาก อยู่ในสมัยโบราณมานาน ข้างกายก็มักจะมีเรื่องบังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ เธอจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า คุณยายกับญาติๆ คนอื่นๆ ในยุคปัจจุบัน เป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ หรือ?
กู้จิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจเริ่มจากตอนที่พวกเขาได้รู้จักกัน
“ฉันไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก คุณยายเป็นคนเก็บฉันมาเลี้ยง ฉันเติบโตขึ้นมาบนเขาเว่ยอวิ๋น ทุกวันฉันกับเพื่อนๆ มักจะขึ้นเขาไปเก็บผักป่าผลไม้ป่ากันบ่อยๆ แน่นอน มีผลหรูหรูด้วย”
“อืม นั่นเป็นเขาเว่ยอวิ๋นบนแดนเซียนใช่ไหม?”
กู้จิ้งส่ายหน้า “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่แดนเซียน นั่นเป็นโลกมนุษย์ เขาเว่ยอวิ๋นบนโลกมนุษย์”
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว “แต่เราไม่เคยพบกันมาก่อน? เจ้าจะเติบโตขึ้นมาบนเขาเว่ยอวิ๋นเหมือนกันได้อย่างไร? ทำไมภาษาพูดของเจ้าถึงต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง?”
กู้จิ้งถอนใจคำหนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเซียวเถี่ยเฟิง “เพราะฉันเติบโตขึ้นมาในอนาคตหนึ่งพันปีให้หลัง คุณยายของฉันก็มีชีวิตอยู่ในอีกหนึ่งพันปีให้หลัง”
รูม่านตาของเซียวเถี่ยเฟิงหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เขาถามด้วยความไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไง?”
เห็นได้ชัดว่าคนโบราณเช่นเขาไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการข้ามเวลา และไม่เคยเรียนทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์มาก่อน จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหานี้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเขาแล้ว บางทีการพูดเรื่องเซียนกับปีศาจอาจเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ง่ายกว่ามาก
แต่กู้จิ้งก็ตัดสินใจอธิบายช้าๆ “ก็หมายความว่า ต่อไปตระกูลเซียว, ตระกูลจ้าวซึ่งอยู่บนเขาเว่ยอวิ๋นล้วนต้องมีลูกหลาน ลูกหลานเหล่านี้ก็จะสืบเชื้อสายต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกประมาณหนึ่งพันปีให้หลังจะมีหญิงชราคนหนึ่ง ท่านเป็นคนเก็บฉันที่ถูกโยนทิ้งไว้ในป่าลึกมาเลี้ยงดูจนโต”