ตอนที่ 380 แก้ปัญหาได้แล้ว

ตอนที่ 380 แก้ปัญหาได้แล้ว

หลังสองแม่ลูกกินข้าวเสร็จ เย่ฉูฉู่ก็เก็บถ้วยและตะเกียบ ในเวลานี้โดยปกติเธอจะพาเสี่ยวไป๋หยางออกไปเล่นครู่หนึ่ง ตอนที่กลับมาก็ถึงเวลาเตรียมอาหารเที่ยงพอดี

 

วันนี้อาหารค่อนข้างหนาว ลมทางเหนือก็แรงมากด้วย เสี่ยวไป๋หยางออกไปเล่นไม่กี่นาทีก็ไม่เล่นแล้ว เด็กน้อยมีความเฉลียวฉลาดมาก รู้ว่าด้านนอกอากาศหนาวก็อยากจะกลับเข้ามาในบ้าน

เย่ฉูฉู่บอกให้เจ้าลิงน้อยเล่นเป็นเพื่อนเสี่ยวไป๋หยาง ส่วนเธอก็นั่งดูไปพลางหยิบปากกามาวาดรูปไปพลาง เสี่ยวไป๋หยางเห็นก็อยากได้ดินสอมาวาดรูปด้วย เย่ฉูฉู่จึงต้องให้เขาอย่างช่วยไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ได้เสี่ยวไป๋หยางทำกระดาษเสียหายแผ่นแล้วแผ่นเล่า

  

ในเวลานี้โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสี่ยวไป๋หยางรีบไปรับโทรศัพท์ เด็กคนนี้ชอบรับโทรศัพท์มากที่สุดแล้ว ทว่าตอนที่รับก็ไม่ยอมพูดอะไร นั่งฟังเสียงจากปลายสายพร้อมกับยิ้มอยู่ตรงนั้น

 

เย่ฉูฉู่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา แค่ได้ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคุณแม่จ้าว

  

“คุณแม่! ทำไมถึงโทรมาล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

คุณแม่จ้าวตอบ “เมื่อกี้เสี่ยวไป๋หยางรับโทรศัพท์สินะ?”

 

“เสี่ยวไป๋หยางเป็นคนรับสายค่ะ”

“เด็กคนนี้รับสายแล้วก็ไม่ยอมพูด”

  

เย่ฉูฉู่หันไปมองลูกชาย เสี่ยวไป๋หยางกำลังนั่งอยู่บนเตียงเตา ฟังเธอคุยด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตัวเล็ก ๆ ดูจริงจังและน่ารัก เธอตอบเคล้ารอยยิ้มว่า “เขานั่งฟังอยู่ข้าง ๆ นี่แหละค่ะ คุณแม่ โทรมาเพราะมีธุระจะคุยสินะคะ?”

  

“อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรหรอก โรงเต้าหู้ของพี่สามเธอเปิดทำงานกันแล้ว พี่สะใภ้สี่ของเธอก็ต้องมาทำงานตอนเช้า ในบ้านไม่มีใครอยู่เลย พี่สะใภ้สี่ของเธอบอกว่าจะให้ซานหยากับซื่อหยาไปเฝ้าบ้าน เด็กยังเล็กขนาดนั้น ให้อยู่ในบ้านจะวางใจได้ยังไงกัน แม่ไม่เห็นด้วยเลย” คุณแม่จ้าวพูดเจื้อยแจ้ว

เย่ฉูฉู่ส่งเสียงตอบเพื่อให้คุณแม่จ้าวรับรู้ว่าเธอกำลังฟังอยู่ ภายในใจก็คาดเดาว่าแม่สามีคงโทรศัพท์มาคุยเรื่องพี่สะใภ้สี่จ้าว

“พี่สะใภ้สี่เป็นห่วงว่ากระต่ายกับสัตว์เลี้ยงจะหาย พี่สี่ของเธอก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร แม่ได้ยินมาว่าเซ็นสัญญาไว้หนึ่งปีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง พอบอกว่าไม่ต้องทำงานแล้ว พี่สะใภ้สี่ของเธอก็ไม่ยอม บอกว่าหาได้เท่าไรก็เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งพี่สี่ของเธอเป็นยังไงบ้าง” คุณแม่จ้าวกล่าว

 

เย่ฉูฉู่ฟังจนมึนงงไปหมด เธอไม่เข้าใจความหมายของแม่สามี

  

“คุณแม่คะ งั้นคุณแม่หมายความว่า…”

 

“แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี ก็เลยมาถามเหวินเทานี่แหละ ลองดูว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง” คุณแม่จ้าวตอบ

 

“ได้ค่ะ รอเหวินเทากลับมาฉันจะคุยกับเขาให้นะคะ” เย่ฉูฉู่ตอบ

  

“ช่วงนี้เหวินเทายุ่งรึเปล่า? ถ้าว่างก็แวะมาที่ฟาร์มกระต่ายหน่อย แม่อยากคุยกับเขา” คุณแม่จ้าวกล่าว

“ตอนนี้เขากำลังซื้อขายของสำหรับปีใหม่อยู่ค่ะ เดี๋ยวฉันถามให้นะคะว่าเขาจะแวะไปที่ฟาร์มกระต่ายได้รึเปล่า” เย่ฉูฉู่ตอบ

คุณแม่จ้าวถอนหายใจลากยาว ก่อนจะวางสายไป

เย่ฉูฉู่รู้สึกว่าแม่สามีของเธอเป็นคนปากร้ายใจดี ถึงปากจะด่าพี่สะใภ้สี่จ้าว แต่เมื่อมีเรื่องก็ช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหา เพียงแต่ เรื่องของพี่สะใภ้สี่จ้าวจะทำอย่างไรล่ะ? เธอคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังคิดหาวิธีไม่ได้

ตอนค่ำจ้าวเหวินเทากลับมาถึงบ้าน เย่ฉูฉู่ก็เล่าเรื่องของคุณแม่จ้าวให้เขาฟัง จ้าวเหวินเทาจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แม่กลุ้มใจไปเปล่า ๆ!”

 

เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา “พูดอะไรของคุณ! อะไรที่บอกว่ากลุ้มใจไปเปล่า ๆ ต้องให้คุณแม่เป็นห่วงคุณใช่ไหมถึงจะไม่เรียกว่ากลุ้มใจไปเปล่า ๆ?”

 

“ผมไม่เคยทำให้แม่ต้องเป็นห่วงเลยสักครั้ง” จ้าวเหวินเทาพูด เมื่อเห็นภรรยาบุ้ยปากก็รีบพูดอีกว่า “มีแต่แม่นั่นแหละที่เป็นกังวลไปเอง”

 

“เอาเถอะ คุณแม่บอกให้คุณไปหาที่ฟาร์มกระต่าย คุณจะแวะไปเมื่อไร?” เย่ฉูฉู่ทั้งโกรธทั้งอยากหัวเราะ

  

“ช่วงนี้ผมยุ่งจะตายแล้ว ไม่มีเวลาไปฟาร์มกระต่ายหรอก พี่สามหาเงินอยู่ที่บ้าน พี่สี่ไปหาเงินในเมืองหลวง ไม่มีใครต้องตากแดดตากลม ยังต้องให้ฉันช่วยเหลืออีกเหรอ?” จ้าวเหวินเทาตอบ “ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สี่จะไปทำงานที่โรงเต้าหู้ทำไม อากาศหนาวขนาดนี้ แถมยังต้องวิ่งไปกลับทุกวัน ทำแบบนี้ 1-2 วันก็ได้อยู่หรอก แต่นานวันเข้าต่อให้คนที่มีร่างกายเป็นเหล็กก็ทนไม่ไหวอยู่ดี หยุดเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านไปเถอะ ถึงยังไงก็ใช่ว่าพี่สี่จะหาเงินไม่ได้สักหน่อย”

 

“ดูคุณพูดเข้าสิ พี่สะใภ้สี่อยากหาเงินด้วยตัวเอง หรือว่าคุณจะจ่ายเงินให้พี่สะใภ้สี่อยู่บ้านเลี้ยงลูกล่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “คุณไม่ต้องพูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นแล้ว คุณแม่รอข้อความจากคุณอยู่ ถ้าคุณไม่ไปก็โทรไปบอกสักคำ”

 

“นี่มันหาเหาใส่หัวชัด ๆ เลย!” จ้าวเหวินเทาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “ผมไม่มีวิธีอะไรหรอก ถ้าไม่อยู่บ้าน ก็ย้ายของมีค่าไปอยู่ที่ฟาร์มกระต่ายให้หมด ก่อนพี่สี่จะกลับมาก็ให้พี่สะใภ้สี่ไปพักที่ฟาร์มกระต่ายเลย พี่สี่กลับมาตอนไหนก็ค่อยกลับมาอยู่บ้านตอนนั้น”

 

“วิธีนี้ดีเลยค่ะ!” เย่ฉูฉู่กล่าว “ถึงยังไงฟาร์มกระต่ายก็ใหญ่โต พี่สะใภ้สี่มีของแค่นั้นวางได้อยู่แล้ว อีกอย่างที่ฟาร์มกระต่ายก็ห่างไกลจากที่อื่น คนก็น้อยด้วย มีคนย้ายไปอยู่มากขึ้นก็ทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้นด้วย”

 

จ้าวเหวินเทามองภรรยา “คุณคิดแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”

เย่ฉูฉู่ชะงักก่อนจะพยักหน้าตอบ “ฉันคิดแบบนี้แหละ ฉันรู้ว่าคุณกำลังเป็นกังวลเรื่องอะไร แต่ฉันคิดว่า ต่อให้พี่สะใภ้สี่เป็นยังไง หล่อนก็ไม่สามารถยึดครองฟาร์มกระต่ายของคุณได้หรอก แต่ก็อาจจะเอาเปรียบนิด ๆ หน่อย ๆ”

 

หลังจากพูดจบเย่ฉูฉู่ก็หัวเราะออกมา

 

จ้าวเหวินเทาก็ยิ้มเช่นกัน “ในเมื่อภรรยาใจกว้างขนาดนี้ ผมก็คงใจแคบไม่ได้แล้ว ถึงยังไงก็เป็นพี่สะใภ้ของผม งั้นก็ตามนี้แล้วกัน ส่วนถ้าพี่สะใภ้คิดจะเอาเปรียบ ไม่ต้องห่วงหรอก คนที่คิดอยากเอาเปรียบผมยังไม่เกิด ยกเว้นว่าผมเต็มใจที่จะให้เอาเปรียบ!”

 

เช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวเหวินเทาก็รอให้คุณแม่จ้าวโทรศัพท์มาจากฟาร์มกระต่าย หลังจากบอกวิธีการของเขา ก็กล่าวว่า “แม่ แม่เองก็คิดแบบนี้ใช่ไหม? ที่แม่ไม่พูดก็เป็นเพราะอยากให้ผมพูดออกมาด้วยตัวเอง?”

คุณแม่จ้าวแอบไม่เป็นตัวของตัวเอง แย้งกลับมาว่า “แม่ทำไปก็เพราะหวังดีกับแกนั่นแหละ! ต้นไม้ต้นเดียวสร้างป่าไม่ได้ หลังจากนี้แกมีเรื่องอะไรพวกพี่ ๆ ก็ยังช่วยเหลือแกได้ อีกอย่างนั่นก็เป็นพี่สะใภ้ของแกนะ จะทนดูพี่สะใภ้กลายเป็นเรื่องขบขันของคนอื่นเหรอ คนในหมู่บ้านจะคิดยังไง?”

 

“ผมรู้อยู่แล้วว่าแม่ต้องมามุกนี้” จ้าวเหวินเทาพึมพำ

“แม่มามุกนี้แล้วจะทำไม? ตอนนี้แกมีความสามารถ ใช้ชีวิตได้ดีกว่าพวกพี่ ๆ ช่วยกันได้ก็ช่วยเถอะ แกไม่ต้องห่วง แม่คุยกับพี่สะใภ้สี่ของแกแล้ว ออกค่าธัญพืชกับค่าผัก ถ้าอยากทำกินเองก็ให้ทำกินเอง แม่ไม่ประเคนให้ถึงปากหรอก” คุณแม่จ้าวกล่าว

  

จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เอาเถอะ แม่ ถ้าพี่สะใภ้อยากกินข้าวกับทุกคน ก็ให้พี่สะใภ้ออกค่าผักแล้วกัน ธัญพืชไม่ต้องให้พี่สะใภ้ออกหรอก เดี๋ยวผมไปคิดเงินกับพี่สี่เอง”

เขาไม่ไปพูดฉอด ๆ กับพี่สะใภ้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้หรอก มีบางเรื่องไปคุยกับพี่ชายตัวเองไม่ง่ายกว่าเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น พี่สะใภ้สี่จ้าวที่เป็นคนแบบนั้น พูดไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

 

คุณแม่จ้าวเองก็หมดห่วง “ได้ พวกแกสองพี่น้องไปคุยกันเองแล้วกัน เดี๋ยวแม่จะไปถามพี่สะใภ้สี่แก”

“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” จ้าวเหวินเทาวางสายแล้ว

 

“คุณแม่มีความสุขมากเลยใช่ไหมคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม

 

“จะไม่มีความสุขได้เหรอ? ช่วยแม่แก้ปัญหาเรื่องพี่สะใภ้สี่ได้แล้ว” จ้าวเหวินเทาตอบ เริ่มใส่เสื้อคลุม “ผมจะออกไปส่งของนะ ถ้าตอนเที่ยงกลับมาช้า พวกคุณก็กินกันก่อนเลยไม่ต้องรอผม”

“ได้ เดี๋ยวฉันเอาข้าวไปอุ่นไว้ในหม้อให้นะ”

 

“อื้อ ภรรยา ผมไปนะ เจ้าลูกชาย…พ่อไปนะ!” จ้าวเหวินเทากอดแน่น ๆ พร้อมกับบอกลาเสี่ยวไป๋หยาง

  

เสี่ยวไป๋หยางอ้าแขนทำท่าจะไปด้วย จ้าวเหวินเทาจึงรีบเดินออกไป เสี่ยวไป๋หยางได้ยินเสียงรถของพ่อจึงเกิดความร้อนใจ ทั้งร้องไห้ทั้งตะโกนเรียกหาพ่อ

“พ่อไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว เสี่ยวไป๋หยางไม่ร้องนะลูก” เย่ฉูฉู่อุ้มลูกขึ้นมาพลางพูดปลอบใจ

  

เสี่ยวไป๋หยางไม่ฟัง ยืดเกร็งตัวในอ้อมกอดของเย่ฉูฉู่ ฉูฉู่จึงพูดอย่างจนปัญญาว่า “ก็ได้ ๆ ใส่เสื้อแล้วออกไปหาพ่อกันนะ!”

เสี่ยวไป๋หยางได้ยินก็หยุดร้องไห้และเลิกโวยวายรีบไปหาเสื้อมาใส่ทันที

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จริง ๆ แล้วคุณแม่จ้าวก็ร้ายกาจเหมือนกันนะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)