บทที่ 338 หลานเขยของข้า
“อาจารย์เจ้าคะ นายท่านเจิ้งกวนจากสำนักฝากเงินกระบี่สวรรค์อยากขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ก๊อกก๊อกก๊อก
เยว่เว่ยหยางเคาะประตู
เสียงของนักพรตหญิงชินดังตอบกลับมาจากด้านในห้องลับว่า “เขามีเรื่องอันใด?”
เยว่เว่ยหยางรายงานว่า “นายท่านเจิ้งกวนอยากมารับตัวคุณหนูไป๋ชินหยุนกลับไปดูแลต่อที่บ้านเจ้าค่ะ”
“อนุญาตให้เขาพาคนกลับไปได้ และอย่าลืมบอกเขาด้วยว่าขณะนี้ข้ามีธุระเร่งด่วน จึงไม่สามารถออกไปพบ”
นักพรตหญิงชินกล่าว
“เจ้าค่ะ…” เยว่เว่ยหยางรับคำในลำคอ แต่ยังยืนอยู่หน้าประตูไม่เดินออกไป
“เจ้ามีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?” เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นจากด้านในห้องอีกครั้ง
สุดท้าย เยว่เว่ยหยางก็ทนความร้อนใจไม่ไหว ต้องพูดออกไปว่า “อาจารย์เจ้าคะ ท่านจะปล่อยให้คนพวกนั้นเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่หน้าวิหารของพวกเราจริงๆ หรือ? ศิษย์รู้ดีอยู่แล้วถังกู่จินต้องไม่ใช่คนดี ทั้งหมดนี้ต้องเป็นฝีมือของเขาแน่ เขาเป็นคนที่ใส่ร้ายหลินเป่ยเฉิน แม้แต่การฆาตกรรมฟางเจิ้นหรู่ ถังกู่จินก็อาจเป็นผู้บังการด้วยเช่นกัน”
เกิดความเงียบดังขึ้นเนิ่นนาน
“เจ้าบอกว่าจะออกไปตามหาตัวหลินเป่ยเฉินไม่ใช่หรือ?” นักพรตหญิงชินถามออกมาในที่สุด
“ออกไปค้นหาทั่วทั้งเมืองแล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ยังหาเขาไม่เจออยู่ดี ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด” พูดจบแล้ว เยว่เว่ยหยางก็ยิ่งมีสีหน้าเป็นกังวลมากขึ้น
นับตั้งแต่ที่นางฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เยว่เว่ยหยางก็เที่ยวออกตามหาเด็กหนุ่มไปทั่วเมืองหยุนเมิ่ง แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ เลย
นั่นทำให้นักบวชสาวรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินเป่ยเฉินมากขึ้นทุกขณะจิต
“เจ้าเชื่อว่าหลินเป่ยเฉินบริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ?” นักพรตหญิงชินถามออกมาอีกครั้ง
เยว่เว่ยหยางตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สัญชาตญาณบอกศิษย์ว่าหลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนเลวร้ายเจ้าค่ะ”
“แต่จนถึงบัดนี้เจ้าก็ยังตามหาตัวเขาไม่พบ แล้วเจ้าจะไปแก้ต่างกับถังกู่จินได้อย่างไร?” เสียงของนักพรตหญิงชินมีความหนักแน่นไม่แพ้กัน
เยว่เว่ยหยางมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาอีกหลายเท่า “แต่ว่า…อาจารย์เจ้าคะ ที่นี่คือวิหารเทพกระบี่ หากอาจารย์ไม่อนุญาต แล้วพวกเขาจะดำเนินการประหารผู้คนได้อย่างไร? นี่เท่ากับเป็นการก่อกรรมทำเข็ญ…”
“สิ่งที่ถังกู่จินกำลังจะทำ คือการเผาพวกสาวกปีศาจต่างหาก นั่นคือสิ่งที่วิหารเทพกระบี่จะเข้าไปขัดขวางไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่อาจารย์เจ้าคะ…”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ภายใต้การเฝ้าดูของเทพีกระบี่ พระองค์ท่านจะให้คำตอบสุดท้ายแก่พวกเราเอง”
“แต่ว่า…”
“ออกไปจัดการส่งตัวไป๋ชินหยุนกลับบ้านได้แล้ว”
“รับทราบเจ้าค่ะ อาจารย์”
…
“ท่านแม่ ข้าอยากไปที่วิหาร”
หลิงเฉินนั่งห้อยขาอยู่บนขอบหน้าต่างของห้องใต้หลังคา ชายกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนที่นางสวมใส่อยู่ปลิวไสวตามแรงลม
“ไปไม่ได้”
ชินหลันซูยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้เช่นเดิม
“แต่ท่านพ่อกับท่านพี่ยังไปได้เลยนี่นา”
หลิงเฉินทำปากยื่นด้วยความไม่พอใจ
ชินหลันซูก้มหน้าพูดกับหนังสือว่า “พวกเขาจำเป็นต้องไปตามหน้าที่ แล้วเจ้าจะไปทำไม?”
“ไปเปิดหูเปิดตาไงเจ้าคะ” หลิงเฉินยิ้มสวยออกมาอีกครั้ง
ชินหลันซูถอนหายใจยาวแรง “เกรงว่าถ้าเจ้าไปที่นั่น ผู้คนจะหันมาสนใจพวกเจ้าแทนน่ะสิ”
“ลูกกับนักบวชสาวคนนั้น เราสงบศึกกันแล้วเจ้าค่ะ รับรองว่าไม่มีการตบตีกันแน่นอน”
หลิงเฉินยืนกรานแข็งขัน
ชินหลันซูพูดว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าตนเองเป็นใคร ไม่กลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเทพเจ้าหรือไร?”
หลิงเฉินได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
ชินหลันซูพลิกหน้ากระดาษพร้อมกับกล่าวว่า “ปู่ของเจ้าไปที่วิหารแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลิงเฉินได้ยินดังนั้นก็กะพริบตาปริบๆ หลังจากนั้นเด็กลาวก็พยักหน้าเล็กน้อย “ตกลง งั้นข้าไม่ไปแล้วก็ได้”
…
วิหารเทพกระบี่
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้า
คนกลุ่มแรกที่ถูกมัดตัวกับเสาไม้บนกองฟืนประกอบไปด้วยฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่ อู๋เฟิ่งกู เยว่หงเซียงและมารดา เช่นเดียวกับหยางเฉินโจวและหลู่หลิงโจว
ยังมีนักโทษอีกนับร้อยชีวิตรอรับการลงทัณฑ์อยู่บนเวทีไม้ด้านข้าง
ขณะนี้ แม้รู้ดีว่าคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่หลิงจุนเซวียนก็ยังคงเดินไปพูดกับถังกู่จินว่า “ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
เขารีบเดินทางมาที่วิหารเทพกระบี่ทันทีที่ได้รับทราบข่าว ชายผู้เป็นเจ้าเมืองถามต่อด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น “ใต้เท้าไม่คิดว่าการลงโทษเช่นนี้ออกจะรุนแรงและโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ?”
ถังกู่จินหัวเราะในลำคอ “นี่มันอะไรกัน? ท่านเจ้าเมืองหลิงต้องการจะให้ข้าปลดปล่อยสาวกปีศาจเหล่านี้เป็นอิสระหรือ?”
“พวกเขาไม่ใช่สาวกปีศาจสักหน่อย…” หลิงจุนเซวียนพูดด้วยเสียงอันแหบแห้ง
ถังกู่จินขัดจังหวะว่า “พวกเขาคือสาวกปีศาจ”
“ใต้เท้ามีหลักฐานหรือไม่?” หลิงจุนเซวียนถามเสียงแข็ง
ถังกู่จินยิ้มมุมปาก ตอบว่า “ข้าได้ยินคำสารภาพจากปากของหลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง นั่นถือว่าเป็นหลักฐานได้หรือยัง?”
หัวใจของหลิงจุนเซวียนกระตุกวูบ “หมายความว่าอย่างไร? ใต้เท้าจับตัวหลินเป่ยเฉินได้แล้วหรือ?”
ถังกู่จินกวาดสายตามองรอบบริเวณ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาที่สุดแสนจะอำมหิต ก่อนหันกลับมามองหน้าหลิงจุนเซวียนอีกครั้ง “ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านกำลังเสียใจอยู่ไม่ทราบ?”
หลิงจุนเซวียนแค่นหัวเราะในลำคอ ไม่พูดคำใดอีก
ในใจของเขากำลังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นอย่างรุนแรง
ถังกู่จินพูดด้วยความมั่นใจขนาดนี้ ย่อมเป็นความจริงแน่นอน
หากหลินเป่ยเฉินตกไปอยู่ในกำมือของผู้ตรวจการมณฑลคนนี้ แล้วจะมีใครสามารถช่วยเหลือเขาได้อีก?
หรือสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดที่พวกเขาต้องเฝ้ามองปลาน้อยตายบนชายฝั่งเสียแล้ว?
“ใกล้จะได้เวลาแล้วขอรับใต้เท้า ประกาศตอนนี้เลยดีไหมขอรับ?”
อู๋ซางหยางเดินเข้ามากระซิบเสียงแผ่วเบา
ถังกู่จินที่ยืนอยู่บนเวทีมอบรางวัลหันหน้าไปมองหน้าผาริมทะเล และยิ้มออกมาเล็กน้อย “ตกลง เริ่มการถ่ายทอดสดได้”
เสียงพูดยังไม่ทันจางหาย
วูบ!
เกิดลำแสงสว่างไสว
แล้วใครคนหนึ่งก็ทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนเวที
กลิ่นสุราโชยออกมาจากร่างกาย เช่นเดียวกับกลิ่นหอมของเครื่องสำอางสตรี
“ถังกู่จิน วันนี้เจ้าจะต้องลงนรก”
หลิงไท่ซวีเดินซวนเซตามประสาคนเมา พูดอ้อแอ้ฟังแทบไม่รู้เรื่อง “เจ้าใช้วิธียืมดาบฆ่าคน แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว ต่อให้ข้าเป็นผู้เฒ่าเสพติดสุรา ก็ยังทนดูอยู่ไม่ไหวอีกแล้ว”
เมื่อเห็นอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษากระบี่ที่สามปรากฏตัว ถังกู่จินก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “ท่านผู้เฒ่าหลิงช่างมีอารมณ์ขันนัก”
หลิงไท่ซวีเป็นบุคคลผู้มีสถานะพิเศษในจักรวรรดิเป่ยไห่ ได้รับความเคารพจากบรรดาขุนนางไม่แพ้เหล่าเชื้อพระวงศ์
ดังนั้น ต่อให้ถังกู่จินในใจจะรู้สึกเกลียดชังสักเท่าไหร่ แต่ภายนอกเขาก็ต้องแสดงความอ่อนน้อมออกมา
“ใครบอกว่าข้าพูดเล่น?” หลิงไท่ซวีพลันระเบิดเสียงหัวเราะและปาจอกสุราในมือไปที่ปลายเท้าของถังกู่จิน “วันนี้ข้าขอยื่นคำขาด เจ้าต้องปล่อยตัวทุกคนเดี๋ยวนี้ หากใครไม่ยอมทำตามคำสั่ง ถือว่ามีโทษฐานกบฏต่อจักรวรรดิ”
ถังกู่จินยังคงยิ้มแย้ม ไม่ได้มีท่าทีโกรธแค้น
เขาพยายามอธิบายว่า “ผู้เฒ่าอายุอานามก็ไม่ใช่น้อย เหตุไฉนถึงได้วู่วามเช่นนี้? อีกอย่าง ได้ข่าวว่าท่านเลิกยุ่งเกี่ยวทางการเมืองมานานแล้ว มิสู้กลับไปดื่มสุราเคล้านารีไม่ดีกว่าหรือขอรับ? ทำไมต้องมาสนใจเรื่องราวเหล่านี้ด้วย ข้าน้อยเกรงว่ามันจะทำให้ผู้เฒ่าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปเสียเปล่าๆ”
“ข้าไม่อยากพูดกับเจ้าอีกแล้ว รีบปล่อยคนเดี๋ยวนี้”
หลิงไท่ซวียกมือชี้หน้าผู้ตรวจการมณฑล พูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังกู่จินจางหายไปเล็กน้อย เสียงพูดที่ดังตามมาหลังจากนั้นแฝงความเย็นชาอยู่หลายส่วน “ข้าน้อยไม่อยากฉีกหน้าท่านผู้เฒ่านะขอรับ”
“วันนี้ข้าขอยื่นคำขาด ระหว่างเจ้ากับหลานเขยของข้า ไม่มีทางอยู่ร่วมเมืองกันได้อีกต่อไป”
หลิงไท่ซวีสูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมพลังและเปล่งเสียงที่ดังกังวานออกมาว่า “วันนี้ข้าจะประกาศให้ทุกคนได้รับทราบโดยทั่วกัน หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นหลานเขยของข้าเอง และในอนาคต เขาจะเป็นผู้เดียวที่สืบทอดตำแหน่งของหลิงไท่ซวีคนนี้ แล้วเขาจะเป็นสาวกปีศาจได้อย่างไร? ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว และบุคคลรอบตัวเขาก็ไม่ใช่เช่นกัน หากเจ้ายังดึงดันที่จะประหารผู้คนเหล่านี้ต่อไป พวกเราก็คงต้องผิดใจกันแล้ว”
ถังกู่จินยืนตัวแข็งทื่อ
ทุกคนได้แต่เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง