ตอนที่ 511 สถานะพิเศษ
“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรเจ้าคะ ? ”
หนานกงหลิงเยว่ถามฟางหลิงซู่และในตอนนี้นางมิได้มีเสน่ห์เย้ายวนใจอีกแล้ว ใบหน้าของนางก็เหมือนสตรีทั่วไป ยกเว้นดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นที่แตกต่าง
“เจ้ามิต้องร้อนใจหรอก เราคอยดูต่อไปอีกสักหน่อยดีกว่า”
ฟางหลิงซู่มิได้แสดงท่าทีกังวลใจออกมาและทำแค่เอ่ยประโยคที่มีความหมายกำกวมเท่านั้น
แม้เขามิต้องการให้หอพิษกู่เจริญรอยตามเผ่าหมอเทวดาที่โดนกวาดล้างจนสิ้นนาม กระนั้นก็ลงมือทำร้ายอันหลิงเกอไม่ลง
“เจ้าค่ะ”
หากหนานกงหลิงเยว่มิได้มีอุบายใดย่อมไร้ความคิดเข้าไปยั่วยุอันหลิงเกออยู่แล้ว
ทางด้านอันหลิงเกอก็กลับถึงจวนอ๋องมู่แล้ว เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้นางรู้สึกมิสบายใจ แม้ช่วยหมิงซินกลับมาได้แต่ใจของนางก็ยังรู้สึกกังวล
เพราะสงสัยว่าเหตุใดฟางหลิงซู่ต้องการโลหิตของตน โลหิตนั้นมีประโยชน์อันใด ? อีกทั้งถ้วยลายครามใบนั้นมองแล้วก็คุ้นตาอยู่มิน้อย มิรู้ว่าเพราะเหตุใด…
แต่ก็มั่นใจว่านางมิเคยเห็นมาก่อน…
เป็นเหตุให้นางรู้สึกว่าความลับของหอพิษกู่ยิ่งนานวันยิ่งมีมากและหวังว่าตนจะไร้ความข้องเกี่ยวอันใดกับที่นั่น
“เกอเอ๋อ เจ้าไปพักผ่อนเถิด”
มู่จวินฮานเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นที่ด้านหลังของอันหลิงเกอ
“เจ้าค่ะ หมิงซิน เรากลับกันเถิด”
หมิงซินซาบซึ้งใจอย่างมาก ดังนั้นเมื่ออันหลิงเกอกล่าวอันใดก็ตาม นางย่อมทำตามทุกอย่าง ส่วนชิงเฟิงก็มองตามแผ่นหลังของหมิงซินด้วยความชื่นชม
โชคดีที่หมิงซินกลับมาอย่างปลอดภัย
อีกด้านหนึ่ง อาโผกลับจากรายงานสถานการณ์ให้ฟางซั่วแล้วมาอยู่ข้างกายฟางหลิงซู่อีกครั้ง
“คุณชาย บัดนี้เราควรทำเช่นไรต่อไปเจ้าคะ ? ”
อาโผเอ่ยถามพร้อมมองฟางหลิงซู่ด้วยความรู้สึกมิสบายใจเล็กน้อย
“เจ้าออกไปเถิด”
ท่าทีเยี่ยงนี้ของฟางหลิงซู่ทำให้อาโผเกิดความรู้สึกหวาดกลัว มิรู้ว่าฟางหลิงซู่ล่วงรู้สถานะแท้จริงของนางหรือไม่ เพราะบางทีอันหลิงเกออาจบอกอันใดเขาแล้วก็ได้
“คุณชาย อาโผทำผิดอันใดหรือเจ้าคะ ! ”
อาโผกล่าวพลางคุกเข่าลงพื้นจนเกิดเสียงดัง ทำให้ฟางหลิงซู่ตกตะลึงและเกิดความสงสัยว่าเมื่อครู่ตนใช้น้ำเสียงดุดันไปหรือ ?
“มิมีหรอก”
หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้เป็นคนมิชอบยิ้ม ทว่าสำหรับอาโผแล้ว เขาค่อนข้างอ่อนโยนเสมอ
เพราะอาโผเป็นคนที่เขาพามาอยู่หอพิษกู่และนางคอยติดตามเขาอยู่ในหุบเขากู่ตลอด สำหรับอาโผแล้วเป็นหนึ่งในมิกี่คนที่เขาเชื่อใจ
“อาโผแค่กังวลว่าอันหลิงเกอจักคุกคามคุณชายเจ้าค่ะ”
“เจ้ามิได้ยินที่คุณชายสั่งให้ออกไปหรือ ? ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของหนานกงหลิงเยว่ก็ดังขึ้น เพราะนางมิชอบเห็นพี่ชายใกล้ชิดสตรีผู้นี้
แม้อาโผมีความสามารถและเชี่ยวชาญวิชาพิษจนน่าเก็บไว้ใช้งาน หรือต่อให้มีหน้าตามิได้สวยงามจนยากเกิดเรื่องชู้สาวก็ตาม นางยังต้องระวังไว้เสมอ
เนื่องจากคนที่เข้ามาในหอพิษกู่มักเป็นบ่าวหรือนักฆ่าผู้แข็งแกร่ง ทว่าอาโผมิใช่หนึ่งในคนสองประเภทนั้นเลย แต่ก็ยังได้เคียงข้างฟางหลิงซู่อยู่ดี
ซึ่งหนานกงหลิงเยว่เป็นห่วงความปลอดภัยของพี่ชายจึงมิยอมให้เขาเชื่อใจสตรีผู้นี้
“คุณชาย อาโผขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
อาโผรู้ว่าหากมีหนานกงหลิงเยว่อยู่ด้วย ตนคงทำอันใดมิได้จึงออกไปดีกว่า
หากมีวันหนึ่งนางต้องทำบางอย่างเพื่อฟางซั่ว ภารกิจใหญ่หลวงที่สุดก็คงเป็นการสังหารหนานกงหลิงเยว่กระมัง
“ท่านพี่ ข้าพูดกับท่านกี่ครั้งแล้วว่าให้อยู่ห่างอาโผเข้าไว้ มิเช่นนั้นก็ส่งนางไปนอกหุบเขา ไม่ต้องให้นางอยู่ในหุบเขากู่อีกเลย เพราะข้ามักรู้สึกว่า…”
“ช่างเถิด เจ้ามิต้องกล่าวอันใดแล้ว”
เนื่องจากอาโผอยู่ข้างกายเขาประหนึ่งเด็กที่เขาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ฟางหลิงซู่เฝ้ามองนางเติบโต มองนางก้าวหน้า แล้วจักไล่นางไปได้เยี่ยงไร ?
เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเสียงครหา ดังนั้นเขาจึงตั้งใจสร้างชื่อหรือรูปลักษณ์ของอาโผให้ค่อนข้างมีอายุราวกับแม่เฒ่า มองแล้วมิเกิดความรู้สึกว่าสามารถไปสร้างภัยคุกคามแก่ผู้ใดได้
“ท่านพี่ ท่านเป็นคุณชายหอพิษกู่ จัดการเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ เหตุใดจึงเชื่อสตรีที่มิรู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้นี้เจ้าคะ ? ”
หนานกงหลิงเยว่วิตกขึ้นมา ต่อหน้าฟางหลิงซู่แล้ว นางเป็นน้องสาวและเป็นคนสนิทที่สุดของเขา
“นางอยู่ที่นี่กับข้าและมิใช่สตรีอย่างที่เจ้ากล่าวหา ทั้งมิได้เป็นบ่าวด้วย นางเป็นแค่ผู้อาวุโสคนหนึ่งเท่านั้น”
แม้หนานกงหลิงเยว่รู้ว่าฟางหลิงซู่ไม่รู้สึกลึกซึ้งต่ออาโผ แต่นางเป็นกังวลว่าเขาเชื่ออีกฝ่ายมากเกินไปจนทำให้วันข้างหน้าอาจนำมาซึ่งอันตรายก็ได้
สำหรับอาโผผู้นี้ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้นางมิวางใจเลยสักนิด
“เช่นนั้นท่านพี่ก็ส่งนางมาอยู่ข้างกายข้า ให้นางติดตามข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อหนานกงหลิงเยว่เห็นท่าทางของพี่ชายจึงยอมถอยหนึ่งก้าวและทำให้ครั้งนี้ฟางหลิงซู่ปฏิเสธมิได้
“ตามใจเจ้าเถิด” เขากล่าวอย่างมิใส่ใจเพราะมิได้สนใจอาโผจริง เพียงแต่คุ้นเคยกันเท่านั้น
ถ้าหนานกงหลิงเยว่ต้องการ เขาย่อมมิทำให้น้องสาวน้อยใจอยู่แล้ว
เมื่อหนานกงหลิงเยว่เห็นเขาประนีประนอมให้จึงรู้สึกวางใจได้บ้าง เพียงแต่นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจักให้คนที่มิวางใจมาอยู่ข้างกาย แม้ทำให้อันตรายต่อฟางหลิงซู่ลดลงได้ แต่อันตรายมาตกที่นางแทน
หากไตร่ตรองให้ดีแล้ว เมื่ออาโผเทียบกับนาง อย่างมากก็แค่วิชาพิษที่ด้อยกว่านางเล็กน้อย แต่หนานกงหลิงเยว่ในเวลานี้มิทันได้คิดมากมาย ขอแค่ให้สตรีที่มิน่าเชื่อถือออกห่างจากพี่ชายก็พอ
ทางด้านอันหลิงเกอที่กลับถึงเรือนฝูหลิงก็ตรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าให้หมิงซินอีกรอบ เพราะกลัวว่าหอพิษกู่จะทำอันใดใส่ร่างกายของอีกฝ่าย
“พระชายา บ่าวมิเป็นอันใด ท่านมิต้องตรวจแล้วเจ้าค่ะ”
“มิได้หรอก เจ้าให้พระชายาตรวจไปเถิด”
ชิงเฟิงที่ตามมาก็กล่าวพร้อมมองหมิงซินอย่างพยายามโน้มน้าว เขายกยิ้มเล็กน้อยเพราะหวังให้นางมิเป็นอันใด และเมื่อมีพระชายาอยู่ด้วยก็ควรตรวจให้วางใจ
“จริงสิ ท่านอ๋องอยู่ที่ใด ? ”
หลังตรวจร่างกายให้หมิงซินเสร็จแล้ว อันหลิงเกอก็นึกได้ว่าวันนี้มู่จวินฮานปะทะกับฟางหลิงซู่ ยิ่งต้องตรวจร่างกายของเขาโดยละเอียด
“อยู่ในห้องหนังสือขอรับ”
ชิงเฟิงได้ยินอันหลิงเกอถามถึงมู่จวินฮาน ในใจก็ยินดีแล้วรีบชี้ทางให้ทันที
“ปี้จู ไปหยิบกล่องยาของข้ามาที”
อันหลิงเกอเหลือบมองปี้จูด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พอได้รับกล่องยาแล้วก็เดินไปยังห้องหนังสือทันที
เมื่อเข้ามาในเรือนของมู่จวินฮานแล้วนางก็ได้ยินเสียงดังในเรือนและรู้สึกมิวางใจจึงรีบสาวเท้าไปทางห้องหนังสือ
“มู่จวินฮาน ! ”
เดิมทีนางคิดว่าเกิดเรื่องอันใดกับเขาจึงเกิดเสียงดังในเรือนเช่นนี้ แต่เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นมู่จวินฮานนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือตามปกติ ทว่ามีบางอย่างภายในลานกว้างที่กำลังนอนหมดแรง ท่าทางอ่อนแอมากทีเดียว
“พระชายา โชคดีที่ท่านเข้ามาพอดีขอรับ มิทราบว่าม้าของท่านอ๋องเป็นอันใด จู่ ๆ ก็มิกินอาหารและวันนี้ก็เตะองครักษ์จนได้รับบาดเจ็บไป 1 นาย เช่นนี้…”
อันหลิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็รีบรุดหน้าออกไปดูและแค่นางมองม้าตัวนั้นปราดเดียวก็รู้ได้ทันที
“คือ…พวกเจ้าออกไปก่อนและจูงม้าไปด้วยเพราะข้ามีเรื่องสนทนากับท่านอ๋อง”
อันหลิงเกอหน้าแดงเล็กน้อย คาดมิถึงว่าคนเหล่านี้มิรู้แม้กระทั่งนิสัยของม้า
“ขอรับ”
คนเหล่านั้นจูงม้าออกไปอย่างระมัดระวังพลางช่วยปิดประตูให้ทั้งสองคนด้วย
“อาการของมันเป็นเช่นไร ? ”
มู่จวินฮานเชื่อว่าคำถามนี้สำหรับอันหลิงเกอน่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“เกรงว่ามันจะเป็นเหมือนท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานมิเข้าใจในตอนแรก แต่พอเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของอันหลิงเกอก็เข้าใจทันที หลังจากนั้นบรรยากาศรอบกายจึงเริ่มเก้อเขินกันเล็กน้อย
“มีวิธีรักษาหรือไม่ ? ”
“หาแม่ม้าตัวใหม่ให้มันสักตัวก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่จวินฮานกลั้นยิ้มยามที่เอ่ยพลางมองอันหลิงเกอโดยมิละสายตา